ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต;
ปีเตอร์ บาวมานน์ ศาสตราจารย์ด้านปรัชญาแห่ง Swarthmore College, Pensylvania, USA ได้เขียนงานที่น่าสนใจเกี่ยวกับอำนาจลึกซึ้ง (soft power) เพื่อชี้ให้เห็นถึงแนวคิดเชิงวิพากษ์ที่มีความชัดเจน ตรงไปตรงมา และสามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย โดยให้ตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจงและข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปฏิบัติได้สำหรับการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ต่อแนวคิดเรื่องอำนาจลึกซึ้งของโจเซฟ ไนย์ (Joseph Nye)
อำนาจมักถูกมองว่าเป็นสิ่งที่จับต้องได้ (tangible/hard) เช่น อำนาจปกครอง อำนาจบังคับบัญชา อำนาจสมบูรณ์ ตัวอย่างสำคัญของอำนาจที่จับต้องได้นี้ได้แก่ อำนาจทางทหาร อำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบังคับอีกฝ่ายด้วยการข่มขู่ จูงใจด้วยการจ่ายเงินหรือผลประโยชน์ หรือการสร้างแรงดึงดูดและเข้าไปร่วมกับอีกฝ่ายเพื่อให้พวกเขาต้องการในสิ่งที่เราต้องการ
หากแต่ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานักวิชาการรัฐศาสตร์ให้ความสนใจในรูปแบบอำนาจที่แข็งน้อยลงหรือนุ่มนวลมากขึ้น (less hard, soft more forms of power) โจเซฟ ไนย์ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจที่เป็นแบบนุ่มนวล (soft forms) ในราวปี 1980s แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักวิชาการมากนัก เนื่องจากขาดความเป็นระบบ โดยไนย์ได้มองเห็นอำนาจในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อำนาจนี้คือ ขีดความสามารถของรัฐ (capacity of states) ในการสร้างและปกป้องตำแหน่งผู้นำในระบบระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ขอบข่ายไม่ได้จำกัดแคบเพียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ทางสังคมด้วย (social relationship) ดังนั้นจึงมีความเป็นมโนทรรศน์ (concepts) โดยยังไม่เห็นชัดเจนเป็นทฤษฎีอย่างทฤษฎีของแกมซี (Gamsci) หรือ สำนักแฟรงค์เฟิร์ท (Frankfurt school) เนื่องจาก ยังอยู่ระหว่างการคิดว่า อะไรคือธรรมชาติของอำนาจลึกซึ้งนี้ สิ่งใดที่เป็นตัวแทน (ตัวกระทำการ) ของอำนาจลึกซึ้ง อำนาจลึกซึ้งมีระบบหรือโครงสร้างอย่างคลาสสิกหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาในระดับภววิทยา (ontological question)
อะไรคือ ตัวแทนของอำนาจลึกซึ้ง พบว่า การอธิบายนั้นทำได้ยาก เพราะความสามารถ (abilities) นั้นมีความจำกัดและอุปสรรค (obstacles) ก็มีอยู่อย่างมากมาย ตัวกระทำการนั้นอาจเป็นปัจเจกหรือกลุ่มก็ได้โดยกระทำการเพื่อมุ่งที่จะชนะอุปสรรค แต่จะสำเร็จก็ได้ ไม่สำเร็จก็ได้
ระดับ (degree) ของการไปถึงเป้าหมายนี้เรียกว่า พลัง/อำนาจ (power) ซึ่งเป็นของตัวกระทำการนั้น (power of agent) ซึ่งคล้ายกับที่โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ได้มองเห็นพลัง/อำนาจในมนุษย์ที่จะกระทำในตอนนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัดในอนาคต (present mean to obtain future apparent Good) นักปรัชญาหลายคนมองว่า อำนาจนั้นเป็นผลผลิตของความพยายาม เป็นความสามารถ (capacity) ที่ผู้คนจะทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อมีอำนาจในการจะทำสิ่งหนึ่ง ก็เป็นธรรมดาที่จะขาดอำนาจในการกระทำสิ่งอื่น ดังนั้น อำนาจเพื่อ… จึงมักเกิดกับเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง เรียกอำนาจเช่นนี้ว่า power-to
