
Kant, Immanuel คานท์
ผู้แต่ง : เมธา หริมเทพาธิป
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
คานท์ (1724-1804) เป็นชาวเยอรมัน เกิดในครอบครัวที่มีศรัทธาเคร่งครัดต่อคริสตศาสนานิกายภักดีนิยม (pietism) ซึ่งเป็นนิกายที่เรียกร้องให้เชื่อและปฏิบัติเคร่งครัด ต่อมาได้เข้ามหาวิทยาลัย เรียนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ด้วยใจรัก ภายหลังได้อ่านหนังสือปรัชญาของฝ่ายเหตุผลนิยมและประสบการณ์นิยม เล็งเห็นว่าทั้งสองลัทธิกำลังทำลายสิ่งที่คานท์เองรักและหวงแหน คือ เหตุผลนิยมของขบวนการพุทธิปัญญา (enlightment movement) กำลังทำลายพื้นฐานของศาสนาและศีลธรรม ส่วนประสบการณ์นิยมของฮิวม์ก็กำลังทำลายพื้นฐานของคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คานท์รู้สึกว่าเป็นหน้าที่จะต้องอุทิศชีวิตเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ให้ได้ ที่สุดก็พบทฤษฎีโครงสร้างของสมองหรือโครงสร้างของปัญญา (theory of mind-structure) ซึ่งกลายเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อปฏิรูปเนื้อหาปรัชญาในเวลาต่อมา
คานท์เห็นว่าฝ่ายประสบการณ์นิยมและฝ่ายเหตุผลนิยม ต่างก็เข้าใจผิดในการมอบหมายมาตรการความจริงให้กับผัสสะและเหตุผล อันที่จริงทั้งผัสสะและเหตุผลต่างก็เป็นเพียงโครงสร้างของปัญญาของเราเท่านั้น จะถือว่าให้ความรู้ที่ตรงกับความเป็นจริงภายนอกไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าสมรรถภาพทั้งสองของปัญญาของเรานี้ บิดผันความเป็นจริงภายนอกไปอย่างไร ก่อนที่จะปรุงแต่งเป็นความรู้สำเร็จรูปมาเสนอให้เราทราบ เปรียบเสมือนเราเห็นเครื่องใช้สำเร็จรูป เราต้องเข้าใจว่าก่อนจะสำเร็จรูปขึ้นมาได้นั้นต้องมีวัตถุดิบ แล้ววัตถุดิบนั้นต้องผ่านกรรมวิธีซับซ้อนของโรงงาน แปรสภาพจนจำวัตถุดิบไม่ได้ ที่เรารู้แน่นอนก็คือต้องมีวัตถุดิบและมีการผ่านกรรมวิธีซับซ้อน ความรู้ของเราเปรียบเทียบได้กับเครื่องใช้สำเร็จรูป วัตถุแห่งความรู้หรือความจริงภายนอกเป็นวัตถุดิบ และโครงสร้างหรือกลไกของปัญญาเป็นโรงงาน ความรู้ของเราจึงเป็นความรู้เท่าที่ปรากฏแก่ปัญญาของเรา(phenomena) เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าความเป็นจริงภายนอก (noumena) เป็นอย่างไร แต่เราแน่ใจว่าต้องมีความเป็นจริงเป็นวัตถุของความรู้ มิฉะนั้นความรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้
กรรมวิธีหรือกลไกของปัญญาของเรามี 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกเรียกว่าแบบบริสุทธิ์แห่งผัสสะ (pure forms of sensation) ซึ่งมีอยู่ 2 ชั้น คือ อวกาศ (space) และเวลา (time) ความรู้ที่ได้ออกมาเป็นความรู้ทางผัสสะ รู้เป็นหน่วย ๆ เช่น คน ๆ นี้ บ้านหลังนี้ รถคันนั้น ต้นไม้ต้นโน้น เท่าที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงมาตรการสำหรับตัดสินความจริงของคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เท่านั้น ส่วนมาตรการความจริงของศาสนาและศีลธรรมนั้นเป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะไม่ต้องผ่านโครงสร้างของปัญญา แต่เข้าสัมผัสกับความเป็นจริงโดยตรงทีเดียว เรื่องศาสนาและศีลธรรมเท่านั้นที่มีอภิสิทธิ์เช่นนี้ จึงเป็นอันว่าปัญญาของเรามีสมรรถภาพ 2 อย่างคือ
1. เหตุผลบริสุทธิ์ (pure reason) สำหรับรับรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ต้องผ่านโครงสร้างของปัญญา
2. เหตุผลปฏิบัติ (practical reason) สำหรับรู้ศีลธรรมและศาสนา ไม่มีกลไก แต่เข้าสัมผัสกับความเป็นจริงโดยตรง เป็นความรู้แบบอัชฌัตติกญาณ คือ เห็นแจ้งในกฎศีลธรรมและสิ่งเหนือธรรมชาติโดยตรง ใครเห็นแจ้งเรื่องใดก็รู้แต่เพียงว่าต้องปฏิบัติอะไร (Duty to be done) โดยไม่ให้เหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น เห็นวาบเหมือนมโนธรรมสั่งอย่างเด็ดขาด ทำได้ก็จะสบายใจ ทำไม่ได้จะไม่สบายใจหงุดหงิดตลอดไป
ให้สังเกตว่าในที่นี้คานท์ใช้คำว่า “เหตุผล” (reason) ไม่ใช่ในความหมายว่าการพิสูจน์ตามที่เข้าใจกันตามธรรมดา แต่ใช้ในความหมายว่า สมรรถภาพของปัญญา จึงเป็นอันว่ามาตรการความจริงของศีลธรรมและศาสนาก็คือ ความรู้ที่ได้มาโดยการเข้าสัมผัสเห็นแจ้งโดยอัชฌัตติกญาณนั่นเอง มนุษย์เราเห็นแจ้งในเรื่องนี้ไม่เท่ากัน ใครเห็นแจ้งได้แค่ไหนก็รู้ความเป็นจริงเพียงแค่นั้น นอกเหนือไปจากนั้น ถ้าอยากรู้ก็ให้รับฟังผู้ที่เห็นแจ้งเหนือตนขึ้นไป
