อ.ดร.สิริกร อมฤตวาริน;

ในปัจจุบัน ผู้คนเกิดภาวะที่แยะแยะไม่ได้ว่า อะไรดี อะไรไม่ดี ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญสำหรับจริยศาสตร์ตามความเข้าใจของอริสโตเติล อย่างไรก็ตาม การจะแยกแยะได้ชัดเจนหรือไม่นั้น จำเป็นจะต้องเข้าใจมาตรการความประพฤติ (conduct) เสียก่อน ว่าจะมองผ่านเกณฑ์รับรองอย่างไร

มาตรการความประพฤติ มี 2 แนวทางคือ

  1. ลัทธิอัตนัยนิยม (Subjectivism) ถือว่าไม่มีมาตรการตายตัวแน่นอน มาตรการที่มีขึ้นมานั้นมนุษย์กำหนดกันขึ้นเองด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน แล้วพยายามชักชวนให้คนทั่วไปเชื่อว่าเป็นมาตรการตายตัวสำหรับมนุษย์ทุกคน บางระบบก็มีคนเชื่อมาก บางระบบก็มีคนเชื่อน้อย แล้วแต่ว่าจะสามารถปลูกฝังศรัทธาได้เพียงไร
  2. ลัทธิปรนัยนิยม (Objectivism) ถือว่ามาตรการความประพฤติมีแน่นอนตายตัว ที่ไม่รู้หรือรู้น้อยก็เพราะยังเข้าไม่ถึง มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่จะต้องศึกษาให้รู้มาตรการอันแท้จริง  

เกณฑ์ความดี เป็นบทบาทของญาณปรัชญาที่เกี่ยวกับความดีคือ รู้ได้อย่างว่าเป็นความดี  มีพัฒนาการวิธีการรู้ โดยลำดับ ดังต่อไปนี้

               ช่วงก่อนนวยุคนิยม (Pre-modernism)

               มนุษย์รู้จักตรึกตรองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหา ต่อมาเกิดเป็นศาสนาของมนุษย์ดั้งเดิม ระบบความคิดทางปรัชญาจึงเกิดขึ้นจากคำตอบในลักษณะการรู้ว่าความดีเป็นอย่างไร แบ่งออกเป็น 3 ยุคมีดังต่อไปนี้

               ยุคดึกดำบรรพ์  มนุษย์มีความเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นไปด้วยฤทธิ์อำนาจลึกลับในธรรมชาติที่มีแฝงอยู่ในธรรมชาติและมองไม่เห็น เชื่อว่าจะพ้นภัยธรรมชาติได้หากเอาใจหรือตอบสนองความต้องการของอำนาจลึกลับได้อย่างถูกต้อง เชื่อว่าโลกหรือเอกภพไม่มีกฎเกณฑ์ เรียกว่า “กลีภพ” (chaos) จึงค้นหาวิธีรู้ใจ วิธีเอาใจอำนาจดังกล่าว โดยถือคติว่า “มุ่งโลกนี้ให้ดีไว้ โลกหน้าจะดีเอง” ความคิดในยุคดึกดำบรรพ์จะแปรผันได้ง่าย หากฝ่ายใหม่สามารถให้ผลประโยชน์มากกว่า และสามารถคุ้มครองภัยจากฝ่ายตรงข้ามได้ ก็จะยินยอมปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อกังขา

               ดังนั้นเมื่อมนุษย์ดึกดำบรรพ์พบอะไรในประสบการณ์ชีวิตของตน ก็จะตีความออกมาเป็นน้ำพระทัยของเบื้องบนทั้งสิ้น และไม่กล้าตีความเป็นอย่างอื่น เพราะกลัวจะถูกลงโทษที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างไรและเมื่อใดก็ได้ ในยุคนี้เป็นจริยธรรมแบบยึดประเพณี ยังไม่มีปรัชญาระดับนักปราชญ์  จึงไม่มีปรัชญา
จริยะ

                    1)  กลุ่มหาความสุขในโลกหน้า  วางมาตรการความประพฤติจากกฎเกณฑ์ที่ศาสนาวางไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อความสำเร็จในโลกนี้ ซึ่งจะค้ำประกันความสุขในโลกหน้า กลุ่มนี้อาจเรียกได้ว่ากลุ่มวิมุตตินิยม คือ กลุ่มผู้แสวงหาการหลุดพ้นจากความทุกข์ทุกอย่างในโลกนี้เพื่อได้ความสุขถาวรในโลกหน้าจะตามมา   มาตรการความประพฤติดีประกอบด้วยเป้าหมายหรือวิถีหรือทั้งสองอย่างรวมกัน เช่น ศาสนายูดาห์  ถือการปฏิบัติหน้าที่ตามฐานะที่เกิดมาเป็นมาตรการความประพฤติดี

                    2)  กลุ่มหาความสุขในโลกนี้   วางมาตรการความประพฤติดีไว้ที่การได้ใช้ชีวิตในโลกนี้อย่างฉลาดให้ได้เปรียบที่สุด กลุ่มนี้อาจเรียกได้ว่า กลุ่มสุขนิยม (eudemonism) คือ กลุ่มผู้แสวงหาความสุขในโลกนี้ ที่สำคัญมีดังนี้

                               ญาณปรัชญาของลัทธิซาฟิสม์ (Sophism) ลัทธิซาฟิสม์ (Sophism) ถือว่าการใช้ชีวิตอย่างฉลาด ได้แก่ การทำตามที่ตนเองชอบ ชอบอะไรได้ทำอย่างนั้นคือความดี ต้องฝืนทำสิ่งไม่ชอบคือความชั่ว         ลัทธิซาฟิสม์เป็นลัทธิเดียวของกรีกที่อยู่ฝ่ายอัตวิสัย คือ ถือว่าไม่มีมาตรการตายตัวแน่นอนสำหรับตัดสินความประพฤติดี ดังที่โพรแทรเกอเริส (Protagoras, 490 – 420 BC) เจ้าลัทธิคนหนึ่งแถลงเป็นสูตรไว้ว่า “คนเป็นมาตรการวัดทุกสิ่ง” (Man is the measure of all things.) นั่นคือ คนแต่ละคนเป็นมาตรการวัดความประพฤติของตนเอง ใครชอบอย่างไรก็ให้ทำอย่างนั้น นั่นเรียกได้แล้วว่าเป็นความประพฤติดีเฉพาะตัวของผู้นั้น คนอื่นไม่ชอบก็อย่าทำ ให้เลือกทำอย่างอื่นที่ตนเองชอบ ความเลวของมนุษย์อยู่ที่ต้องจำใจทำสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ คือสิ่งที่ทุกคนควรหลีกเลี่ยงอย่างที่สุด  ชาวซาฟิสม์มีปรัชญาบริสุทธิ์ สรุปได้ว่า “คนเป็นมาตรการวัดทุกสิ่ง ชีวิตจบสิ้นในโลกนี้” มาตรการความดี จึงได้ว่า การได้ทำสิ่งที่ตนชอบถือได้ว่าเป็นความดี

