ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

บทนำ

ในประวัติศาสตร์ปรัชญาตะวันตก คำว่า spirit (Geist) มักถูกผูกเข้ากับความเป็นมนุษย์ เหตุผล และประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การยึด spirit ไว้กับปัจเจกหรือมนุษย์เพียงอย่างเดียวก่อให้เกิดปัญหาเชิงอภิปรัชญาและจริยศาสตร์ โดยเฉพาะการแยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติ

บทความนี้เสนอการพลิกมุมมองจากรากฐาน โดยมองว่า การดำรงอยู่ไม่ใช่การยืนเดี่ยว หากคือการพึ่งพาและเกื้อกูลในวัฏจักรแห่งชีวิต แนวคิดนี้ไม่ใช่เพียงจริยธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม แต่เป็นข้อเสนอเชิง ontology และ philosophy of spirit ว่า จิต คือโครงข่ายแห่งความสัมพันธ์ มิใช่ศูนย์กลางอำนาจของตัวตน

Spirit ในฐานะวัฏจักร

1. การดำรงอยู่ในวัฏจักรแห่งชีวิต

    เมื่อการดำรงอยู่คือ circulation มากกว่าการคงอยู่แบบปิดตาย ใน philosophy of spirit แนวคิดนี้สอดคล้องกับ Process Philosophy ของ Whitehead ซึ่งมองความจริงเป็นกระบวนการ ไม่ใช่สารัตถะถาวร จิตในที่นี้ไม่ใช่สิ่งคงที่ แต่เป็น การไหลเวียนของการรับรู้ ความหมาย และพลังชีวิต การดำรงอยู่จึงไม่อาจเข้าใจได้ด้วยภาษาของการแยกตัว (separation) หากต้องอธิบายด้วยภาษาของการเป็นส่วนหนึ่ง (participation)

    2. Phenomenology และการอยู่-ร่วมกับโลก

    ในแนวคิดของ Heidegger เรื่อง Dasein ในมุมมองที่ว่าเป็น being-in-the-world ไม่ใช่ subject ที่เผชิญ object จากภายนอก มุมมองนี้ในระดับลึก ยังต้องตีความต่อว่า spirit ไม่ได้อยู่ “ใน”(in) สิ่งใด แต่คือ โหมดของการอยู่ร่วมกัน (co-being) การดำรงอยู่จึงเป็นการ ตอบสนองต่อโลก มากกว่าการครอบครองโลก

    มนุษย์ในสายตาของ Spirit

    1. ความอยากรู้ในฐานะพลังสองหน้า

      มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์แห่งความอยากรู้ (มักรู้) พลังแห่งเหตุผลและจินตนาการ ซึ่ง Hegel มองว่าเป็น spirit นี้เองที่เป็นแรงผลักดันของประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนอ่านใหม่ก็จะพบว่า ความอยากรู้ไม่ใช่เพียงพลังแห่งความก้าวหน้า แต่เป็นพลังที่สร้างและทำลายไปพร้อมกัน แต่ธรรมชาติไม่ตัดสินมนุษย์ เพราะในระดับของ spirit นั้น การเกิด–ดับเป็นเพียงการแปรรูปของพลัง เมื่อเข้าใจเช่นนี้ย่อมต้องวิพากษ์ต่อแนวคิดปรัชญาจิตแบบคลาสสิกที่มักจะวางมนุษย์ไว้เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism)

      2. อารยธรรม และความไม่เที่ยง

      การที่อารยธรรมเกิดและล่มสลายสะท้อนความจริงเชิง ontological ว่า ไม่มีรูปแบบใดเป็นเจ้าของความจริงตลอดกาล Spirit มิได้ผูกติดกับสถาบันหรืออุดมการณ์ใด แต่แสดงตัวผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่สิ้นสุด ในมุมนี้ spirit ไม่ใช่ teleology ที่มุ่งจุดจบ หากเป็นจังหวะ (rhythm) ของการปรากฏและการสลาย

