หมวดญาณปรัชญา
เรื่อง : ญาณปรัชญาของรัสเซล
Topic: Russell’s epistemology
ผู้แต่ง : พระปรียะพงษ์ คุณปัญญา
รัชเซล (Bertrand Russell 1872-1970) มีความคิดที่แตกต่างจากนักปรัชญารุ่นก่อนตรงที่ว่า วิทยาการต่าง ๆ ที่อ้างมาทั้งหมดนั้น ใช้สมรรถภาพของเหตุผลโดยส่วนเดียว เพียงเพื่อจะรู้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจ หมายความว่า ทำให้ได้ความรู้เท่าทันกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ๆ และสามารถอธิบายถึงความเป็นไปของปรากฏการณ์ก็เป็นพอแล้ว
ความรู้แบบนี้เป็นความรู้แบบหยาบๆ เป็นความรู้แบบประสบการณ์นิยม ความรู้ที่กล่าวมานั้นจะต้องอาศัยเหตุผลในการพิจารณาใคร่ครวญถึงที่สุดจนเข้าใจในระดับปรัชญา ความรู้ทั้งหมดนี้ รัชเชลเชื่อว่า ยังไม่มีที่สิ้นสุด สามารถที่จะพัฒนาต่อยอดไปเรื่อย ๆ
ด้วยเหตุผลนี้เอง รัชเชลจึงไม่เรียกงานตัวเองว่า เป็นวิธีการวิทยาศาสตร์ เพียงแต่เรียกว่า วิธีปรัชญาวิเคราะห์ (philosophical analysis ) ซึ่งแตกต่างจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ตรงที่ว่า มุ่งแสวงหาความเข้าใจทั่วไป (general) และมีมาก่อนประสบการณ์ (a priori) ในรูปแบบของสมองหรือตรรกะนั้นเอง
รัชเชลก็ได้พยายามอธิบายไว้ว่า ประโยคตรรกะในวิชาปรัชญา ย่อมจริงในทุกสถานการณ์ ไม่ขึ้นอยู่กับประสาทสัมผัสภายนอกและก่อนประสบการณ์ และจะพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางประสบการณ์ก็ไม่ได้ จะแยกออกจากประสบการณ์เสียเลยทีเดียวก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ รัชเชลก็ไม่สามารถแยกปรัชญาวิเคราะห์ออกจากตรรกะได้เสียเลยทีเดียว (indistinguishable from logic) หมายความว่า ปรัชญาในความหมายของรัชเชลในอีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องแสวงหาวิธีการที่ต้องแสดงเป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ ที่เราเรียกว่า ภาษาอุดมคติ
1. เริ่มต้นจากการสงสัย รัชเชลมีความเชื่อว่า ความรู้ที่ดีจะต้องได้มาจากการตั้งข้อสงสัยโดยความบริสุทธิ์ใจและปราศจากอคติต่อสิ่งนั้น เพราะการตั้งข้อสงสัยนั้นเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้องตามเกณฑ์ของสมรรถภาพเหตุผลอย่างแท้จริง เพราะในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่ควรตั้งข้อสงสัยให้เกิดขึ้น
2. พร้อมที่จะปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป รัชเชลมีความคิดว่า ถึงแม้ความรู้ปรัชญาที่ได้มาแล้วนั้นจะเป็นภาษาอุดมคติถึงขนาดไม่ต้องพิสูจน์อีกแล้ว ก็ยังคงต้องมีการปรับปรุงแก้ไขโดยพยายามชี้ให้เห็นว่า ไม่มีความจริงอันติมะในปรัชญา โดยหันมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและกันและตรวจสอบความรู้ข้อสงสัยในปรัชญาของกันละกันก็น่าจะได้ความรู้ที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น เมื่อนำมาปรับรวมกันแล้วก็จัดเป็นระบบได้
3. วิเคราะห์เชิงตรรกะอย่างรัดกุม (logical analysis) รัชเชล มีความเชื่อมากเป็นอย่างยิ่งว่า ปัญหาหนึ่งที่ทำให้การเรียนรู้ปรัชญานั้นล่าช้าหรือเกิดปัญหามาก ส่วนหนึ่งนั้นมาจากภาษาที่กำกวมไม่รัดกุม ไวยากรณ์ก็บกพร่องมาก เขาจึงได้พัฒนาตรรกวิทยาสัญลักษณ์ขึ้นมาใช้แทน
4. ใช้สร้างอภิปรัชญาได้ ความรู้ที่ได้จากกระบวนการทั้งสามนั้น สามารถนำมาต่อยอดทางปรัชญาหรือวิเคราะห์ข้อบกพร่อง ให้เห็นข้อดีข้อเสียของปรัชญา เพื่อจะได้เกิดประโยชน์ในการที่จะศึกษาและตัดสินใจเกี่ยวกับการนำมาทดลองใช้อย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้น เมื่อรัสเชลเชื่อว่าตนได้พบหลักเกณฑ์ในการคิดที่มีประสิทธิภาพแล้ว หากไม่ใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวกำหนดอภิปรัชญาขึ้นมาบ้าง ก็จะกลายเป็นเครื่องมือที่ไร้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้เองรัสเชลจึงได้มีความเพียรพยายามที่จะสร้างญาณปรัชญาของตนขึ้นมาเพื่อจะได้สร้างอภิปรัชญาให้มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น โดยได้ตั้งชื่อว่า ลัทธิปรมาณูนิยมเชิงตรรกะ (logical atomism )

