อ.ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
…
เมื่อกล่าวถึง “ปรัชญาความรู้” ย่อมทำให้ย้อนนึกไปถึงศาสตร์สำคัญคือ ญาณวิทยา (epistemology) ที่เป็นวิชาว่าด้วยความรู้ หรือที่ฝ่ายนักปรัชญาในยุคใหม่เรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (theory of knowledge) สิ่งที่สนใจในวงรอบความคิดนี้ย่อมไม่พ้นขอบเขตการศึกษาของญาณวิทยา ทั้งนี้ย่อมศึกษาผ่านประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการของวิชาการความรู้ (science of knowledge) ในฐานะบริบทเชิงมโนทรรศน์ของความรู้ (conceptual context of knowledge) ในแต่ละยุค แต่ละกระบวนทรรศน์ความคิด (paradigm of thought) ซึ่งสรุปลงเป็นแต่ละลัทธิทางปรัชญา โดยขบคิดกันใน 2 บริบทสำคัญคือ วิธีการได้มาซึ่งความรู้และประเภทของความรู้ที่เกิดขึ้น
เมื่อพิจารณาวิธีการได้มาซึ่งความรู้ (way of knowing) ย่อมจำแนกวิธีการออกมาเป็นเบื้องต้น ดังนี้
วิธีการได้มาซึ่งความรู้ จำแนกตามความง่าย-ยากของการได้มาซึ่งความรู้
- การมีประสบการณ์เชิงประจักษ์ (empiric) เป็นการประจักษ์ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 (การเห็น ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้รส และได้สัมผัส) หรืออาจเรียกว่าการสังเกต (observation) ก็ได้
- การคิดใช้เหตุผล (rational thinking) เป็นการคิดโดยอาศัยเหตุผลบนรากฐานของหลักตรรกวิทยาและคณิตศาสตร์
- การถ่่ายทอดจากระบบที่วางไว้ (authoritation) เป็นการรับมาเป็นความรู้จากการเรียน การศึกษา การพูดคุยกับผู้รู้ ตำรา แหล่งเรียนรู้ต่างๆ
- การหยั่งรู้ (intuition) เป็นการรู้ได้เองเกินกว่าการประมวลความรู้จากการคิด เกิดขึ้นภายใต้ภาวะมีสติ (consciousness)
- การวิวรณ์ (revelation) เป็นการเปิดเผยจากพระเจ้า ผ่านวจนะ (the Word) หรือ การส่องสว่าง (Enlightenment)
เมื่อได้ความรู้มาแล้ว เกิดตัวความรู้ ซึ่งจำแนกได้เป็น 3 ชนิด ได้ตามเกณฑ์ประสบการณ์เชิงประจักษ์ ได้แก่
- ความรู้ดั้งเดิม (priori knowledge) เป็นความรู้ที่มีอยู่แต่เดิม ไม่ต้องการการพิสูจน์ใดๆ เรียกอีกอย่างว่า ความรู้แต่กำเนิด (innate knowledge)
- ความรู้ที่เกิดภายหลัง (posteriori knowledge) เป็นความรู้ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของประสบการณ์และการสังเกต เรียกอีกอย่างว่า ความรู้จากการสังเกต (observational knowledge)
- ความรู้จากคิดการทดลอง (knowledge by thinking/experiment) เป็นความรู้ที่เกิดภายหลังจากการคิดเกี่ยวการทำให้เกิดประสบการณ์ เพื่อนำมาสร้างวิธีที่จะทำให้เกิดสู่ประสบการณ์ที่น่าพอใจ
ในขณะเดียวกันก็แยกชนิดของความรู้ได้เป็นกลุ่มๆ ได้แก่
- Knowledge by Acquaintance ความรู้ที่คุ้นเคย เป็นความรู้ถึง ธรรมชาติ ลักษณะและพฤติกรรมของสิ่งนั้นๆ เช่น เขาชอบพูดเสียงดัง
- Knowledge-that ความรู้ว่าสิ่งนั้นทำอะไรโดยทั่วไป เช่น คนเดิน นกบิน
- Knowledge-Wh ความรู้ว่าสิ่งนั้นเป็น who, what, where, when, why (ใครทำอะไรที่ไหนเมื่อไรทำไม)
- Knowledge-How ความรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร How
