Augustine on existence of God อาเกิสทีนพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้า
ผู้แต่ง : รวิช ตาแก้ว
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
ความจริงออเกิสทีนเชื่ออยู่แล้วว่ามีพระเป็นเจ้า แต่ถือว่าเป็นเรื่องของศรัทธา ตามวิสัยของนักปรัชญาท่านจะต้องหาวิธีพิสูจน์ด้วยเหตุผล และพื้นฐานเหตุผลจองท่านก็ย่อมมาจากปรัชญาของเพลโทว์นั่นเอง ออเกิสทีนให้ข้อพิสูจน์ไว้หลายแบบในที่ต่างๆ ซึ่งพอจะประมวลได้ดังต่อไปนี้
ข้อพิสูจน์จาการมีความจริงนิรันดร์ (Argument from the Existence of Eternal Truth) เราแน่ใจว่ามีความจริงนิรันดรที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งบางข้อเราก็ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่นอนโดยไม่มีใครอาจจะสงสัยได้เลยก็มี เช่นว่าถ้าข้าพเจ้าหลงผิด ข้าพเจ้าก็มีอยู่ (Si fallor, l sum) แต่ทว่าผู้ประทานความจริงนิรันดรแก่เราได้ต้องเป็นผู้มีความเป็นอยู่นิรันดร มิฉะนั้นแล้วก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ว่าทำไมสติปัญญาอันมีขอบเขตของเราจะเข้าใจความจริงนิรันดรได้ ผู้มีชีวิตนิรันดรผู้นั้นคือพระเป็นเจ้า
จะเห็นได้ว่า ข้อพิสูจน์ของออเกิสทีนข้อนี้ตั้งอยู่บนมูลบทว่าสิ่งไม่มีขอบเขตเท่านั้นจึงจะรู้สิ่งไม่มีขอบเขตด้วยกันได้ สิ่งมีขอบเขตจะรู้ได้ก็แต่เพียงสิ่งมีขอบเขตเป็นอย่างมาก
ให้สังเกตว่าสูตร “ถ้าข้าพเจ้าหลงผิด ข้าพเจ้าก็มีอยู่” ของออเกิสทีนเป็นบ่อเกิดของสูตร “ข้าพเจ้าสงสัย เพราะฉะนั้นข้าพเจ้ามีอยู่” (Dubito. Ergo sum) ของเดการ์ตในสมัยใหม่
ข้อพิสูจน์จากการมี่ส่วนร่วม (Argument from Participation) สิ่งเปลี่ยนแปลงทั้งหลายต้องได้รับความสมบูรณ์หรือแบบแห่งความสมบูรณ์ (จากปรัชญาของเพลโทว์) แต่ทว่าไม่มีส่งิใดจะให้ความสมบูรณ์แก่ตัวเองได้ เพราะการให้สิ่งที่ตัวเองยังไม่มีนั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งเปลี่ยนแปลงทั้งหลายต้องได้รับความสมบูรณ์จะต้องเป็นความสมบูรณ์ในพระเป็นเจ้าเท่านั้น
จะเห็นได้ว่า ข้อพิสูจน์นี้มีมูลบทอยู่บนปรัชญาของเพลโทว์เรื่องมโนคตินิรันดร แต่ออเกิสทีนไม่ยอมหใมดนคติอยู่ได้ลอยๆ จึงสรุปให้มโนคติอยู่ในพระปัญญาของพระเป็นเจ้า เพื่อค้ำประกันการไม่เปลี่ยนแปลงและการมีสภาพนิรันดรให้แก่มโนคติ
ข้อพิสูจน์จากแผนการของเอกภพ (Argument from Design)ออเกิสทีนมองเห็นว่ามีระเบียบและความงามในเอกภพ มีจุดมุ่งหมายในการกระทำของสิ่งไร้สติปัญญา จึงสรุปว่าต้องมีผู้ยิ่งใหญ่วางแผนสร้างให้ ผู้นั้นไม่น่าจะเป็นใครอื่นไปได้นอกจากพระเป็นเจ้า
