
separation from philosophy การแยกตัวจากปรัชญา
ผู้แต่ง : รวิช ตาแก้ว
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
สาเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงอันสำคัญทางปรัชญาอาจจะกล่าวได้อย่างรวม ๆ ว่า มาจากการที่วิชาการต่าง ๆ แยกตัวจากปรัชญาไปตั้งตัวเป็นวิชาอิสระนั่นเอง ในฐานะที่ปรัชญาแปลมาจากภาษาอังกฤษว่า philosophy ซึ่งมีความหมายตามรากศัพท์ภาษากรีกว่า เป็นความอยากรู้ อยากเรียน อยากฉลาด ซึ่งตามเจตนาของชาวกรีกที่สร้างศัพท์นี้ขึ้นมา ก็เพื่อใช้เรียกความรู้ทุกอย่างที่เป็นผลมาจากความอยากรู้ อยากเรียน อยากฉลาด ครั้นอยากรู้ อยากเรียน อยากฉลาดในเรื่องใดกันมากขึ้นเป็นพิเศษก็จะได้ข้อมูลสะสมไว้มาก
วันดีคืนดีก็จะมีกลุ่มผู้อ้างตัวเป็นครูบาอาจารย์ และวางตัวเป็นเจ้าของเรื่อง ตั้งชื่อให้เรียบร้อยว่าความรู้ที่ตนเชี่ยวชาญเป็นเจ้าของอยู่นั้น เรียกชื่อว่าอย่างไร พร้อมที่จะบริการผู้ที่อยากรู้ อยากเรียน อยากฉลาดในด้านนั้น และเมื่อเป็นที่ยอมรับกันในสังคม ก็ถือได้ว่า เนื้อหาส่วนนั้นแยกตัวเป็นวิชาอิสระไปแล้ว
สมมุติว่าวิชา ก. แยกตัวเป็นวิชาอิสระไปแล้ว นักปรัชญาจะได้ชื่อว่าเป็นนักปรัชญาต่อไปได้จะต้องเป็นผู้อยากรู้ อยากเรียน อยากฉลาด ในเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากเรื่องในขอบข่ายของวิชา ก. ได้มีวิชาที่แยกตัว (เหมือนแยกครอบครัว) ออกไปจากวิชาปรัชญาในทำนองนี้ เช่น ศาสนา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ จิตวิทยา เป็นต้น แน่นอนว่าวิชาหลักเหล่านี้เมื่อแยกตัวออกไปแล้วก็จะแตกลูกแตกหลานต่อไป เป็นวิชาต่าง ๆ มากมายในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งที่แยกตัวออกไปเป็นสาขาของวิชาเดิม และที่แตกออกไปรวมกับวิชาอื่นเป็นสหวิชาก็มี
จึงเห็นได้ว่า เดิมนั้นปรัชญามีเนื้อหาน้อยก็จริง แต่มีขอบข่ายในความรับผิดชอบกว้างขวางมาก เมื่อส่วนหนึ่งแยกตัวออกไปซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาส่วนใหญ่ของปรัชญาที่มีในขณะที่แยก แต่ก็เป็นเนื้อหาด้านเดียวของความรู้ ปรัชญาจึงมีขอบข่ายที่เหลืออีกมากมายที่ยังไม่รู้และท้าทายให้ค้นคว้า แต่ครั้นแยกออกไปหลาย ๆ ด้านเข้า ขอบข่ายที่เหลือสำหรับค้นคว้าจึงแคบลงทุกที
ในที่สุด นักปรัชญาก็หาทางออกโดยขอเข้าไปทำหน้าที่ในวิชาต่าง ๆ ที่แยกสาขาออกไป ซึ่งบางครั้งก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีในฐานะเข้าไปมีบทบาทเสริมเนื้อหาที่ให้คุณแก่วิชานั้น ๆ แต่บางครั้งก็ถูกต่อต้านในฐานะที่ถูกเพ่งเล็งว่าจะเข้าไปแข่งขัน หรือเข้าไปให้โทษ หรืออาจจะเข้าไปแย่งตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นไปเสียเลยก็ได้