ในช่วงกระบวนทรรศน์ยุคใหม่ เกิดข้อสงสัยต่อความรู้ (Sceptical Doubts about Knowing) เลยเริ่มจาก Descartes จนมาถึง Kant นำไปสู่ความเข้าใจต่อความรู้ในฐานะระดับความเป็นไปได้ possibilities ของความจริง (truth) ทั้งนี้ มีการพิจารณาใน 2 ประเด็นคือ
- ความถูกต้องของความเชื่อและการค้ำประกันความเชื่อ (true and well justified belief) ซึ่งสนใจในแง่หลักฐาน (evidence) และ ความน่าเชื่อถือ (reliability)
- ความเชื่อไม่เป็นความรู้ (beliefs are not knowledge) เป็นสิ่งที่อาจจะถูกค้ำประกันด้วยหลักฐานและความน่าเชื่อถือว่าถูกต้องและจริงและคนเชื่อถือตามนั้น แต่สิ่งนั้นไม่เป็นความรู้ก็ได้ เป็นแค่ ข้อมูลที่ยังไม่อาจสรุปรวบยอดได้ เช่น คนดีมีเงินมาก แม้จะพบหรือไม่พบเหตุการณ์ คนก็ยังเชื่อเช่นนี้ แต่ก็ไม่เป็นความรู้อยู่เช่นนั้น
knowledge for its own sake
ความรู้เพื่อความรู้
สถานภาพของความรู้ (Status of Knowledge)
ความรู้มีสถานภาพแสดงความรุ่งเรืองของอารยธรรม ในยุคโบราณเน้นการแสวงหาความรู้ และระบบกฎเกณฑ์ต่างๆ ในยุคกลางยกย่องความรู้ศาสนา ในยุคใหม่เชื่อว่ามีความเป็นจริงวัตถุวิสัยในระบบความรู้ ความรู้ที่เชื่อว่าความเป็นจริงต้องเป็นวัตถุวิสัยที่ตรงกัน 3 ด้าน คือ ความเป็นจริง ความคิด และภาษา ทั้งสามประสานกันเป็นระบบเครือข่าย (systematic network) ตามเกณฑ์ของนวยุคภาพ ซึ่งเรียก ความเชื่อในระบบเครือข่ายเช่นนี้ว่า “วจนศูนย์นิยม” (Logocentrism) ได้สร้างความหมายใหม่ให้แก่ภาษาด้วยเหตุผล (อุปนัยและนิรนัย)
ฟูโกต์ (Foucault) ชี้ว่าจากภาวะสังคมที่มีการแบ่งความรู้ออกเป็นศาสตร์ต่าง ๆ ทำให้มนุษย์เราถูกทำให้มีความหลากหลายของสถานภาพ รวมไปถึงถูกทำความเข้าใจ อธิบายอย่างแตกต่างหลากหลาย ไม่มีศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งที่สามารถอธิบายความเป็นจริงของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ศาสตร์ต่าง ๆ ก็ยังมีอิทธิพลต่อมนุษย์เรามากมาย
สิ่งที่ทำให้กลไกของความรู้เป็นเช่นนี้ก็คือ การเกิดขึ้นของสถาบันต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ในการรองรับและรับใช้ความรู้ ทั้งการทำให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง การผลิตความรู้ใหม่ และรวมไปถึงการผลิตวรรณกรรมขององค์ความรู้แบบนั้น ๆ เพื่อบอกเล่าว่าความรู้แบบใหม่สอนอะไร ให้อะไรแก่คนในสังคมรวมไปถึง มีอำนาจใดในการอธิบายมนุษย์และก่อให้เกิดความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างความรู้แบบใหม่กับความรู้แบบดั้งเดิมอย่างไร ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับมนุษย์ สังคมกับสิ่งแวดล้อม ในวัฒนธรรมหนึ่งไม่มีมนุษย์คนใดสำคัญหรือมีค่ามากกว่ามนุษย์อีกคนหนึ่ง หากแต่มนุษย์ต่างกันเพราะการให้ค่าความรู้อย่างหนึ่งในสังคม
ในปัจจุบัน ความรู้มีจำนวนมาก การค้ำประกันความจริงจึงอยู่ที่การย้อนอ่านทั้งหมด ไม่ปฏิเสธสิ่งใด (reread all, reject none) และ มนุษย์ทุกคนมีโอกาสที่จะสร้างโครงสร้างใยข่ายความรู้ในสมองตนเองเพื่อประโยชน์ในการช่วยจำ เข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ที่ตนเองรับรู้และสามารถพัฒนาสติปัญญาตัวเองได้
1 Comment