ข้อพิสูจน์จากความคิดเห็นร่วมของคนทั่วไป (Argument from Universal Consent)ในสมัยของออเกิสทีน คนส่วนมากนับถือพระเป็นเจ้าหรือเทพเจ้าไม่ว่าในแบบใดแบบหนึ่ง ผู้ใดไม่นับถือพระเป็นเจ้าหรือเทพเจ้าในแบบใดเลยจะถูกรังเกียจว่าจิตใจวิปริต คนทั่วไปไม่อยากคบค้าด้วย ออเกิสทีนจึงใช้ข้อเท็จจริงนี้อ้างว่าสิ่งที่คนเกือบทุกคนเชื่อย่างพร้อมเพียงเช่นนี้ไม่นาจะไร้ความจยริง เพราะมิฉะนั้นจะทำให้เรามั่นใจในความจริงอะไรได้ยาก
ข้อพิสูจน์นี้สำหรับคนปัจจุบันไม่มีคุณค่าเลย เพราะประสบการณ์บอกเราว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นเป็นเรื่องโคมลอยไร้สาระเสียมากต่อมากแล้ว เช่นครั้งหนึ่งคนทั้งโลกเชื่อว่าโลกแบน ก็ไม่มีอิทธิพลอะไรไปผูกมัดโลกให้แบนไปตามความเชื่อสากลดังกล่าว อนึ่ง ในปัจจุบันมีผู้ประกาศตัวเป็นผู้ไม่มีศาสนามากมายและจิตใจก็ยังปกติดีอยู่ ทำให้สมมติฐานของออเกิสทีนผิดข้อเท็จจริงในปัจจุบันไป
ข้อพิสูจน์จากมโนธรรม (Argument from Conscience)ออเกิสทีนสำรวจจิตใจของตนเองแล้วรู้สึกว่า ถ้าไม่มีพระเป็นเจ้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งสิ่งใดได้ที่จะสามารถดับทุกข์และค้ำประกันความสงบจิตใจได้อย่างแท้จริง ถ้าแลว่ามนุษย์ต้องล้มเหลวในความต้องการสูงสุดของตนเช่นนี้ ต้องนับว่า มนุษย์เป็นสิ่งที่น่าสงสารที่สุดในบรรดาสรรพสิ่งในเอกภพ จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ ดังนั้น ผู้ที่ยึดเอาพระเป็นเจ้าเป็นสรณะสำหรับดับทุกข์และสงบจิตใจจึงไม่ต้องกลัวผิดหวัง พระเป็นเจ้าจึงต้องมีอยู่จริงเพื่อค้ำประกันความผิดหวังดังกล่าว
จะเห็นได้ว่า ข้อพิสูจน์นี้มีมูลบทจากความรู้สึกทางจิตวิทยา จึงไม่น่าจะเป็นข้อพิสูจน์หลัก ออเกิสทีนคงจะยกขึ้นอ้างในฐานะข้อช่วยสนับสนุนเท่านั้น อย่างเช่นข้อพิสูจน์จากความคิดเห็นร่วมของคนทั่วไปก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน
ข้อพิสูจน์จากระดับของความสมบูรณ์ (Argument from Degrees of Perfection)เป็นข้อเท็จจริงว่าในเอกภพมีสิ่งที่มีความบูรณ์ในระดับต่างกัน เช่น ดีมากดีน้อย งามมากงามน้อย ฯลฯ จึงจำเป็นจะต้องมีความสมบูรณ์มาตรฐาน เช่น ความดีมาตรฐาน ความงามมาตรฐาน เป็นต้น ความสมบูรณ์มาตรฐานจะต้องเป็นความสมบูรณ์สูงสุด ไม่มีความบกพร่องเจือปนอยู่เลยและจะต้องไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทว่าคงอยู่นิรันดร ความสมบูรณ์ดังกล่าวจะต้องเป็นความสมบูรณ์ของพระเป็นเจ้าเท่านั้น


Leave a comment