      ความรักและการให้

      1. จริยศาสตร์ของจิตคือ การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน

        การให้ของธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา ให้ผล เป็นการให้ที่ไม่มีเจตนาเชิงอัตตา (ego) นี่คือ มึมมองที่ว่า การมีอยู่ไม่ใช่การยึดครอง แต่คือการทำหน้าที่เชิงความหมายต่อผู้อื่นและโลก จริยศาสตร์แนวทางนี้แตกต่างจาก moral philosophy แบบหน้าที่ของคานท์หรือผลลัพธ์อย่างเบนธัมหรือมิลล์ ซึ่งใน philosophy of spirit นำเสนอแนวคิดนี้ไว้ใกล้เคียงกับหลัก Agape ในคริสต์ศาสนศาสตร์ และเป็นการก้าวข้าม subject–object ใน phenomenology เชิงจริยธรรมของ Levinas ซึ่งการให้นี้เป็นการแสดงออกของความรัก และความรักในที่นี้ไม่ใช่อารมณ์ แต่เป็นโหมดของการดำรงอยู่

        2. ความรักในฐานะพลังที่ไม่รู้จักความตาย

        หาก spirit คือกระบวนการ ความรักก็คือทิศทางของกระบวนการนั้น ร่างกายนี้อาจสลายตายลงไปได้ แต่เจตจำนงแห่งการให้ยังคงอยู่ แนวคิดนี้มองว่า ความตายและการสูญเสียไม่ใช่ negation แต่เป็น transformation การยอมรับความเปลี่ยนแปลงคือ การอยู่ แนวคิดนี้สอดคล้องกับโครงสร้างของ spirit เอง และสะท้อนอยู่ในชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นการสะท้อนความเข้าใจ spirit ในฐานะความต่อเนื่องของการมีคุณค่าความหมาย (continuity of meaning) มากกว่าความเป็นอมตะ (immortal) เชิงบุคคล

        การเห็นสิ่งเดิมโดยละอัตตา

        1. การตระหนักรู้กับการวิพากษ์ผู้รู้

          ความตระหนักรู้ของเรานั้นไม่ใช่การได้มาซึ่งความรู้ใหม่ แต่คือการคลี่คลายโครงสร้างอคติของ subject ที่เข้าไปครอบงำโลก แนวคิดนี้สอดคล้องกับ phenomenology ที่มุ่งกลับไปสู่สิ่งนั้นเอง ซึ่งเป็นญาณวิทยาของปรากฎการณ์วิทยาที่ให้เราวางตนเป็นกลาง เมื่ออัตตา (self) เงียบลง โลกจึงไม่ถูกมองเป็นวัตถุ แต่เป็นเพื่อนร่วมการดำรงอยู่

          2. Spirit แบบไม่ทวิภาวะ (non-duality)

          การตระหนักว่า เราคือส่วนหนึ่งของโลก และโลกคือส่วนหนึ่งของเรา ปัญหาความทุกข์ของมนุษย์ในมุม philosophy of spirit มิได้เกิดจากการขาดทรัพยากร แต่จากการเข้าใจการดำรงอยู่ผิดพลาด การเชื่อมต่อกับธรรมชาติทำให้ subject คลายตัว และ spirit ปรากฏอย่างไม่บิดเบือน ในสภาวะนี้ spirit มิใช่ของใคร แต่เป็นพื้นที่ร่วมของการรับรู้ เป็นการก้าวข้าม dualism ซึ่งเป็นปัญหาแกนกลางของ philosophy of spirit ที่มีมาอย่างยาวนาน

          สรุป

          บทความนี้เสนอว่า กรอบปรัชญาจิตที่ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมใน philosophy of spirit โดยเสนอว่า spirit ควรถูกเข้าใจในฐานะการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ (Nature Connection) ซึ่งเป็นบริบทดั้งเดิมของ spirit จิตมีคุณธรรมสำคัญคือ การให้โดยไม่คาดหวังผล (Unconditional Giving) ซึ่งก็เป็นการฝึก spirit ให้พ้นจากอัตตา และการเป็นหนึ่งเดียวกับโลก มองผ่านความเป็นกระบวนการในโลกที่มนุษย์พยายามครอบครองความหมาย บางครั้ง spirit ปรากฏชัดที่สุดจะปรากฎเมื่อเราเลิกเป็นเจ้าของ และเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ


          Leave a comment