อ.ดร.สิริกร อมฤตวาริน :

มนุษย์ในสมัยปัจจุบันมองหาความสุขจากอิสรภาพ เสรีภาพในการดำรงชีวิตประจำวัน กระแสมนุษยนิยมชี้ว่าความดีสูงสุดที่ควรแสวงหาและยึดถือเป็นอุดมคติของชีวิตนั้นมีมากมายหลายสิ่ง  ไม่ว่าจะเป็นความสุขกาย  ความสบายใจ  ปัญญาความรู้  ความหลุดพ้น การได้พักผ่อนและการได้ชื่นชมศิลปะ การได้รับการยอมรับจากสังคม พื้นฐานของชีวิตอยู่ได้ด้วยวัตถุมนุษย์จึงต้องตอบสนองความต้องการส่วนตนให้มีความสุข ชื่นชมกับสิ่งเหล่านี้ได้ตามความพอใจของแต่ละคน ทำให้คนรุ่นใหม่ต่างแสวงหาความสุขในรูปแบบต่างๆ กันอย่างเสรี ไม่เหมือนกันเลย

การพัฒนาสังคมโลกก็มุ่งเน้นความเจริญก้าวหน้าแต่ก็ตั้งความหวังที่จะได้สังคมที่มีความสงบสุข ประชาชนมีความสุขในการดำรงชีวิต ไม่มีความขัดแย้งและสงคราม แต่ปัญหาสังคมในปัจจุบันได้สะท้อนให้เห็นผลของการมุ่งแสวงหาความสุขจากความมั่งคั่งร่ำรวย ทุกคนมองหาว่าทำอย่างไรจึงจะมีความมั่งคั่งร่ำรวยได้มากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเชื่อว่าความมั่งคั่งร่ำรวยจะตอบสนองความสุขของตนได้ แต่ความไม่รู้จักตนก็ทำให้มนุษย์แสวงหาความสุขอย่างไม่รู้จบ ในขณะที่ปัญหาการหลอกลวงต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ั่วไปนั่นคือ นอกจากจะไม่สุขแล้ว ยังทุกข์ได้มากกว่าเดิมเสียอีก นอกจากนี้ยังมีปัญหาของภาวะซึมเศร้าที่ได้กลายเป็นปัญหาสำคัญของมนุษยชาติเพราะมนุษย์ดูจะขาดแคลนความสุขในชีวิตไปเสียแล้ว

ทั้งนี้อาจมองได้ว่ามนุษย์ที่มุ่งแสวงหาความสุขเพราะเขารู้สึกได้ว่าไม่มีความสุข เขาหลงเชื่อในความลวงของสังคมสมัยใหม่ที่ให้สะสมเงินทองให้มากจะได้เอาไปซื้อหาความสุข แต่เขาย่อมไม่สุข เพราะเขาไม่รู้ว่าอะไรคือความสุขแท้

ปมของปัญหาเกิดจากปรัชญากระบวนทรรศน์นวยุค (Modern paradigm) ที่เชื่อมั่นในความรู้อย่างเป็นระบบเครือข่ายและส่งเสริมมนุษยนิยม คือ มนุษย์เป็นใหญ่ เป็นศูนย์กลางของโลก อะไรที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับมนุษย์ย่อมถือว่ามนุษย์มีความเหนือกว่า ดังนั้นสิ่งทั้งหลายมีไว้เพื่อมนุษย์เท่านั้น นักวิชาการได้พัฒนาศาสตร์ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจมนุษย์และตอบคำถามว่าอะไรคือความสุขของมนุษย์ ซึ่งศาสตร์ที่มีบทบาทนำคือ จิตวิทยา ซึ่งได้แสดงบทบาทอย่างสำคัญในการนำเสนอว่ามนุษย์ต้องการความสุขด้วยการตอบสนองความต้องการ ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีความต้องการ (theory of need)  นั่นคือมนุษย์จะมีแรงกดดัน (tension) ที่จะต้องทำเพื่อให้บรรลุความต้องการ เมื่อได้ทำบรรลุแล้วก็จะลดแรงกดดันลง ภาวะที่แรงกดดันนี้น้อยลงคือความสุข ซึ่งจะคงตัวระยะหนึ่งแล้วก็จะเกิดแรงกดดันใหม่ที่มนุษย์จะต้องทำเพื่อลดแรงกดดันนั้น โดยระดับแรงกดดันนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็คือระดับความต้องการที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

