Aquinas on creation  อไควเนิสกับการสร้าง
ผู้แต่ง : กันต์สินี สมิตพันธ์
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
พระเป็นเจ้าทรงสร้างจากความเปล่า พระเป็นเจ้าทรงเป็นสาเหตตุแรกของทุกสิ่ง เพราะว่านอกจากพระเป็นเจ้าทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งบังเอิญ สิ่งบังเอิญจำเป็นต้องมาจากสิ่งจำเป็น ดังนั้น หากพระเป็นเจ้าไม่ทรงสร้างจากความเปล่าก็จะต้องสร้างจากตัวพระองค์เอง แต่ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระเป็นเจ้าจะทรงเป็นวัสดุแห่งการสร้าง เพราะจะทำให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงในพระเป็นเจ้าซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะได้พิสูจน์มาแล้วว่าในพระเป็นเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ประการใด
อาจมีผู้ถามว่า แม้การสร้างจากความว่างเปล่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในพระเป็นเจ้าเสียเลยหรือ อไควเนิสตอบไว้ว่าไม่มี เพราะการสร้างของพระเป็นเจ้าก็เป็นอกาละเช่นกัน แต่ทว่าผลเกิดขึ้นในเวลา ดังนั้น การสร้างมิได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในพระเป็นเจ้า ที่เราคิดว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลังการสร้างก็เพราะเราอคติถึงพระเป็นเจ้าในเวลาไม่ได้ แต่ความจริงพระองค์อยู่นอกเวลา ทรงเป็นอกาละและอเทศะ ดังนั้น เมื่อมีสิ่งสร้างขึ้นแล้ว สิ่งสร้างมีความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า แต่พระเป็นเจ้าหามีความสัมพันธ์กับสิ่งสร้างไม่ เพราะการสร้างของพระองค์ก็เป็นแง่หนึ่งของความสมบูรณ์เต็มเปี่ยมของพระองค์อยู่แล้ว ไม่มีอะไรใหม่เพิ่มขึ้นสำหรับความสมบูรณ์ของพระองค์
พระเป็นเจ้าทรงสร้างสิ่งเลวร้ายด้วยหรือไม่ ถ้าไม่สร้างก็สิ่งเลวร้ายมาจากไหนเล่า อไควเนิสถือเหมือนเพลอทายเนิสและออเกิสทีนว่า ความเลวร้ายคือการขาดความดี เป็นเชิงปฏิเสธ เป็นการไม่มีความดีที่น่าจะมี อไควเนิสแยกความเลวร้ายออกเป็น 3 ความหมายคือ 1) ความเลวร้ายทางอภิปรัชญา ( metaphysical evil) ได้แก่การขาดความมีอยู่ 2) ความเลวร้ายทางกายภาพ ( physical evil) ได้แก่ การขาดคุณสมบัติอันควรมี เช่น ความตาบอดของนายดำ การเป็นหมันของนางแดง การมีนิ้วมือ 11 นิ้วของนายขาว เป็นต้น 3) ความเลวร้ายทางศีลธรรม (moral evil) ได้แก่บาป
ความเลวร้ายทางอภิปรัชญาไม่มีปัญหาสำหรับอไควเนิส เพราะถือว่า การสร้างให้มีขึ้นมาย่อมดีกว่าไม่สร้าง ความเลวร้ายทางกายภาพมีปัญหาว่า ทำไมพระเป็นเจ้าจึงทรงสร้างสิ่งต่างๆ ให้มีความบกพร่อง อไควเนิสตอบว่า สิ่งสร้างย่อมมีขอบเขตจำกัด จึงต้องมีการขาดไม่มากก็น้อยทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์เต็มที่ความดีหรือเลวทางกายภาพจึงเป็นเรื่องสัมพัทธ์ดดยเปรียบเทียบกันและกัน สิ่งบกพร่องน้อยก็ถือว่าดีกว่าสิ่งบกพร่องมาก หากจะให้บกพร่องระดับเดียวกันทั้งหมด ก็จะทำให้ขาดความงดงามในส่วนรวม อย่างไรก็ตาม อไควเนิสเชื่อว่า พระเป็นเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความยุติธรรมย่อมจะมีวิธีชดเชยอย่างเหมาะสมมิให้ตำหนิได้ ต้องรอถึงโลกหน้าจึงจะเห็นแจ้ง
ความเลวร้ายทางศีลธรรมนั้นมีปัญหามาก คือ ในเมื่อพระเป็นเจ้าทรงทราบล่วงหน้าว่า ใครจะทำบาปและไม่ยอมกลับใจจะทรงสร้างมาทำไม อไควเนิสตอบว่าผู้ถามถือว่าพระเป็นเจ้าอยู่ในขอบข่ายของเวลา จึงคิดว่าพระเป็นเจ้าทรงทราบล่วงหน้าความจริงในพระเป็นเจ้าไม่มีอดีตและอนาคต ไม่มีอะไรล่วงหน้าและล่วงเลย การรู้ การสร้าง และการเห็นมนุษย์ทำบาปเป็นขณะเดียวกันสำหรับพระองค์ พระองค์ทรงสร้างมนุษย์โดยยกย่องให้มีเสรีภาพตามพระฉายาของพระองค์ นับเป็นเกียรติอันสูงส่ง พระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์ใช้เสรีภาพอย่างถูกต้องเพื่อความดีของมนุษย์เอง หากมนุษย์จะตัดสินใจหนีออกจากความดีก็เป็นการกระทำของมนุษย์เอง ไม่ใช่เป็นการสร้างหรือการกระทำของพระเป็นเจ้าแต่อย่างใด หากพระเป็นเจ้าไม่เปิดโอกาสให้หนีออกจากความดีได้เลย ก็จะกลายเป็นว่าพระเป็นเจ้าไม่ให้เกียรติ ไม่ให้เสรีภาพอย่างแท้จริงหากไม่มีโอกาสทำชั่วได้เลย การทำดีก็จะไม่เป็นความดี เพราะเท่ากับทำความดีโดยอัตโนมัติหาความดีความชอบมิได้ ที่กล่าวว่าพระเป็นเจ้าทรงปูนบำเหน็จและลงโทษนั้น อไควเนิสถือว่าเป็นภาษาภาพพจน์เท่านั้น ความจริงบำเหน็จเกิดจากการเข้าถึงความดี และการลงโทษเกิดจากการห่างจากความดีนั่นเอง ใครเข้าถึงพระเป็นเจ้าก็มีความสุข ใครออกห่างจากพระเป็นเจ้าก็จะพบความทุกข์ แต่ทว่ากฎแห่งกรรมดังกล่าวก็คือพระองค์เองและพระองค์ในฐานะองค์ความยุติธรรม


Leave a comment