ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
สิทธิพิเศษของร่างกาย (ฺBody privilege) เป็นแนวคิดใหม่ที่ Samantha Kwan (นักคิด นักเขียน) ยืมมาจากแนวคิดเรื่องสิทธิพิเศษของคนผิวขาว (white man privilege) ของ Peggy McIntosh (นักสตรีนิยมชาวอเมริกัน) และพัฒนามาเป็นแนวคิดที่ว่าสิทธิพิเศษอาจขึ้นอยู่กับขนาดร่างกายของบุคคลด้วย โดยอธิบายว่า สิทธิพิเศษนี้ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของบางคน เช่น ในบางกรณี ร่างกายของบุคคลถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้ความฉลาดของบุคคลได้ ร่างกายของบุคคลยังเป็นปัจจัยในการตัดสินใจในการจ้างงาน ทั้งการจ้างงานและการเลื่อนตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม สิทธิพิเศษนี้อาจใช้เฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น เชื้อชาติหรือเพศ และไม่ใช่ในกรณีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอิทธิพลอื่นใด ด้วยเหตุนี้ แนวคิดเรื่องสิทธิพิเศษทางร่างกายจึงยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
สิทธิพิเศษของร่างกายเป็นการบ่งชี้ว่าบางคนจะได้รับผลประโยชน์ทางสังคม หากเขามีรูปร่างหน้าตามตามภาพลักษณ์มาตรฐาน (standard image) แนวคิดเช่นนี้คล้ายกับแนวคิดก่อหน้า เช่น การตีตราเรื่องโรคอ้วนและการขนาดร่างกาย( BMI) ในแง่ของสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน พนักงานที่มีลักษณะเช่น น้ำหนักตัวที่มาก มักจะเผชิญกับการปฏิบัติในการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม ค่าแรงที่ต่ำกว่า โอกาสในการการเลื่อนตำแหน่งน้อยกว่า การคุกคามจากเพื่อนร่วมงาน และการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ ความน่าดึงดูดใจของรูปร่างหน้าตา (pretty, beauty privilege) ยังเป็นปัจจัยกำหนดกระบวนการจ้างงาน ผู้ที่ถูกมองว่ามีเสน่ห์จะถูกมองเหมารวมว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดกว่า ทำงานได้ดีกว่า ในทางสังคมก็จะถูกมองว่าเป็นคนที่มีความสุขในชีวิตสมรส/ครอบครัวมากกว่า และมักจะเป็นคนที่มีชีวิตที่ดี
แนวคิดนี้ถูกใช้ เพื่อการตรวจสอบความได้เปรียบหรือผลประโยชน์ที่บุคคลได้รับเป็นพิเศษในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งจะเกิดเกิดได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยปัจจัยสำคัญจะมาจากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น (ไม่ได้เกิดของผลงาน) ตัวอย่างของรูปร่างที่มักจะเป็นประเด็นคือ ความเป็นรูปร่างในอุดมคติ ที่กำหนดตามมาตรฐานตะวันตกคือ หน้าตาดี รูปร่างผอม สูง และมีกล้ามเนื้อพอสมควร แนวคิดนี้สอดคล้องกัลหลักจิตวิทยาในฐานะอคติหรือความเอนเอียงของบุคคลต่อคนอื่น เช่น Halo effect ซึ่งหมายถึง บางคนจะมีรัศมีที่เจิดจ้าหรือโดดเด่นกว่าคนอื่น ทำให้ผู้คนให้ความสนใจหรือรู้สึกดีด้วยได้ง่ายกว่า เนื่องจากคนมีเสน่ห์จะถูกมองว่าเป็นคนดีตามรูปลักษณ์ภายนอก ทำให้โอกาสมากกว่าคนที่รูปร่างหน้าตาไม่ดี ในทางตรงกันข้างก็ทำให้บางคนใช้สิทธิพิเศษทางร่างกายนี้ เพื่อแสวงหาประโยชน์แก่ตน หรือเพื่อให้ตนได้เปรียบผู้อื่น

แต่เดิมมีความพยายามที่จะค้นหามนุษย์ที่ดีเลิศในทางพันธุกรรม (eugenics) จึงได้มีการค้นคว้าและพัฒนาแนวคิดในการพัฒนาร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง รวมไปถึงการจับคู่แต่งงานของคนที่มีพันธุกรรมที่ดี เพื่อให้ได้คนรุ่นถัดไปที่มีพันธุกรรมที่ดีเลิศ ในกระบวนการนี้จึงได้มีการจัดประกวดสาวงาม ชายงาม ซึ่งทำให้เกิดมาตรฐานของรูปร่างหน้าตาที่เป็นอุดมคติตามแนวคิดของแต่ละชนชาติ รวมไปถึงมาตรฐานสากลอีกด้วย
