
ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
ปรัชญาหลังนวยุคสายกลางเริ่มเมื่อไร เมื่อสืบค้นย้อนความ จะพบว่า คำแรกที่เกิดมาคือ Reconstructionism ในปี 1942 ต่อมา Richard Mosier ในหนังสือ The philosophy of reconstructionism (1951) ได้ชี้ถึงแนวคิดรื้อสร้างใหม่ในตรรกะ ศีลธรรม การศึกษาและปรัชญา
ในทางศิลปะ แนวคิด Reconstruction เกิดมาก่อนแนวคิด Deconstruction
สำหรับแนวคิด Deconstruction เกิดจาก Jacques Derrida ในปี 1967 จากงาน Of Grammatology ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดของ Ferdinand de Saussure
Heinrich Fries. (1985). Fundamental Theology. Trans by Robert J. Dalsy, S.J. the Catholic University of America, Washington, D.C. pp. 636-8 ได้แสดงความหมายของ moderate postmodern ว่าเป็นความพยายามที่จะใช้บางรูปแบบของความมีเหตุผล เป็นการวิพากษ์ที่เจาะจงลงไปในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่แท้จริง (real problem) ในประวัติศาสตร์ เป็นคุณลักษณะของการตื่นตัว (assertion) ทั้งนี้ รากความคิดของหลังนวยุคสายกลางมาจาก Matin Heidegger และ Ludwig Wittgenstein
สำหรับคำว่า “หลังนวยุค” เป็นศัพท์บัญญัติโดย ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ ราชบัณฑิต สำหรับคำว่า postmodern และแนวคิดกระบวนทรรศน์มาจาก Thomas Khun ที่ว่า paradigm reflects the belief that the mind’s nature is essentially interpretative ซึ่งศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ ได้นำคำว่า postmodern paradigm มาใช้ ร่วมสมัยกับแนวคิดของนักปรัชญาทางตะวันตกที่มอง postmodern เป็น paradigm เช่น Richard Tarnas (1993) และ Evaldas Nekrasa (2005) เป็นต้น
ปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง (Moderate postmodern philosophy) สำหรับศตวรรษที่ 21 นั้นมีลักษณะสำคัญที่พยายามรักษาสมดุลระหว่างมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของปรัชญาหลังนวยุค (postmodern philosophy) กับความต้องการความจริงและโครงสร้างบางอย่างที่ยังคงมีความสำคัญในยุคปัจจุบัน แนวทางนี้มีความเป็นกลางและหลีกเลี่ยงความสุดโต่งของหลังนวยุคจากศตวรรษที่ 20 อธิบายได้ดังนี้
- ลักษณะของ Moderate Postmodern Philosophy นั้นเป็นการประยุกต์ปรัชญาหลังนวยุคโดยตีความ-ปรับให้เข้ากับบริบทของศตวรรษที่ 21 โดย 1) การยอมรับความไม่แน่นอน แต่ไม่ละทิ้งโครงสร้าง 2) ยอมรับว่าโลกและความรู้ไม่มี “ความจริงสัมบูรณ์” (absolute truth) แต่ยังคงเห็นความจำเป็นของการสร้างโครงสร้างบางอย่าง เช่น ความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และความยั่งยืน เช่น การมองว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องมีเพื่อความเป็นระเบียบและสันติภาพ
- การตั้งคำถามที่สร้างสรรค์ ยังคงใช้มุมมองวิพากษ์ (critique) ของหลังนวยุค เช่น การตั้งคำถามต่ออำนาจและโครงสร้างทางสังคม แต่ทำในลักษณะที่สร้างสรรค์ (constructive) เพื่อสร้างสังคมที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น การวิพากษ์แนวคิดทุนนิยมที่ไม่ยั่งยืน และเสนอทางเลือกที่สมดุล เช่น ทุนนิยมที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (sustainable capitalism)