                               ญาณปรัชญาของลัทธิรตินิยม (Hedonism) ลัทธิรตินิยม (Hedonism) ถือว่าการใช้ชีวิตอย่างฉลาด ได้แก่ การกอบโกยหาความบันเทิงให้มากที่สุดในทุกโอกาส เพราะพรุ่งนี้เป็นของไม่แน่ วันนี้ไม่ตายมีโอกาสแน่ ให้ฉวยโอกาสเสียให้เต็มที่ ในแต่ละขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ มีทรรศนะที่ถือว่าความพึงพอใจ (pleasure) เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดหรือเป็นความดีสูงสุดของชีวิต ทรรศนะนี้สอนให้บุคคลมุ่งแสวงหาความสุขทางผัสสะ หรือความสุขสบาย หรือโลกีสุขในชีวิตปัจจุบัน

                               ญาณปรัชญาของลัทธิเอพิคิวเรียน (Epicureanism) ลัทธิเอพิคิวเรียน (Epicureanism) ถือว่าการใช้ชีวิตอย่างฉลาดได้แก่ การรู้จักประมาณตนในการหาความบันเทิงให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพราะพรุ่งนี้เป็นของไม่แน่จริง แต่ก็แน่มากกว่าไม่แน่ คนฉลาดจึงพึงยับยั้งชั่งใจถนอมไว้เสวยสุขได้นาน ๆ ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ลัทธินี้เน้นการเสพความสุขให้นานที่สุด มีลักษณะเป็นสสารนิยม (Materialism) ที่เชื่อว่าสสารเท่านั้นที่เป็นจริง วิญญาณของมนุษย์ก็มีลักษณะเป็นสสารจึงมีความแตกดับเช่นเดียวกับสสาร ไม่มีโลกหน้าที่มนุษย์จะได้รับการพิจารณาความดีความชั่ว ขณะยังมีชีวิตอยู่จึงควรแสวงหาความสุขให้แก่ตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้และให้นานที่สุด ความดีความชั่วที่คนเชื่อกันเป็นสิ่งสมมติ สิ่งที่เป็นจริงก็คือความสุขและความทุกข์ที่มนุษย์ได้รู้จักและประสบในชีวิตประจำวัน

                               ญาณปรัชญาของลัทธิสโทว์อิก (Stoicism) ลัทธิสโทว์อิก (Stoicism) ถือว่าการใช้ชีวิตอย่างฉลาด ได้แก่ การทำใจอุเบกขาชนิดพอใจกับสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเท่านั้นฝักใฝ่สิ่งไม่จำเป็นทำให้ตนมีภาระ สลัดทิ้งเสียได้ตัวจะเบาคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง สบายกว่า ลัทธิสโทว์อิกถือว่าจักรวาลดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ตายตัว หากมนุษย์ใช้เหตุผลก็จะเข้าใจกฎเกณฑ์เหล่านี้และจะรู้ว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ความรู้และความเข้าใจนี้ จะทำให้จิตใจสงบ ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ความสงบของจิตใจ ซึ่งจะเกิดได้ เมื่อมนุษย์ไม่เอาตัวเองไปผูกพันกับความพึงพอใจที่เกิดจากวัตถุนอกกาย อิสรภาพที่แท้จริง คือการหลุดพ้นจากการบีบคั้นของโลกภายนอก การข่มใจตนเองเป็นหนทางไปสู่อิสรภาพนี้

                               ญาณปรัชญาของลัทธิซีนิก (Cynicism) ลัทธิซีนิก (Cynicism) ถือว่าการใช้ชีวิตอย่างฉลาด ได้แก่ การทำใจอุเบกขาชนิดไม่รู้สึกว่ามีความต้องการอะไรเลย ซีนิกแปลว่าสุนัข สุนัขเป็นสัตว์ไม่รู้จักตุนอาหารไว้ใช้ในอนาคต หิวเมื่อใดจึงหากิน ไม่หิวไม่สนใจเก็บหรือหวงแหนไว้ ลัทธินี้สอนว่า ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์อยู่ที่การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและอย่างฉลาด พวกซีนิกเชื่อว่าชีวิตที่ถูกต้องและมีคุณธรรมเกิดจากการประพฤติปฏิบัติให้เป็นอิสระจากเหตุการณ์และปัจจัยภายนอกตัวมนุษย์ทั้งปวงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อิสรภาพนี้จะบรรลุถึงได้ก็โดยการเอาชนะความปรารถนาทางด้านร่างกาย พวกซีนิกจึงพยายามปลดเปลื้องตนให้พ้นจากพันธะที่มนุษย์มีต่อขนบธรรมเนียมประเพณีสัญนิยม และสถาบันต่าง ๆ โดยลดความปรารถนาและตัณหาลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และโดยการสละละทิ้งสิ่งต่าง ๆ ที่อารยธรรมของมนุษย์ได้ตั้งขึ้น ปรัชญาเมธีในลัทธินี้ที่รู้จักกันดีคือ ดิโอนีนิสแห่งซีโนป (Diogenes of Sinope) ผู้ดำรงชีวิตตามแบบธรรมชาติในท่ามกลางประชาคมกรีกที่มีอารยธรรมแล้ว