ทฤษฎีจิตวิทยาที่ได้รับการยอมรับทั่วไปมองว่ามนุษย์มีความต้องการระดับพื้นฐานเพื่อรักษาชีวิต จึงต้องการปัจจัย 4 หลังจากนั้นจึงต้องการความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน ความต้องการความผูกสัมพันธ์กับคนอื่น ความต้องการอำนาจและสุดท้ายความต้องการรู้จักตัวเอง (มาสโลว์, 1943) ทฤษฎีจิตวิทยานี้ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงพัฒนาอุตสาหกรรม ประกอบกับความเป็นนวยุคนิยม ทำให้มนุษย์เดินตามประโยชน์นิยมคือเน้นปริมาณความสุขให้มากที่สุด ยิ่งทำให้มนุษย์ใช้ทรัพยากรโลกไปกับตอบสนองความต้องการเพื่อให้ได้ความสุขของมนุษย์ จนทำให้โลกประสบกับมลภาวะและความเสื่อมโทรมลงอย่างมาก เศรษฐกิจทุนนิยมยิ่งกระจายไปทั่วโลกก็ยิ่งทำให้ประโยชน์ผูกติดกับเงิน มนุษย์ยุคใหม่ได้ยกคุณค่าของเงินขึ้นกว่าแต่ก่อน การแสวงหาและการสะสมเงินกลายเป็นหน้าที่อย่างสำคัญของมนุษย์เพื่อที่จะได้อยู่ได้อย่างสะดวกสบายในโลก คนที่ยึดถือเงินเป็นพระเจ้าได้แสดงความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น และการแสวงหาลู่ทางได้เงินมาโดยวิธีทุจริตต่าง ๆ ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เพราะเงินได้กลายเป็นตัวกลางอย่างสำคัญไปเสียแล้วสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนต่างๆ การให้ข้าวแลกปลาไม่ใช่สิ่งสามัญที่จะกระทำได้อีกต่อไป เงินได้กลายเป็นปลายทางของการแสวงหาเพื่อให้ได้มาไว้ครอบครองเพื่อก่อให้เกิดความสุข คือแค่มีเงินก็มีความสุขไปเสียแล้ว คนทั่วไปต่างเห็นว่าเงินสามารถสร้างความสุขให้กับผู้ที่มีเงินถืออยู่ในมือ ยิ่งมีมากยิ่งสุขได้มาก เพราะสามารถจัดหาทุกอย่างที่ต้องการมาเป็นของตนได้ เมื่อตนเองสุขสบายก็มองหาความสุขจากเพศรส จากนั้นก็ใช้เงินไปในการแสวงหาอำนาจเพื่อจะได้ใช้หาเงินให้มากขึ้นไปอีกอย่างไม่รู้จบ ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคม ความรุนแรงในสตรีและเด็ก ปัญหาความขัดแย้งและสงคราม และมักสรุปว่าเป็นผลตามอย่างสำคัญของระบบทุนนิยม และเรียกร้องให้ลดละความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้มีผู้ที่เดือดร้อนก็คือผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาเหล่านั้นได้หันเข้าพึ่งคุณค่าของความหรู หราและถูกผู้ที่ฉลาดกว่าเอาเปรียบ ล่อหลอกเอาไว้ในสังคมเกินจริง ก็เพราะเขาไม่รู้ว่าอะไรคือความสุขแท้ตามความเป็นจริง

ในชั้นนี้ แม้ศาสนาจะสอนสั่งมานานนับพันปี มนุษย์ก็ยังหลงใหลในความสุขไม่แท้ และแสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาตอบสนองความต้องการเพื่อความสุขไม่แท้เหล่านี้โดยถือเป็นสิ่งที่ให้ความสุขตามที่เขาต้องการ และทุกความสุขเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเท่าเทียมกัน ปัญหาเช่นนี้ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว มนุษย์มีคำถามว่าชีวิตที่ดีเป็นอย่างไร? มนุษย์ควรดำรงอยู่อย่างไรจึงจะมีความสุข? ซึ่งลัทธิโซฟิสม์ได้ตอบไว้อย่างที่ใคร ๆ ก็มักตอบกันว่า “การได้ทำอะไรที่ชอบ ชอบอะไรได้ทำตามนั้นก็คือความสุข” และความสุขนั้นคือความดี ความสุขเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป แนวคิดนี้ทำให้มนุษย์ยิ่งหลงระเริงไปกับการใช้ชีวิตอย่างเต็มกำลัง สุดท้ายก็พบว่าความสุขเช่นนี้ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ไม่ยิ่งยืน เป็นความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว หมดไปได้

พระพุทธศาสนามองผ่านความเมตตา โดยมองผ่านนิยามของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ในหนังสือ พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลธรรม (2551) และพระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเสียง)ในหนังสือ พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสตร์ชุดคำวัด (2548)  ซึ่งอธิบายว่าเมตตาไว้ใกล้เคียงกัน พอสรุปได้ว่าเมตตาคือ ความรัก รักที่มุ่งเพื่อปรารถนาดี โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ผู้ที่มีเมตตาจะเป็นผู้มีความสุข คนที่ได้รับเมตตาก็มีความสุข