อุปสรรคนั้นอาจจะไม่ได้เกิดจากตัวเราผู้กระทำการ แต่อาจจะเกิดจากผู้อื่นก็ได้ เพราะในการมุ่งไปเพื่อเป้าหมาย เรามักต้องร่วมมือ (cooperation) กับผู้อื่น ดังนั้น หากผู้อื่นไม่ทำตามแผน หรือไม่เต็มใจร่วมมือ ก็ย่อมเป็นอุปสรรคในการที่เราจะบรรลุเป้าหมายได้ ดังนั้น เราจะทำสำเร็จได้หรือไม่ก็อยู่ที่การชักชวนอย่างมีเหตุผล (rational pursuasion) ซึ่งแต่ละคนก็มักจะมีอยู่อย่างจำกัด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอำนาจเชิงสังคม (social power) ของผู้นั้น เรียกอำนาจเช่นนี้ว่า power-over ซึ่งก็ยังจำกัดอยู่เนื่องจากเป็นอำนาจที่พิจารณาต่อเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงเช่นกัน
กลุ่มคนอาจมี power-to ที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดร่วมกัน ในขณะที่กลุ่มคนก็จะมี power-over เพื่อที่จะได้ควบคุมทุกคนให้เริ่มกระทำได้พร้อม ๆ กัน แม้ในคนที่ไม่เต็มใจร่วมด้วยก็ตาม โดยสรุป power-to ขึ้นกับ abilities และ power-over ขึ้นกับ social power ในการจัดสรรบางสิ่งที่ไม่เท่าเทียมกัน (inequality resources) เพื่อให้การจัดสรรนั้นสำเร็จตามเป้าหมายได้ หากไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจก็ใช้อำนาจทางสังคมในการลงโทษแก่อีกฝ่าย (sanction based social power)
โจเซฟ ไนย์ ได้พัฒนาแนวคิดเรื่องอำนาจลึกซึ้งนี้โดยมีรายละเอียดมากขึ้น แม้จะไม่เป็นระบบมากนัก แม้จะเป็นแนวคิดที่วางอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่กลับเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางสังคมเสียมากกว่า ในปี 1991 ไนยืได้ให้แนวคิดว่าอำนาจลึกซึ้งคือ ความสามารถในการกำหนดสิ่งที่คนอื่นต้องการ (want) และในปี 2004 ได้ให้แนวคิดว่าอำนาจลึกซึ้งเป็นความสามารถในการกำหนดความชอบของผู้อื่น (preferences) และได้ชี้ไว้ในปี 2011 ว่า อำนาจลึกซึ้งมาจากการก่อร่างสร้างความชื่นชอบ (preference formation) นั่นคือ ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกำหนดค่าความชื่นชอบ (establishing preferences) โดยไม่สนใจความชื่นชอบเดิม ๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่มุ่งไปที่การสร้างความชื่นชอบอันใหม่ (new preferences) อำนาจลึกซึ้งกระทำการเช่นนี้ จึงดูเหมือนจะเป็น power-to แต่ก็มีผู้ให้ข้อสังเกตอยู่เสมอว่า ดูเหมือนจะเป็น power-over ด้วยเช่นกัน
อำนาจลึกซึ้งในนิยามของโจเซฟ ไนย์ จึงได้แก่ ความสามารถในการส่งผลกระทบต่อผู้อื่นผ่านวิธีการร่วมมือในการวางกรอบวาระ การโน้มน้าวใจ และกระตุ้นแรงดึงดูดเชิงบวก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
soft power is the ability to affect others through the co-optive means of
Joseph Nye, 2011
framing the agenda, persuading, and eliciting positive attraction in order to obtain preferred outcomes
อำนาจลึกซึ้ง เป็นโฉมหน้าอีกอย่างหนึ่งของอำนาจ (second face of power) โดยเน้นการกำหนดกรอบวาระ หรือหัวข้อที่จะต้องตัดสินใจ รวมไปถึงการมีโฉมหน้าที่ 3 ของอำนาจลึกซึ้ง (third face of power) นั่นคือ การโน้มน้าวให้ตัดสินใจไปตามที่ต้องการ (โดยไม่จำเป็นต้องถูกต้องตามหลักเหตุผล) โดยถือว่าเป็นความถูกต้องในระดับปทัสถานของสังคมโดยอนุโลม (mutatis mutandis)
ทรัพยากรหรือแหล่งแห่งอำนาจลึกซึ้งมาจาก วัฒนธรรม คุณค่าทางการเมือง และนโยบายการต่างประเทศ เช่น ความเป็นประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ปัจเจกนิยม เป็นต้น ซึ่งเป็นคุณค่าร่วม (share values) ของประเทศหนึ่งๆ หรือในระดับนานาชาติ หรือเป็นคุณค่าสากล (universality) ในการนี้อาจ รวม/ไม่รวม อำนาจทางศีลธรรม (moral authority) ซึ่งในการนี้จะมีสถาบันต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะผู้กระทำการ ซึ่งจะต้องพิจารณาว่า ดี หรือ เป็นประโยชน์ หรือไม่ด้วย