                     3)  กลุ่มหาความรู้  ถือมาตรการว่า “คุณธรรม คือ ความรู้” (Virtue is knowledge) คนมีความรู้จึงมีความสุขได้อย่างแท้จริง มีเป้าหมายที่การหาความสุขอันเหมาะสมกับความเป็นมนุษย์ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าหากจะมีโลกหน้าไม่ว่าในแบบใด กลุ่มนี้อาจเรียกว่ากลุ่มปัญญานิยม (Intellectualism) คือ กลุ่มผู้แสวงหาความรู้ ความฉลาดและปรีชาญาณ  (ความรอบรู้) ได้แก่

                               โสกราตี (Socrates, 470/469 – 399 BC.) ถือว่าจุดหมายของชีวิตอยู่ที่การหาความรู้ ซึ่งมีเหมือนกันในมนุษย์ทุกคน หากแต่กิเลสทำให้ไข้วเขวจึงต้องตัดกิเลสควบคู่กับการค้นคว้าหาความรู้ ความรู้จึงเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ ได้แต่แนะนำให้ตัดกิเลสแล้วความรู้ก็จะเกิด มีเกณฑ์ตัดสินทางจริยธรรมแบบอสัมพัทธ์นิยม (Absolutism) มีความเคร่งครัดตายตัวทางจริยธรรม ความเป็นจริงของความรู้ไม่ขึ้นกับความรู้สึกนึกคิดของบุคคล แต่มีความเป็นจริงในตัวเอง

                               เพลโต (Plato, 424/423 – 348/347 BC) ถือว่าจุดหมายของชีวิตอยู่ที่การหาความรู้ที่อยู่ในโลกแห่งมโนคติ (the World of Ideas) เพราะความรู้ ความดี และความสุข เป็นสิ่งเดียวกัน

                               อาริสโตเติล (Aristotle, 384 – 322 BCE) ถือว่าจุดหมายของชีวิตอยู่ที่การหาความรู้โดยการถอดสิ่งสากลจากสิ่งเฉพาะหน่วย ซึ่งจะนำไปสู่การมีชีวิตด้วยความกลมกลืน ทั้งภายในตัวเองและกับสิ่งแวดล้อม เพราะในระดับสิ่งสากลนั้นทุกอย่างสัมพันธ์กันเป็นระบบระเบียบชัดเจน

                     ศาสนาคริสต์ คือ ศาสนาที่ถือว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ก่อตั้ง โดยทรงประทาน “ข่าวดี” (Good News) ให้เป็นแนวยึดถือและพัฒนาต่อไป ตามกำลังความสามารถของแต่ละบุคคล  จริยธรรมแบบศาสนาคริสต์ คือประมวลกฎศีลธรรมจากคัมภีร์ศาสนาคริสต์                       

                     ความสำนึกในหน้าที่ จากประสบการณ์มนุษย์มีความสำนึกในหน้าที่ด้วยกันทุกคนในรูปของมโนธรรม ถ้าหากวิธีส่งเสริมให้ปฏิบัติกันอย่างจริงจังเป็นล่ำเป็นสัน สังคมจะสงบสุข คานท์ (Immanuel Kant, 1724 – 1804) เป็นผู้ริเริ่มจริยธรรมแบบหน้าที่นิยม (deontologism) คานท์ถือว่าทุกคนมีจิตสำนึกได้ว่า “หน้าที่จะต้องทำ” คือ รู้ว่าอะไรเป็นหน้าที่ก็จะรู้สึกถูกบังคับให้ต้องทำตาม ระวังอย่าฝืนอันจะทำให้มโนธรรมดังกล่าวค่อย ๆ ชินชาจนหายไปในที่สุด การคิดแต่เพียง “หน้าที่” โดยไม่คำนึงถึงความสุขหรือประโยชน์หรือจุดหมายใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นจริยศาสตร์ของคุณค่าบริสุทธิ (ethics of pure value) จริยศาสตร์ที่ไม่อ้างถึงความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะแต่บอกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องกระทำ ทำเพราะสำนึกในหน้าที่ ซึ่งเหมาะที่จะใช้สอนจริยธรรมสำหรับผู้ที่อ้างว่าตนเองไม่นับศาสนาหนึ่งศาสนาใด แนวความคิดนี้เป็นความคิดของคานท์

                               คานท์ต้องการประนีประนอมคน 3 พวกเข้าไว้ด้วยกัน คือ  1) พวกวิทยาศาสตร์ ถือว่าความเป็นจริงมีเพียงเท่าที่ทดสอบได้ด้วยวิธีการวิทยาศาสตร์คือตัดสินด้วยผัสสะ ตามลัทธิปรัชญาประสบการณ์นิยม  2) พวกนิยมคณิตศาสตร์ ถือว่าความเป็นจริงมีเพียงเท่าที่คิดหาเหตุผลได้ คือตัดสินได้ด้วยเหตุผล ตามลัทธิเหตุผลนิยม  3) พวกศรัทธาต่อศาสนาคริสต์อย่างสุดขั้ว เชื่อว่าคำสอนทางศาสนาจะใช้ผัสสะและเหตุผลไม่ได้ ต้องยอมรับด้วยศรัทธาอย่างเดียว 

                               แนวคิดของคานท์เป็นระบบปรัชญาใหม่ ซึ่งแถลงว่าผัสสะและเหตุผลให้ความจริงแก่เราเพียงขั้นปรากฏการณ์ (phenomena) เพราะสมองของเรามีกลไกสำหรับรู้และเข้าใจซึ่งเปลี่ยนสภาพของวัตถุแห่งความรู้ที่ผ่านเข้ามา วัตถุแรกแท้ ๆ ในตัวของมันเองก่อนจะผ่านเข้าสมองนั้น เป็นอะไรเราไม่รู้ ความเป็นจริงแท้ ๆ นั้นมีอยู่ภายนอกเรียกว่า นูมิเนอ (noumena)

                               อย่างไรก็ตามสมองเรามีสมรรถภาพอีกขั้นหนึ่ง เรียกว่า ปัญญาขั้นเหตุผลปฏิบัติ ซึ่งนักปรัชญาอื่น ๆ จะเรียกว่า อัชฌัตติกญาณ คือรู้เองด้วยการหยั่งรู้ ไม่ต้องใช้ผัสสะ ไม่ต้องใช้เหตุผล ใช้ก็ไม่สำเร็จ เพราะความรู้นั้นไม่ผ่านมาทางกลไกของสมองอย่างธรรมดา สมรรถภาพเหตุผลปฏิบัตินี้ช่วยให้เข้าถึงหลักจริยธรรมว่า “ต้องทำตามหน้าที่” เพราะความสำนึกในหน้าที่นี้เอง การกระทำในลักษณะนี้จึงไม่ต้องใช้เหตุผล

