alchemy แอลเคมี
ผู้แต่ง : เอนก สุวรรณบัณฑิต
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
แอลเคมี (alchemy) เป็นคำอาหรับแปลว่าดินแดนแห่งพระจันทร์ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของอียิปต์เพราะชาวอาหรับที่สร้างศัพท์นี้เชื่อว่าได้รับความรู้นี้มาจากอียิปต์ และชาวยุโรปตะวันตกก็รับถ่ายทอดมาจากชาวอาหรับอีกต่อหนึ่ง ยุคกลางเริ่มมีวิทยาศาสตร์แต่เรียกว่าศาสตร์ดำ ศาสตร์ดำนี้เป็นความรู้ต้องห้ามทั้งในศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ยุคกลาง เพราะไม่มีในคัมภีร์ศาสนา และไม่สามารถอธิบายได้ตามเทววิทยาและปรัชญาที่ยอมรับอย่างเป็นทางการ ในยุคกลางที่ใช้ปรัชญาเพลโทว์ใหม่เป็นสาวใช้ของศาสนาอยู่นั้น อะไรอยู่นอกข่ายศาสนา (นครของพระเจ้า) ก็ต้องถือว่าเป็นของปิศาจ (นครของโลก) ซึ่งก็เป็นมูลบทสำคัญข้อหนึ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังของคำสอนศาสนาของยุคนั้นโดยที่คนทั่วไปไม่สำนึกถึง อย่างไรก็ตาม ผู้สนใจเรื่องอำนาจลึกลับที่อธิบายไม่ได้ (หรือที่ยังอธิบายไม่ได้) ก็ย่อมมีอยู่ตลอดเวลาในทุกท้องที่ เนื่องจากความต้องการของชาวบ้านในการรักษาโรคที่แพทยศาสตร์รักษาไม่ได้ หรือฐานะไม่ดีพอที่จะให้แพทย์ที่เรียนรู้ตามหลักสูตรรักษาให้ นอกเหนือไปจากความต้องการยามหาเสน่ห์ ยาสั่ง ฯลฯ ศาสตร์ดำตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี จึงขวนขวายเรียนรู้ถ่ายทอดกันต่อ ๆ มา รวมทั้งมีการทดลองเพื่อหาผลสำเร็จใหม่ ๆ ที่มุ่งหวัง เช่น Philosopher’s Stone (หินนักปรัชญา) ที่เชื่อว่าจะแปรโลหะถูก ๆ ให้เป็นทองคำได้ หรือ Elixir of Life (ยาอายุวัฒนา) ที่เชื่อว่าจะช่วยให้ชีวิตอยู่ยงคงกะพัน ได้มีการทดลองผสมธาตุ ต้ม เคี่ยว สารและตัวยาต่าง ๆ โดยหวังว่าจะฟลุ๊กเข้าสักวันหนึ่ง แต่ทว่าในการทดลองใช้สารตัวยาต่าง ๆ นั้นก็มีการทดลองใช้คาถาอาคมต่าง ๆ ควบคู่ไปด้วย โดยเชื่อว่ามีความสำคัญไม่แพ้วัสดุที่ใช้ และการเชื่อว่าคาถาอาคมมีส่วนสำคัญนี้แหละที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นงานของปิศาจ ไม่เป็นวิชาการ น่ารังเกียจ เปิดเผยไม่ได้ สังคมไม่ยอมรับ ฯลฯ
นอกจากนั้นตำราที่สอนถ่ายทอดกันนั้นถือกันว่าเป็นความลับที่ต้องเป็นความลับ ก็อาจจะมาจาก 2 สาเหตุ คือ
1. หวงแหนวิชาตามนิสัยของผู้ยังมีคติยึดถือมั่นอยู่ และ
2. อาจจะกลัวถูกอ้างเป็นขอหาว่าเล่นแร่แปรธาตุซึ่งผู้เคร่งศาสนาถือว่าเป็นงานของปิศาจสูตรลับจึงมักจะแต่งเป็นเรื่องตลกโปกฮาและอิงสำนวนสังวาส ซึ่งมองได้ว่าเป็นเรื่องพูดเล่นในวงเหล้า ไม่มีสาระแก่นสารที่องค์การศาสนาจะให้ความสนใจ แม้จะผิดศีลบ้างถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยและเป็นปกติของมนุษยวิสัย เช่น “การสังวาสระหว่างเทวีอทีเนอกับเฮอร์มิส (Athena and Hermes)” หมายถึงการผสมกำมะถันกับปรอท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างยุคกลางนั้นก็เริ่มจะมีนักปราชญ์เล็งเห็นคุณค่าของการทดลองดังกล่าว หากไม่นับส่วนที่เป็นคาถาอาคม (หรือถ้าจะให้ดีก็ให้ตัดทิ้งไปเสียเลย จะได้เป็นวิชาการ) การทดลองเหล่านี้น่าจะเป็นเนื้อหาความรู้กลาง ๆ ไม่เกี่ยวกับเทววิทยาโดยตรงและก็ไม่มีอะไรเสียหายแก่ศาสนา แต่ทว่าให้คุณและมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตในโลกนี้โดยตรง อย่างเช่น ราเบิร์ท กรอสเทสท์ (Robert Grosseteste 1175-1253) ชาวอังกฤษ เรียนและสอนที่ออกซ์ฟอร์ดจนได้เป็นอธิการบดีในปีค.ศ. 1221 รู้ดีทั้งภาษากรีกและละติน พยายามประนีประนอมออเกิสทีนกับแอเริสทาเทิลโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านธรรมชาติวิทยา ใช้คณิตศาสตร์และการสังเกตค้นพบปรากฏการณ์มากมายในธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้คาถาอาคมร่วม นับเป็นผู้ริเริ่มเรื้อฟื้นและพัฒนาธรรมชาติวิทยาของแอเริสทาเทิล ทำให้เกาะอังกฤษเป็นผู้นำทางด้านวิธีการวิทยาศาสตร์ต่อมา


Leave a comment