อำนาจลึกซึ้งยังมีโฉมหน้าในการสร้างแรงดึงดูดในกรณีที่โอกาสที่ไม่เท่ากัน (asymmetric chance) โดยการเข้าไปมีอิทธิพลต่อความชอบที่อาจเกิดขึ้นของผู้อื่นเพื่อให้เกิดแนวทางที่เหมาะสมของผู้กระทำการร่วมหลายฝ่าย เรียกอีกอย่างว่า power-with
สตีเฟน ลุกส์ (Steven Lukes) ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์และสังคมวิทยาแห่ง New York University ได้ให้แนวคิดเสริมไว้ว่า อำนาจลึกซึ้งไม่ใช่การใช้อำนาจสูงสุดในการทำให้ผู้อื่นมีความปรารถนา (desire) ตามที่เราต้องการ (want) ให้พวกเขามี แต่เป็นไปเพื่อรักษา (secure) การปฏิบัติตามโดยการควบคุมความคิดและความปรารถนาของพวกเขา นั่นคือ การเข้าไปกำหนดความชื่นชอบ (shaping of preferences) ไม่ว่าสิ่งนั้นจะตรงหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หรือถูกต้อง/ไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมก็ตาม
ความชื่นชอบนั้นไม่ได้กำหนดไว้ตายตัวหรือคงที่ แต่ได้รับการพัฒนาในสภาพแวดล้อมและ
สิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนความชอบ จึงเกี่ยวข้องกับการปรับตัว (adaptation) ระหว่างสิ่งที่เราต้องการกับสิ่งที่เราสามารถ (can get) ได้รับ (หรือคิดว่าเราสามารถได้รับ) เป็นส่วนกลับของกรณีที่คนเราพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโลกตามความชอบของตัวเอง หากเราทำการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เราก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความชื่นชอบของผู้นั้นได้ ทั้งนี้ ความชื่นชอบยังขึ้นกับเจตคติของผู้นั้น (ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ เช่น ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาทางสังคม ปัญหาทางเศรษฐกิจ เป็นต้น) นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลซ้อนจากอารมณ์ (emotion politics) เช่น ความกลัวในบางเรื่อง ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และนำไปสู่การเปิดรับผู้อื่นหรือข้อมูลอื่นมามีอิทธิพลต่อความชื่นชอบของตน สิ่งที่ส่งผลต่อความชื่นชอบอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ การตีความ (interpretation) เรื่องต่าง ๆ ตามพื้นฐานความเข้าใจของตนและความคาดหวังเชิงคุณธรรม (normative attitudes) เช่น การสูบบุหรีในที่สาธารณะ การขับขี่ปลอดภัย ความเท่าเทียมกันในสังคม เป็นต้น
จากเนื้อหาข้างต้น พลังลึกซึ้งจะเกี่ยวข้องกับความชื่นชอบของผู้คน ซึ่งอาจจะมีความเข้าใจไม่ชัดเจน แต่สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นพลังที่จะชักจูงเชิญชวนในตัดสินใจเลือกมากกว่าจะเป็นพลังบังคับในตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ ก็จะมีการใช้พลังนี้ในมิติที่เหนือกว่าเพื่อที่จะกำกับและรักษาผลของการตัดสินใจไว้ในขอบข่ายที่ฝ่ายมีอำนาจเหนือกว่าต้องการได้ นั่นคือ การกำหนดกรอบวาระ และการปรับเปลี่ยนความชื่นชอบ โดยพิจารณาถึงสิ่งที่มีผลต่อความชื่นชอบของบุคคลและสังคมเป็นสำคัญ และเป็นเหมือนลู่วิ่งสำหรับผู้ที่จะวิ่งไปข้างหน้า ถ้าคุณจะแข่งขันก็ต้องวิ่งในลู่เดียวกัน กติกาเดียวกัน จึงไม่อาจมองได้ว่าพลังลึกซึ้งไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจบังคับและระบบสถาบันทางสังคม แต่เป็นการใช้อำนาจในโฉมหน้าที่ต่างออกไปในมิติต่าง ๆ โดยเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนและระหว่างสังคมด้วย
ความส่วนหนึ่งจาก Peter Baumann. (2017). Power, Soft or Deep? An Attempt at Constructive Criticism. Las Torres de Lucca: Revista Internacional de Filosofía Política. 6, (10), 177-214.