                               แม้มีจุดหมายใด ๆ เช่น ความสุข ความพอใจ ฯลฯ จะกระตุ้นให้เราทำดี แต่ถ้าเราทำดีเพราะมีจุดหมายจริง ๆ เราก็ทำไปเหมือนสัตว์อื่นที่ทำไปเพราะต้องการประโยชน์ กิจกรรมที่ให้ประโยชน์เช่นนี้ไม่เรียกว่ากิจกรรมจริยธรรม คือถือว่าไม่ดีไม่เลว เว้นแต่ถ้าทราบว่าผิดหน้าที่แล้วยังทำอีกจึงจะถือว่าเลว กิจกรรมทางจริยธรรมต้องตัดสินกันด้วยความสำนึกในหน้าที่อย่างเดียวคือถ้ากระทำโดยมีมโนธรรมว่าเพราะเป็นหน้าที่จะต้องทำและทำตามมโนธรรมดังกล่าวจึงเรียกว่า  ทำดี คุณค่าภายนอกแม้สูงสุดก็ไม่มีอิทธิพลอันใดต่อคุณค่าทางศีลธรรม  ตัวกระตุ้นที่ให้ทำตามหน้าที่มีแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ เจตจำนงน้ำใจดี (good will) ของบุคคลนั้นยิ่งฝึกได้มากเท่าใดก็ยิ่งดีมากขึ้นทุกทีอย่างไม่มีขอบเขต

                               ความสำนึกในหน้าที่แสดงออกมาเป็นคำสั่งเด็ดขาด (categorical imperative) โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ แต่มีกรอบ 5 ประการ ดังนี้ (กีรติ บุญเจือ, 2546) 1) ปฏิบัติตามแนวที่จะเป็นกฎทั่วไปได้ 2) ต้องถือว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นจะถือเอาใครเป็นเครื่องมือไปสู่จุดหมายของใครไม่ได้  3) มนุษย์ทุกคนเป็นสมาชิกในสังคมจริยธรรมอันเดียวกัน  4) การกระทำใด ๆ เพื่อจุดหมายของส่วนตัวจะขัดแย้งกับหลักจริยธรรมส่วนรวมไม่ได้ 5) แต่ละคนมีหน้าที่ต้องให้ความสะดวกแก่ผู้อื่นในการปฏิบัติตามหลักจริยธรรม  กฎทั้ง 5 นี้เป็นโครงสร้างของคำสั่งจากเหตุผลปฏิบัติ ไม่แสดงให้เห็นเลยว่าเมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้จะมีคุณค่าอะไรเกิดขึ้น นอกจากคุณค่าของน้ำใจที่จะทำตามหน้าที่  ความดี – ชั่ว ไม่มีความหมาย จะพูดได้แต่เพียงว่าเป็นจริยธรรมหรือไม่เท่านั้น การกระทำที่เป็นจริยธรรมก็คือ อยู่ในกรอบแห่งหน้าที่ ถ้าไม่อยู่ในกรอบแห่งหน้าที่ก็ไม่เป็นจริยธรรมเป็นเพียงแรงกระตุ้น (impulse) เป็นอันว่า มาตรฐานความดี (good in itself) ซึ่งปรัชญากรีกพยายามสืบหามานั้นไร้ความหมายเสียสิ้นเชิง พร้อมกับความเป็นจริงในตัวเอง (thing-in-itself)

                               คานท์ได้ให้พิจารณาว่า คำสั่งของจริยธรรม (moral Imperatives) ในตัวเรามีอยู่ 2 ประเภท คือ 1) คำสั่งโดยมีเงื่อนไข (Hypothetical Imperatives) มีจุดหมาย มีเงื่อนไข เป็นคำสั่งประเภทกฎของความเชี่ยวชาญหรือคำแนะนำให้รอบคอบ (A rule of skill or a counsel of prudence) มักมีเงื่อนไขด้วยคำว่า “ถ้า” (if) เช่น ถ้าเธออยากสอบได้ก็จงขยันดูหนังสือ ความดีของกิจกรรมประเภทนี้เนื่องมาจากผลประโยชน์ จึงตัดสินตามแนวประโยชน์นิยม (utilitarianism) คำสั่งประเภทนี้ผ่านโครงสร้างของเหตุผลบริสุทธิ์ 2) คำสั่งเด็ดขาด (Categorical Imperative) สั่งเด็ดขาด ไม่มีจุดหมาย ไม่มีเงื่อนไข สั่งด้วยความสำนึกในหน้าที่ (for duty’s sake) ผลจะเป็นอย่างไรไม่คำนึงถึง เมื่อรู้ว่าเป็นหน้าที่แล้วต้องทำหาเหตุผลไม่ได้เพราะไม่ผ่านเหตุผลบริสุทธิ์ แต่ทว่าเหตุผลบริสุทธิ์ก็มักจะอดช่วยไม่ได้อยู่ดี โดยพยายามหาเหตุผลและประเมินค่าความดีให้แก่กิจการที่เป็นหน้าที่ เรื่องความสำนึกในหน้าที่จึงเป็นเรื่องของเหตุผลปฏิบัติโดยตรง แม้เหตุผลบริสุทธิ์จะเสนอเหตุผลช่วยก็ไม่สนใจไยดี

                               ความคิดนี้มีพื้นฐานมาจากปรัชญาบริสุทธิ์ของคานท์ที่เป็นญาณปรัชญา (กีรติ บุญเจือ, 2546) โดยมีจุดเริ่มต้นคำถามจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้การสังเกตทดลองสรุปด้วยเหตุผลและการทดสอบ ประเมินผล สรุป แต่วิทยาศาสตร์ก็เริ่มการค้นคว้าจากมูลบท ซึ่งมีลักษณะเป็นประพจน์สังเคราะห์ก่อนประสบการณ์ (synthesis a priori) คานท์จึงคิดว่าปรัชญาควรเริ่มโดยค้นคว้าเหตุผลสนับสนุนความรู้พื้นฐานดังกล่าว จึงเริ่มรวบรวมข้อข้องใจสรุปเป็นคำถามว่า “การตัดสินสังเคราะห์ก่อนประสบการณ์จะจริงได้อย่างไร” คานท์เชื่อว่าคำตอบคำถามนี้จะหาทางออกให้ทั้งฝ่ายเหตุผลนิยมและฝ่ายประสบการณ์นิยม