- การผสมผสานความหลากหลายโดยไม่ละเลยความสามัคคี หลังนวยุคดั้งเดิมเน้นความหลากหลายและการกระจายอำนาจ จนบางครั้งทำให้ขาดความร่วมมือหรือเป้าหมายร่วมกัน หลังนวยุคสายกลางพยายามสร้างพื้นที่สำหรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิด และวิถีชีวิต ในขณะที่ยังรักษาความสามารถในการทำงานร่วมกันในประเด็นที่สำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ปัญหาในศตวรรษที่ 21 เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่อาจคาดการณ์ได้ แนวทางหลังนวยุคสายกลางได้พยายามตอบสนองต่อความท้าทายทางสังคมและวัฒนธรรมในยุคปัจจุบัน เช่น ประเด็นเรื่องความจริงในยุคข้อมูลข่าวสาร (Post-Truth Era) หลังนวยุคดั้งเดิมอาจถูกวิจารณ์ว่าทำให้ความจริง “ลื่นไหล” จนเกินไป หลังนวยุคสายกลางตระหนักถึงภัยจากข้อมูลเท็จ (fake news) และพยายามสร้างสมดุลระหว่างการตั้งคำถามกับการยอมรับข้อเท็จจริงบางอย่างที่พิสูจน์ได้ สนับสนุนการมีสื่อที่โปร่งใสและการศึกษาด้านการคิดเชิงวิพากษ์
ประเด็นที่ได้รับความสนใจมากคือ สิทธิมนุษยชน และความยุติธรรมทางสังคม แม้กระแสหลังนวยุคจะวิจารณ์ความเป็นสากล (Universalism) แต่หลังนวยุคสายกลางยังคงสนับสนุนแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนในฐานะกรอบที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ เพื่อรับรองความเสมอภาคและการคุ้มครองบุคคล ยอมรับการผลักดันสิทธิสตรี LGBTQ+ และคนชายขอบ ในลักษณะที่เคารพความหลากหลายของวัฒนธรรม
การจัดการกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีโดยมีฐานคิดจาก Martin Heidegger ที่กังวลเกี่ยวกับความเป็นวิถีชีวิตใหม่จากเทคโนโลยี จึงได้มีความพยายามสำรวจผลกระทบของเทคโนโลยี เช่น AI และโลกดิจิทัล โดยตั้งคำถามถึงผลกระทบต่ออัตลักษณ์ ความเป็นส่วนตัว และจริยธรรม มีการตั้งคำถามต่ออำนาจของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และการมองหาวิธีการควบคุมที่ไม่ทำลายความคิดสร้างสรรค์
นักปรัชญาร่วมสมัยที่เสนอแนวทางปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง ได้แก่
Bruno Latour (1947-2022) เสนอแนวคิดเรื่องการคืนชีพ (re-enlightenment) โดยไม่ละทิ้งมรดกของการวิพากษ์ในยุคโพสต์โมเดิร์น เช่น การมองว่าโลกธรรมชาติและวัฒนธรรมเป็นส่วนที่เชื่อมโยงกันในระบบเดียว
Jürgen Habermas (1929- ) มองความเป็นเหตุเป็นผล (reason) ในฐานะเครื่องมือสำหรับการสนทนาที่สร้างสรรค์ โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบที่ตายตัว
Zygmunt Bauman (1925-2017) เสนอแนวคิด “modernity in flux” โดยยอมรับว่านวยุค (modernity) และหลังนวยุค สามารถอยู่ร่วมกันในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สำหรับศตวรรษที่ 21 หลังนวยุคสายกลางเป็นปรัชญาที่วิพากษ์และตั้งคำถามโครงสร้างทางสังคม อำนาจ และความจริง ยอมรับความไม่แน่นอนของความรู้ แต่ยังคงเคารพความจำเป็นของการมีโครงสร้างร่วมกัน เน้นการแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ เช่น การรักษาสิ่งแวดล้อม ความยุติธรรมทางสังคม และการตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยรักษาสมดุลระหว่างการตั้งคำถามและการทำงานร่วมกันด้วยพลังแห่งความสร้างสรรค์ ปรับตัว ร่วมมือและแสวงหาสิ่งใหม่ที่ดียิ่งกว่าเดิมอยู่เสมอ

