ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต;

ในปัจจุบันกระแสสนใจการพัฒนาทางจิตวิญญาณ (spiritual development) แพร่หลายและได้รับการยอมรับผ่านท่าทีต่างๆ และมีความพยายามรองรับแนวคิดใหม่ๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้นับถือศาสนาและผู้ไม่นับถือศาสนา แม้จะมีพื้นฐานแนวคิดจิตนิยม (idealism) ที่มองว่า ทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากจิต แต่เพื่อให้เรียนรู้และเข้าใจได้ง่ายจึงทำการอุปมา (metaphor) เป็นฝ่ายกายภาพ/วัตถุ (physical-object) เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม แนวคิดที่หลากหลายมีกระแสหลักจากโลกตะวันตกที่น่าพิจารณาและพึงเข้าใจว่า กระแสเหล่านี้ได้แพร่สะพัดมายังโลกตะวันออกและเกิดเป็นความคลุมเครือ (vague) อย่างยิ่ง

ปรัชญานับแต่ เรเน เดการ์ต (Rene Descartes) ในศตวรรษที่ 17 มุ่งเน้นให้มีการอธิบายสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนและแบ่งแยกได้ชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร (clear and distinct) ดังนั้น จึงเป็นพื้นที่สำหรับนักปรัชญาและนักคิดที่จะได้พยายามเข้าใจและอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนขึ้น ไม่จับแพะชนแกะ และไม่มองหาแมวดำในห้องมืดอีกต่อไป

ขบวนการยุคใหม่ (New Age) เป็นขอบเขตของการสนใจการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ/การปฏิบัติเชิงศาสนา และเป็นความเชื่อ (beliefs) ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในสังคมตะวันตกในช่วงต้นทศวรรษ 1970 (ปลายศตวรรษที่ 20) มีโครงสร้างที่ประนีประนอมและไม่เป็นระบบ แรกเริ่มมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางศาสนา แต่ก็อาจมองได้ว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางจิตวิญญาณ (spiritual movement) หรือความเป็นหนึ่งเดียวของกาย-ใจ-จิต (Mind-Body-Spirit) โดยแนวคิดเดิมเน้นการฟื้นคืนชีพของพระคริสต์ และมองว่าโลกอยู่ในช่วงเวลาอุดมคติ (Platonic year)[1] โดยก้าวจากยุคราศีมีน (Age of Pisces) มาอยู่ในยุคราศีกุมภ์ (Age of Aquarius) เพื่อการชดเชย ทั้งนี้ กระแสที่เกิดขึ้นได้ปรับเปลี่ยนบริบทสภาพแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรม (milieu) ในทางความคิดและเน้นจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย (zeitgeist)

Spirit Lab Icons by Katie Stapko

ในทางเทววิทยา ขบวนการยุคใหม่ยอมรับรูปแบบของพระเจ้าแบบองค์รวม (holistic form) ที่กระจายไปทั่วจักรวาลรวมถึงในตัวมนุษย์เองด้วย ดังนั้นจึงเน้นย้ำอํานาจทางจิตวิญญาณของตนเอง (spiritual authority) ด้วยเหตุนี้จึงยอมรับเชื่อในเทพ ผู้วิเศษ คนทรง ผู้ที่สื่อสารกับเบื้องบนตามความเชื่อของตนในศาสนาหลักและศาสนาพื้นเมือง จึงมีลักษณะของพหุเทวนิยมสมัยใหม่ (Modern Paganism)

ขบวนการยุคใหม่มองว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นยุคของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ก็ทำให้ภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณถูกกร่อนเลือนหายไป เป็นช่วงเวลาของความรุนแรงและความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณ และตอนนี้เป็นยุคใหม่ซึ่งจะเน้นการชดเชยผ่านบริบทสังคมและวัฒนธรรมอย่างใหม่ 

ขบวนการยุคใหม่ยอมรับปัจเจกนิยม (Individualism) และประจักษ์นิยมเชิงประสบการณ์ (Experiential Empiricism) ในเรื่องของจิตวิญญาณ และเชื่อในการเติบโตของแต่ละบุคคล (self-spiritual growth) โดยแต่ละคนสามารถเลือกสรรการรับเชื่อได้เฉพาะตน เป็นไปตามแนวคิดคัดสรรนิยม (Eclecticism) เนื่องจากไม่เชื่อว่ามีวิถีหนึ่งเดียวเพื่อไปสู่หนทางแห่งจิตวิญญาณ (no one true way to pursue spirituality) ดังนั้นจึงต้องใช้หลากหลายวิถีร่วมกัน

ขบวนการยุคใหม่จะเชื่อในความสากลแห่งจิตวิญญาณ มักใช้ศัพท์เฉพาะเช่น Ocean of Oneness, Infinite Spirit, Primal Stream, One Essence, Universal Principle ทั้งนี้จะเน้นความสนใจไปที่จิตใจ (Mind) จิตรู้ (Consciousness) และ ปัญญา (Intelligence) และมักจะอธิบายเทพในรูปแบบของพลังงาน (form of energy) โดยใช้แนวคิดฟิสิกส์ใหม่ (New Physics) มาอธิบาย เน้นทฤษฎีควอนตัม (Quantum) และแนวคิดฟิสิกส์ทฤษฎี ไม่ยอมรับหลักเหตุผลนิยมและกระบวนการวิทยาศาสตร์มาตรฐาน จึงมักจะถูกนักวิทยาศาสตร์กระแสหลักมองว่าขบวนการยุคใหม่มักใช้วิทยาศาสตร์เทียม (pseudo-science) คือ ใช้หลักวิทยาศาสตร์อธิบายอย่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์

ขบวนการยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการรักษา (healing) โดยเฉพาะรูปแบบการแพทย์ทางเลือก (alternative medicine) และเน้นการผสมผสานวิทยาศาสตร์ (modern science) เข้ากับจิตวิญญาณ (spirituality) เช่น การใช้สมุนไพรและยาเคมี ร่วมกับพิธีกรรม/กิจกรรมทางจิตวิญญาณ

ขบวนการยุคใหม่เน้นทวิภาวะ ไม่ดี-ไม่ชั่ว สิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นเป็นเพียงบทเรียนที่ออกแบบมาเพื่อให้เราได้เรียนรู้ทางจิตวิญญาณ จนกว่าเราจะก้าวไปสู่วิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ (spiritual evolution)

ขบวนการความคิดใหม่ (New Thought/ Higher Thought) เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จากผู้สนใจด้านวิทยาศาสตร์ระบบจิตประสาท (mental science) และมองว่า ความเจ็บป่วยเกิดขึ้นในจิตใจ และการคิดที่ถูกต้องมีผลในการเยียวยารักษาได้ แนวคิดนี้ปรากฎในจิตวิทยาสมัยใหม่เพื่อรักษาอาการทางจิตประสาท (mental-mind cure)

ขบวนการความคิดใหม่เชื่อในปฏิสัมพันธ์ระหว่างความคิด ความเชื่อ ความมีสติในจิตใจมนุษย์ และผลกระทบของสิ่งเหล่านี้ทั้งภายในและภายนอกจิตใจของมนุษย์ เชื่อว่า มนุษย์จะต้องดำรงตนมีชีวิตที่ดีทั้งด้านร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ มีสุขภาพที่ดี มีจิตใจที่ดี มีความคิดที่ดี มีเพื่อนดี มีงานการที่ดี มีความก้าวหน้าในชีวิต ซึ่งจะต้องรู้จักการใช้ชีวิตให้เหมาะสม สมดุลและกลมกลืน (balance and harmony life)

ขบวนการความคิดใหม่ เชื่อในปัญญาอันไม่สิ้นสุด (Infinite Intelligence) /พระเจ้า (God) ว่าดำรงอยู่ทุกที่ วิญญาณคือความสมบูรณ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่แท้จริง (totality of real things) ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์นั้นศักดิ์สิทธิ์ ปัญญาและความรู้ที่แท้จริงเป็นพลังแห่งความดี เดิมไม่เชื่อว่ามนุษย์สามารถรับการสื่อโดยตรงจากเบื้องบนได้ แต่ในยุคหลังเชื่อว่าสามารถสื่อสารโดยตรงได้ (direct descendant)

ขบวนการความคิดใหม่เน้นการศึกษา การอธิบายปรัชญา ความเชื่อ และหลักการใช้ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับศาสนา จิตวิญญาณ และไสยศาสตร์ในเรื่องต่าง ๆ โดยมีแนวคิดสำคัญที่เชื่อในกฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) ซึ่งมีหลักการว่า เราเป็นสิ่งที่เราคิด ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น (You are what you think, not what you think you are) ขบวนการความคิดใหม่ยังสนใจวิทยาศาสตร์ทางจิต (science of mind) ซึ่งเป็นรากฐานความคิดของการโค้ชในปัจจุบัน

โดยสรุป ขบวนการยุคใหม่มีลักษณะพหุนิยมและยอมรับแนวคิดต่าง ๆ มาใช้เพื่ออธิบายในเรื่องจิตวิญญาณและประสบการณ์ทางจิตโดยเฉพาะแนวคิดฟิสิกส์ใหม่ (new physics) ในขณะที่แนวคิดของขบวนการความคิดใหม่เน้นจิตวิทยาเพื่อให้เกิดการใช้ปัญญาคิดที่ถูกต้องซึ่งได้จากการประมวลความคิดโบราณ (ancient thought) ต่าง ๆ ซึ่งการเข้าใจที่ถูกต้องจะทำให้เราดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุข  

กระแสคิดจากตะวันตกเหล่านี้เป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญที่ทำให้มนุษยชาติข้ามจากกระบวนทรรศน์นวยุคที่เน้นวิทยาศาสตร์ ความเป็นกระบวนการ ความมีประสิทธิภาพ มาเป็นกระบวนทรรศน์หลังนวยุคที่สนใจในสิ่งที่ถูกละเลยและกดทับไว้ ผ่านการรื้อฟื้นภูมิปัญญาต่าง ๆ เพื่อชดเชยต่อผู้คนในบริบทวิถีชีวิตในสังคมวัฒนธรรมอย่างใหม่ และเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างองค์รวม

[1] Platonic year คือ แนวคิดเกี่ยวกับวัฏจักรจักรวาลที่ยาวที่สุดจากมุมมองที่มีศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ เป็นเวลาที่เส้นวสันตวิษุวัต (vernal equinox) ต้องเดินทางผ่านกลุ่มดาวจักรราศีทั้งหมด 12 ราศี ซึ่งใช้เวลา 25,729 ปี โดยเป็นการเดินถอยหลังตามราศี (slipping backward) ซึ่งใช้เวลาฉลี่ย 2,144 ปี ในหนึ่งคาบของจักรราศี  แต่ละราศีเรียก Platonic month โดยมีระยะเวลา platonic day เท่ากับ 72 ปี หรือ 1 ช่วงชีวิตของมนุษย์ นักโหราศาสตร์โบราณประเมินว่าขณะนี้เรากําลังอยู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านระหว่างการสิ้นสุดของราศีมีนและการเริ่มต้นของราศีกุมภ์


Leave a comment