                               การตัดสิน (judgement) คือกิจกรรมของปัญญาที่ยืนยันว่าภาคแสดงเข้ากันได้กับประธานอย่างไร ปัญญาติดสินได้ก็ต่อเมื่อเห็นความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับภาคแสดง ความสัมพันธ์นี้เป็นพื้นฐานของข้อตัดสิน ข้อตัดสินจึงแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทตามชนิดของความสัมพันธ์คือ วิเคราะห์และสังเคราะห์  1) ข้อตัดสินวิเคราะห์ (analytical judgement) คือข้อตัดสินที่ความหมายของภาคแสดงบรรจุอยู่ในเนื้อหาของประธานแล้ว เพียงแต่วิเคราะห์ความหมายของประธานจะพบว่าความหมายของภาคแสดงอยู่ด้วย  2) ข้อตัดสินสังเคราะห์ (synthetical judgement) คือข้อตัดสินที่ความหมายของภาคแสดงมิได้มีบรรจุอยู่ในความหมายของประธาน วิเคราะห์ดูไม่พบ แต่ยังความสัมพันธ์ในฐานะที่อาจจะเข้ากันได้โดยไม่มีข้อขัอแย้ง  เราจะรู้ว่าเข้ากันในความเป็นจริงหรือไม่ก็โดยทดสอบดูด้วยประสบการณ์

                               ข้อตัดสินสังเคราะห์ยังอาจจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทย่อยตามลักษณะของความสัมพันธ์ว่าจำเป็นจะต้องสัมพันธ์กันเสมอเช่นนั้นไปทุกกรณีหรือไม่ ถ้าจำเป็นเรียกว่า สังเคราะห์ก่อนประสบการณ์ (synthetical a priori) ถ้าไม่จำเป็นเรียกว่า สังเคราะห์หลังประสบการณ์ (synthetical a posteriori) (กีรติ บุญเจือ: 2546) ข้อตัดสินวิเคราะห์ (analytical judgement) เป็นประเภทก่อนประสบการณ์เสมอ เพราะเนื้อหาของภาคแสดงบรรจุอยู่ในเนื้อหาของประธานแล้ว

                     ประโยชน์ส่วนตัว กลุ่มนี้เห็นว่าการใช้สำนึกในหน้าที่นั้น ใช้ได้เฉพาะตัวเท่านั้นใช้ในสังคมไม่ได้ผล เพราะใคร ๆ ก็อาจจะอ้างได้ว่าเพราะสำนึกในหน้าที่ แต่ปากกับใจอาจจะไม่ตรงกันก็ได้ จึงควรใช้หลักการที่ตรงกับความต้องการของมนุษย์และควบคุมได้ นั่นคือประโยชน์ส่วนตัว มนุษย์ทุกคนต้องการประโยชน์ส่วนตัวด้วยกันทั้งนั้น ผู้รับผิดชอบในสังคมควรอบรมส่งเสริมให้ทุกคนมุ่งกอบโกยหาประโยชน์ใส่ตนตามทรรศนะของตนให้เต็มที่ เช่น นักบวชและผู้มีศรัทธาก็ให้มุ่งกอบโกยบุญกุศล พ่อค้ามุ่งหาผลกำไร ทหารมุ่งได้ยศและตำแหน่ง นักการศาสนามุ่งหาความนิยมให้ศาสนาของตน ผู้ริเริ่มความคิดนี้ได้แก่ เบนเธิม (Jeremy Bentham   1748  – 1852) ได้ชื่อลัทธิว่าประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่า ผู้รับผิดชอบต้องบริหารให้สังคมได้ความสุขมากที่สุดให้แก่ประชาชนจำนวนมากที่สุด (Greatest happiness of the greatest number) โดยกระตุ้นให้ทุกคนทำงานอย่างแข็งขันที่สุด เช่น เสนอคติพจน์ว่า งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข

                               เบนเธิม (Jeremy Bentham) ชาวอังกฤษ ถืออภิปรัชญาจักรกลนิยมของฮับส์ มีทรรศนะว่า มนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยต้องการความมั่นใจว่าจะได้ความพึงพอใจ (pleasure) และสามารถเลี่ยงความทุกข์ (pain) ซึ่งทรรศนะที่มีพื้นฐานว่า คนทุกคนดิ้นรนเพื่อเงิน เพราะเงินเป็นแก้วสารพัดนึก จะเนรมิตอะไรก็ได้ ซึ่งสามารถสร้างความมั่นใจได้ว่าจะได้ความพึงพอใจและดับทุกข์ของตนได้  เบนเธิมจึงเสนอมาตรการความประพฤติดีอยู่ที่การกระทำที่นำประโยชน์ให้แก่ตัวเอง ประโยชน์ได้แก่ความสามารถให้ความพึงพอใจและหลีกเลี่ยงความทุกข์  แนวคิดนี้เจตนาไม่มีความสำคัญสำหรับมาตรการนี้ ขอให้ได้ประโยนช์มาก็พอ จะเจตนาอย่างไรนั้นไม่สำคัญรัฐบาลจะให้รางวัลหรือลงโทษก็ดูที่ผลของการกระทำ เจตนาเป็นเรื่องที่ดูยาก และไม่ตรงกับเป้าหมายของมาตรการนี้ (กีรติ บุญเจือ: 2546)