แต่คนเราก็มีแนวโน้มที่จะตีความแบบเหมารวม (stereotype) ว่า คนที่หน้าตาดีมักจะมีนิสัยที่ดีไปด้วย และมีหลักการบางอย่างที่เชื่อว่า คนหน้าตาดี จะเป็นคนฉลาด เป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเอง นำไปสู่การตลาดของการศัลยกรรมเสริมความงาม รวมไปถึง การจัดฟัน ซึ่งทำให้ได้หน้าตาที่ดี ซึ่งได้ร่วมกันประกอบสร้างค่านิยมในการมีรูปร่างหน้าตาดี โดยมีรูปร่างหน้าตาของนักแสดง นายแบบ นางแบบ เป็นมาตรฐาน
การเติบโตของค่านิยมนี้ทำให้คนหน้าตาธรรมดา ซึ่งถ่ายทอดรูปร่างหน้าตา สีผิว ลักษณะเส้นผม จมูก ปาก จากเชื้อชาติท้องถิ่น ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่นั้น ๆ กลายเป็นผู้ที่ไม่โดดเด่น ไม่มีตัวตนในสังคม Pretty Privilege ยังส่งผลกระทบต่อผู้คนในทุกวงการ ไม่เว้นแม้ในวงการอาชญากรรม เกิดภาวะที่มีการพิจารณาโทษจำเลยที่หน้าตาดีต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ในขณะที่จำเลยที่หน้าตาธรรมดา หรือหน้าตาไม่ดี ก็มีแนวโน้มจะได้รับโทษโดยไม่ได้รับการลดหย่อน
ในช่วงปี 2010 เป็นต้นมา ผู้คนเริ่มตั้งคำถามและกังขาในประเด็นการให้สิทธิพิเศษกับคนที่มีรูปร่างหน้าตาดีตาม Beauty Standard ของสังคม โดยเป็นการขยายผลของแนวคิดเรื่องความเสมอภาค (equality) และความเท่าเทียม (equity) ซึ่งมองว่า การที่สังคมได้สร้าง/ชี้นำมาตรฐานความสวยงามและมอบให้/ยอมให้ผู้ที่ได้ตามมาตราฐานนี้ได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้อื่น เป็นอุปสรรคอย่างสำคัญในการผลักดันหรือขับเคลื่อนแนวคิดเรื่องความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันในสังคม เพราะเป็นส่วนที่ผลักดันในเกิดความเหลื่อมล้ำ สร้างความแตกต่างให้ผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดีที่ได้รับผลประโยชน์และโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น
การเคลื่อนไหวและการรณรงค์ต่อต้านเรื่อง beauty privileges จึงเกิดขึ้น เช่น การต่อต้าน ประท้วง ไม่ให้คุณค่ากับการประกวดนางงาม การประกวดนายแบบ นางแบบ ทำให้เวทีประกวดหลายรายการก็ได้ปิดตัวลง ซึ่งต่อมาได้ขยายไปถึงแม้กระทั่งในการประกวดความสามารถต่าง ๆ ในทุกระดับ เพื่อให้กรรมการให้ความเป็นกลางกับผู้เข้าประกวด นั่นคือ ให้พิจารณาจากความสามารถจริงๆ
อย่างไรก็ตาม การมีสื่อโซเชียลก็ทำให้เกิด Net Idol จำนวนหนึ่งที่โด่งดังขึ้นมาจากรูปร่างหน้าตา แต่เพื่อให้เข้ากันได้กับกระแสต่อต้าน beauty privileges ก็จะต้องนำเสนอเนื้อหาหรือกิจกรรมที่สะท้อนความสามารถหรือกิจกรรมแปลกประหลาด เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน หรืออย่างน้อยก็เพื่อประกาศว่า มิได้นำเสนอแต่เพียงรูปร่างหน้าตาเท่านั้น
กระนั้น เนื่องจากปัจจัยทางจิตวิทยา ผู้คนยังคงมีความเอนเอียงเนื่องจากรูปร่างหน้าตา บุคลิกลักษณะภายนอกของผู้คน รวมไปถึงปรัชญาที่ส่งเสริมความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งเสนอว่า เราไม่อาจนำค่านิยมหนึ่งมากดทับค่านิยมอื่นใด ดังนั้น ผู้ที่เชื่อในความเท่าเทียมก็ไม่อาจกดทับผู้ที่เชื่อในความมีรูปร่างหน้าตาดี เพราะแนวคิดนี้ก็ได้รับการปลูกฝังในสังคมมนุษย์มายาวนานนับร้อยนับพันปี แต่สิ่งที่เราจะทำหรือวางเป็นหลักการคือ การวางใจเป็นกลาง การไม่ยึดติดในตนเอง การไม่มีอคติ ซึ่งการฝึกฝนวางใจเป็นกลาง จะทำให้เราค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อผู้คน ความคิด การแสดงออก รวมไปถึงรูปร่างหน้าตาด้วย หลักการนี้วางอยู่บนธรรมชาติของสรรพสิ่งที่ว่า ธรรมชาติคือความแตกต่างหลากหลาย