                     ประโยชน์ส่วนรวม  กลุ่มนี้เห็นว่าการสนับสนุนให้ทำการเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวนั้น ไม่สมศักดิ์ศรีของมนุษย์ ยิ่งกว่านั้นจะออกกฎหมายให้รัดกุมสักปานใด กฎหมายก็ยังมีช่องโหว่ให้คนฉลาดเอาเปรียบคนโง่อยู่จนได้ จึงขอเปลี่ยนหลักการให้ผู้รับผิดชอบในสังคมส่งเสริมให้ทุกคนมุ่งหาผลประโยชน์ส่วนรวม เมื่อทำเช่นนี้กันอย่างจริงจังทั่วหน้า ประโยชน์ส่วนตัวจะตามมาเองและทุกคนจะอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความร่มเย็น ผู้ริเริ่มความคิดนี้ได้แก่ สจ๊วต มิล (Stuart Mill 1806 – 1873) ลัทธินี้ได้ชื่อว่า ประโยชน์นิยมเช่นกัน แต่เรียกว่าประโยชน์ส่วนรวมนิยม (altruistic Utilitarianism) และของเบนธัมได้ชื่อว่าประโยชน์ส่วนตัวนิยม (egoistic Utilitarianism) (กีรติ บุญเจือ: 2546)

                               จอห์น สจ๊วต มิล (John Stuart Mill) ชาวอังกฤษ ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของลัทธิปฏิฐานนิยมเชิงตรรกะ (logical) เป็นผู้รื้อฟื้นประสบการณ์นิยมของอังกฤษให้ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ มีความเชื่อว่าความเห็นมนุษย์มีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อความเป็นอยู่ สังคม และประวัติศาสตร์ของมนุษย์ จึงพยายามสร้างระบบความคิดซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ต่อเสรีภาพของมนุษย์และความผาสุกส่วนรวม

                               มิลสรุปว่าความรู้ใหม่ได้มาด้วยวิธีอุปนัย (Induction) และวิธีนิรนัยที่เคยใช้กันนั้นความจริงเป็นเรื่องของอุปนัยมากกว่า   วิธีอุปนัยเป็นวิธีถูกต้องวิธีเดียวที่จะหาความรู้ใหม่ได้ แต่วิธีนี้ก็มีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อกฎความคงตัวของธรรมชาติ (principle of the uniformity of nature) กล่าวคือเหตุการณ์เดียวกันจะเกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่เหมือนกัน ข้อความนี้ไม่ใช่นิยามโดยแปลศัพท์และไม่ใช่หลักการทั่วไป (ซึ่งเราทึกทักเอาเอง) แต่เป็นประพจน์บ่งข้อเท็จจริง (factual proposition) ถือเป็นเพียงประมวลข้อเท็จจริงที่เห็นมาแล้ว เลยเดาได้ว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไป

                               หลักการของมิลกระตุ้นให้ทดลองทางจิตวิทยาจนเกิดจิตวิทยาทดลอง (Experimental Psychology) ซึ่งเป็นวิชาสำคัญวิชาหนึ่งในปัจจุบัน มิลให้ข้อคิดไว้มาก แต่ยังไม่เป็นระบบ การถือว่าความเป็นจริงปรัชญาอยู่ภายในขอบเขตของจิตวิทยาภาคทดลอง เช่นนี้เรียกว่า จิตวิทยานิยม (psychologism) และจิตวิทยาแห่งผลประโยชน์ก็ได้ถูกใช้เป็นข้อมูลสำหรับสรุปเป็นเกณฑ์จริยธรรมลัทธิประโยชน์นิยม (utilitarianism)

                               อภิปรัชญาในความหมายแท้นั้นไม่มี เพราะเราไม่สามารถจะรู้อะไรที่เลยขอบข่ายของประสบการณ์ไปได้ ประสบการณ์นิยมของมิลอ่อนกว่าของฮิวม์ แต่ก็ไม่ใช้ความเชื่อมากเหมือนบาร์กลีย์  แนวคิดของมิลจึงเป็นสายกลางที่มีเนื้อหาถกเถียงกันต่อมาในลัทธิปฏิฐานนิยมใหม่ เป็นเหตุให้มิลได้ชื่อว่าเป็นบิดาของลัทธิปฏิฐานนิยมเชิงตรรกะ (logical positivism)

                               ความพอใจ คือ สิ่งดี และความทุกข์ร้อนคือ สิ่งเลว   แนวทางในการคิดตัดสินสิ่งดีและสิ่งเลวที่สามารถอธิบายได้ชัดเจน ซึ่งใช้วิถีชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละช่วงเวลาเป็นแนวตัดสินสิ่งดีเลว แนวคิดนี้เป็นแนวความคิดของลัค (Locke) (กีรติ บุญเจือ: 2546)

                               ลัคคิดว่าทุกคนมีประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับความพอใจหรือความทุกข์ร้อน(pleasure or pain) จึงเป็นเรื่องที่นิยามไม่ได้และวิเคราะห์ไม่ได้ แต่ประสบการณ์เรื่องนี้ผิดกับประสบการณ์โดยตรงอื่น ๆ เพราะเป็นประสบการณ์ที่ควบคู่ไปกับประสบการณ์อื่น ๆ ทุกอย่างไม่ว่าเรามีประสบการณ์และมีมโนคติเรื่องใด เราจะต้องรู้สึกพอใจหรือทุกข์ร้อนอย่างใดอย่างหนึ่งควบคู่ไปด้วยเสมอ และไม่มีใครปฏิเสธได้   จึงได้สรุปว่า ความประพฤติที่นำความพอใจก็เป็นความประพฤติดี และความประพฤติใดที่นำความทุกข์ร้อนมาสู่ตนก็เป็นความประพฤติชั่ว หน้าที่ของจริยศาสตร์จึงอยู่ที่ค้นคว้าเพื่อกำหนดลงไปว่า ในสิ่งแวดล้อมเช่นนั้นเช่นนี้บุคคลจะต้องทำอย่างไร จึงจะให้ความพอใจและหลีกเลี่ยงความทุกข์ร้อนได้มากที่สุด การรู้อะไรให้ความพอใจ อะไรให้ความทุกข์เป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งไม่ใช่เรื่องของเหตุผล “จริยธรรมเป็นเรื่องคุณสมบัติรู้สึกได้ยิ่งกว่าจะตัดสินได้”  เพราะด้วยเหตุที่ว่าคนเราแต่ละคนปัญญาไม่เท่ากัน บางคนเข้าใจเหตุผลวิทยาศาสตร์ บางคนก็ไม่เข้าใจ  แม้คนที่เข้าใจบางครั้งก็ยังไม่สามารถเดินตามเหตุผลได้  ด้วยเหตุผลตามความจำเป็นบางอย่างของตนเอง  เพื่อช่วยขจัดความทุกข์ร้อน จึงต้องประมวลหลักปฏิบัติขึ้นเป็นเกณฑ์ เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาเฉพาะหน้าจะได้รู้แนวทางปฏิบัติได้ทันทีไม่ต้องกังวลชั่งดูเหตุผล เพราะในเหตุการณ์เฉพาะหน้าจิตใจมักไม่ผ่องแผ้วพอสำหรับคิดเพื่อใช้เหตุผล  ลัคจึงคิดกฎที่แบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ  1) กฎของพระเจ้า (The Divine Law) ลัคถือว่าเป็นฐานของกฎหมายอื่น ๆ ทั้งหลาย กฎหมายอื่น ๆ มีหน้าที่เพียงขยายความหรือตีความกฎนี้ จะขัดแย้งหรือยกเลิกเสียไม่ได้  2) กฎหมายบ้านเมือง (The Civil Law) นำเอากฎของพระเจ้ามากำหนดเจาะจงลงไปให้แน่นอนว่าในแต่ละกรณีจะต้องทำอย่างไร เพื่อทุกคนจะได้มีความสุขและเพื่อประกันประสิทธิภาพก็จะต้องมีการจับกุม ลงโทษ ผู้ละเมิดตามความจำเป็น   3) กฎหมายตามความเห็น (The Law of Opinion or Reputation) เป็นกฎหมายตามความเห็นของกลุ่มชนที่เห็นว่าแต่ละคนควรปฏิบัติอย่างไร เพื่อความสุขส่วนรวมของกลุ่มชนนั้น ๆ ผู้ไม่ปฏิบัติตามก็ถูกประนามว่าเห็นแก่ตัว ทำให้เสียเกียรติ เสียชื่ออยู่ในกลุ่มชนนั้นต่อไปไม่ได้ ผู้ใดสมัครใจจะเป็นสมาชิกในกลุ่มชนใดก็ต้องยอมรับกฎหมายประเภทนี้ของกลุ่มชนนั้น ๆ โดยปริยาย                      

               ประเพณีของแต่ละท้องถิ่น  กลุ่มนี้เห็นว่าหลักการของ มิลสมศักดิ์ศรีของมนุษย์ดีอยู่แต่จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อสมาชิกในสังคมมุ่งหาประโยชน์ส่วนรวมกันจริง ๆ ทุกคนโดยไม่มีการยกเว้น ถ้ามีใครสักคนอ้างว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ใจจริงมุ่งกอบโกยหาผลประโยชน์ส่วนตัว ในไม่ช้าก็จะเกิดความไม่ไว้วางใจกันขึ้น และทุกคนก็จะมุ่งหาประโยชน์ส่วนตัว หลักการที่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงของมนุษย์อย่างที่สุดก็คือ ให้แต่ละท้องถิ่นถือเอาประเพณีของตนเป็นหลัก เพราะประเพณีย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ประเพณียิ่งเก่าแก่ยิ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ จึงควรรักษาไว้คู่บ้านคู่เมืองผู้ย้ายมาจากถิ่นอื่นก็ควรทิ้งประเพณีของถิ่นเดิม และยอมรับประเพณีของถิ่นใหม่ ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขในสังคม ผู้ริเริ่มความคิดนี้ได้แก่ เวสเทอร์มาร์ค (Westermark, 1862-1939) และลัทธินี้ได้ชื่อว่าสัมพัทธนิยมทางวัฒนธรรม (Cultural Relativism) ซึ่งนับว่าเป็นความพยายามที่จะรื้อฟื้นประเพณีขึ้นมาใช้

                               มาตรการในนวยุคภาพถือว่าความถูกต้องดี/ชั่ว เป็นผลสรุปจากกฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์ ต้องให้ผู้ฉลาดที่สุดในสังคมเป็นผู้ชี้ขาด เพราะถือว่ารู้กฎดีกว่าผู้อื่น คนรุ่นใหม่ถือว่าความต้องการของสังคมต่างหากเป็นตัวชี้ขาด  หากความต้องการของสังคมเปลี่ยนไปความถูกต้องดีชั่วก็พึงเปลี่ยนไปให้รับกันกับความต้องการของสังคม แนวคิดในการอรรถปริวรรตจึงตีความตามความเชื่อในแต่ละกลุ่ม ดังเช่น (กีรติ บุญเจือ: 2546)

                               ดูร์คายม์ (Emile Durkheim, 1880-1917) จากการศึกษามาตรการจริยะในสังคมต่าง ๆ พบว่า มาตรการจริยะเกิดจากการเห็นชอบร่วมกันของสมาชิกในแต่ละสังคมความรู้สึกชอบส่วนตัวไม่สามารถเป็นมาตรการจริยะได้ เพราะถ้าสมาชิกอื่น ๆ ในสังคมไม่เห็นด้วย ตัวเองฝืนทำไปก็คงไม่สบายใจและอาจจะถูกลงโทษ จึงถือเป็นมาตรการจริยะจริง ๆ ไม่ได้

                               เอดเวิร์ด เวสเทอร์มาร์ค (Edward Westermark, 1862-1939) ชาวอังกฤษ พบว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดมาตรการจริยะขึ้นในแต่ละวัฒนธรรมก็คือ บังเอิญมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอันทำให้คนจำนวนมากเกิดอารมณ์สะเทือนใจขึ้นทั่วไป จึงเกิดความรู้สึกพร้อมใจกันโดยอัตโนมัติที่จะกำหนดมาตรการจริยะ ซึ่งเชื่อกันในหมู่คณะนั้นว่าสามารถป้องกันมิให้เหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์นั้นเกิดขึ้นซ้ำอีก

                               คาร์ล มานฮายม์ (Kart mannheim) รื้อฟื้นความคิดของเธรอซีมเมอเคิสขึ้นมาอธิบายใหม่โดยแก้ไขว่า มาตรการจริยะของชุมชนใดชุมชนหนึ่งก็คือ อุดมคติของผู้มีอำนาจโดยเล็งเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่ชุมชนนั้น ๆ ดังนั้นมาตรการจริยะของสังคมเดียวกันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามความเหมาะสมของเหตุการณ์ที่บันดาลใจให้ผู้มีอำนาจคิดเปลี่ยนแปลงไป

                               ญาณปรัชญาของเฮเกล ปฏิพัฒนาการของจิตสัมพัทธ์ก็คือ ศิลปะ ศาสนา และปรัชญา (Art, Religion, Philosophy) เพราะฉะนั้นศิลปะก็คือการแสดงออกของจิตอสัมพัทธ์ ในวัตถุให้รู้สึกได้  (กีรติ บุญเจือ: 2546)

                               ในด้านจริยศาสตร์เฮเกลมองว่า บุคคลเป็นเฉพาะหน่วยหากอยู่โดดเดี่ยวจะไร้ความหมาย เพราะบุคคลแต่ละบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติซึ่งจะต้องวิวัฒน์ตัวเองขึ้นจนรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใหญ่ บุคคลหนึ่ง ๆ จึงเป็นวาระชั่วคราวของจิตที่กำลังวิวัฒน์ตัวเอง บุคคลจะมีความหมายก็เฉพาะในความหมายของจิตใหญ่เท่านั้น  บุคคลแต่ละบุคคลไม่มีสาระความเป็นมนุษย์ (no human nature) สาระที่บุคคลแต่ละคนพอจะมีได้ก็คือ กิจกรรมของเขา “ภาวะที่แท้จริงของมนุษย์คือการกระทำของเขา” การกระทำอันจะนำตัวบุคคลเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใหญ่ ถ้าปราศจากการกระทำเสียแล้ว บุคคลก็ไร้ความหมายทุกอย่าง  แนวคิดของเฮเกลมาสรุปลงจุดเดียวกับคานท์ที่สรุปไว้ว่าทุกคนต้องกระทำตามหน้าที่จึงจะมีคุณค่าในชีวิต เพียงแต่แนวคิดของเฮเกลมองว่าการกระทำของบุคคลเป็นเพียงเพื่อวิวัฒน์ให้จิตย่อยสามารถเข้าไปรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใหญ่

               ช่วงหลังนวยุคนิยม (Postmodernism)

               โครงสร้างในทางพฤติกรรมของมนุษย์ที่ประกอบเป็นจริยศาสตร์นั้นมี 3 ส่วน คือ  1) หน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนเกิดมาต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบด้วยกันทุกคนแต่ละคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบเป็นของตนเอง จริยศาสตร์จะเน้นให้แต่ละคนรู้จักหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์   2) อุดมการณ์สูงสุดของชีวิต นอกจากมีหน้าที่ของตนเองที่จะทำยังบอกว่ามนุษย์ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร อุดมการณ์ของชีวิตจะทำให้มนุษย์สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างภาคภูมิ มนุษย์ทุกคนจึงควรตั้งอุดมการณ์แห่งชีวิตของตนเองไว้ และดำเนินการตามแนวทางแห่งอุดมการณ์นั้น เพื่อชีวิตของตนจะได้มีคุณค่า  3) ความดีอันสูงสุด หมายถึงความเหมาะสมในหน้าที่ที่จะพึงทำก่อนหรือหน้าที่ตามเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่สำคัญกว่า การเลือกทำหน้าที่ที่สำคัญกว่า มีคุณค่าสูงกว่าเป็นการทำความดีสูงสุด ซึ่งต้องใช้วิจารณญาณเข้ามาร่วมวิเคราะห์ทำให้การประเมินค่าพฤติกรรมที่จะกระทำนั้นมีความถูกต้องมากขึ้น

               อย่างไรก็ตามการศึกษาเรื่องคุณค่าทางจริยศาสตร์อันเกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรม หรือการกระทำของมนุษย์นั้น สามารถพิจารณาตามขอบเขตของจริยศาสตร์ที่พยายามศึกษาหาคำตอบใน 3 ประเด็นนี้ คือ 

                              1) คุณค่าการกระทำของมนุษย์ (The analysis of conduct such as ought, should, duty, moral rules, right, wrong, obligation, responsibility, ect.) คือ การศึกษาว่าคุณค่ามาจากไหน และมีความสำคัญอย่างไร, คุณค่าการกระทำ ความประพฤติ พฤติกรรมของมนุษย์ที่ดีชั่ว ถูกผิด ควรไม่ควรเป็นแบบใด ดีชั่ว ถูกผิดคืออะไร สามารถนิยามได้หรือไม่ ถ้านิยามได้จะนิยามว่าอย่างไร ความดี ความชั่วมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคม และถ้าหากความดีชั่ว ถูกผิดมีอยู่จริงแล้วมีลักษณะเป็นอย่างไร  

                               2) เกณฑ์ตัดสินคุณค่าการกระทำของมนุษย์ (The inquiry into the nature of morality or moral acts) เป็นการศึกษาหลักหรือมาตรการที่ใช้ตัดสินพฤติกรรม หรือการกระทำอย่างหนึ่งว่าดีชั่ว ถูกผิด อีกนัยหนึ่งคือ เป็นการศึกษาว่า เมื่อคน ๆ หนึ่งกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะใช้หลักหรือมาตรการอะไรมาตัดสินว่าการกระทำนั้นถูกหรือผิด และมีเหตุผลอย่างไรที่ใช้หลัก หรือมาตรการนั้นมาตัดสิน อีกทั้ง มนุษย์นำสิ่งใดมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินความถูก ความผิด หากมิได้เอาความรู้สึกส่วนตัว กฎหมาย จารีต ประเพณี หรือความเชื่อมาตัดสิน แล้วมีเหตุผลอะไรมาเป็นมาตรฐานรองรับในการตัดสินในเรื่องนั้น ๆ ว่าดีชั่ว ถูกผิด และมีเกณฑ์ตัดสินคุณค่าที่แน่นอนตายตัวหรือไม่ 

                               3) อุดมคติหรือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต (The search for the morally good life) คือ การศึกษาว่า ชีวิตมนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร  ชีวิตที่ดีหรือชีวิตที่ประเสริฐที่มนุษย์ควรแสวงหาควรเป็นชีวิตแบบใด  มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไรจึงคุ้มค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์   อะไร คือ ความดีสูงสุดซึ่งมนุษย์ควรประพฤติปฏิบัติ หรืออุดมคติอันสูงสุดของมนุษย์ควรเป็นเช่นไร และมนุษย์ควรจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะบรรลุถึงอุดมการณ์นั้นได้


Leave a comment