สำหรับประเทศไทยซึ่งได้รับอิทธิพลททางความคิดจากพระพุทธศาสนา ความสุขจากเมตตานี้จงมีความน่าสนใจที่จะคิด แต่ย่อมจะไม่ใช่ความสุขในระดับเดียวกันกับความสุขทั่ว ๆ ไป กีรติ  บุญเจือ (ราชบัณฑิต) ได้อธิบายไว้ในคู่มือจริยศาสตร์ตามหลักวิชาการสากล (2551, หน้า 174)  ว่า มนุษย์ทุกคนต้องการความสุขแท้ตามความเป็นจริง มนุษย์ไม่พอใจกับความสุขปลอม ไม่พอใจกับความสุขในฝัน หรือในความเพ้อฝัน แต่ต้องการความสุขแท้ตามความเป็นจริง ดังบทกลอน ต่อไปนี้

ความสุขบนความสุขของผู้อื่นคือ ความสุขแท้ คำนี้ทำให้อาจมองทะลุความสุขที่มนุษย์กำลังแย่งชิงแสวงหากันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นว่าเป็นความสุขไม่แท้ และน่าจะเกิดจากความต้องการที่เป็นการเห็นแก่ตนเองเป็นสำคัญ กีรติ บุญเจืออธิบายไว้ว่ามนุษย์ย่อมแสวงหาความสุขเพื่อตอบสนองสัญชาตญาณในระดับต่ำของมนุษย์ได้ เพราะมีความอยากเป็นพื้นฐาน แต่มนุษย์มีสัญชาตญาณปัญญาอันเป็นสัญชาตญาณที่มีแต่เฉพาะในมนุษย์ ไม่มีในสัตว์อื่นใด สัญชาตญาณปัญญาต้องการการคิด เมื่อได้คิดย่อมมีความสุข เมื่อพิจารณาผ่านปรัชญากระบวนทรรศน์   (กีรติ บุญเจือ, 2546) จึงเห็นว่าความสุขคือ การได้ทำตามสัญชาตญาณ (happiness is satisfying the instinct) มนุษย์คิดคำถามและพยายามคิดหาคำตอบในแต่ละยุคแต่ละสมัยว่าอะไรคือความสุข มนุษย์ในแต่ละกระบวนทรรศน์มีคำตอบของความสุขต่างกัน ทำให้มนุษย์แสวงหาความสุขต่างกันนั่นเอง อย่างไรก็ตามปรัชญากระบวนทรรศน์หลังนวยุคได้ชี้ชวนให้มนุษย์แสวงหาความสุขแท้ตามความเป็นจริง เป็นความสุขในโลกนี้ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Development of Quality of Life) ใช้ปัญญาคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical mind) เลือกประพฤติคุณธรรมอย่างเหมาะสมเพื่อจุดมุ่งหมายคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พบความสุขแท้ตามความเป็นจริง คำตอบทางปรัชญาต่อการมีชีวิตอย่างมีความสุขนี้ได้รับการขานรับอยู่ในปัจจุบัน

การพิจารณาบนฐานกระบวนทรรศน์หลังนวยุค (Postmodern paradigm) ที่เน้นความสุขแท้ตามความเป็นจริง และขจัดความยึดมั่นต่อมนุษยนิยมอย่างนวยุค จำเป็นต้องชี้ให้ชัดว่าความสุขที่มนุษย์หลงใหลและให้คุณค่าเป็นความสุขสูงสุดเท่าเทียมกัน  เช่น ความสุขสะดวกสบาย ความสุขในผลประโยชน์ ความสุขในการดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นเป็นความสุขไม่แท้   

แนวคิดปรัชญากระบวนทรรศน์หลังนวยุคเน้นการพัฒนาตนเอง  เน้นความพอเพียงในการดำเนินชีวิต ไม่เน้นการสะสมความมั่งคั่งให้มากไว้ ผู้ที่ไม่รู้จักพอเพียงซึ่งมีให้เห็นทั่วไปในทุกสังคมนั้น ชีวิตในแต่ละวัน สถานการณ์ในแต่ละวันที่เขาจะต้องประสบนั้นล้วนเหมือนกับจะเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดอยู่ตลอดเวลา ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องของการได้เปรียบเสียเปรียบ สิ่งที่มีคุณค่าคือ ฝ่ายตนได้เปรียบ ได้เงินมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต่างมุ่งเน้นเพียงแค่ประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น ประโยชน์ส่วนรวมถูกละเลยลงอย่างสิ้นเชิง หากมนุษย์เข้าใจถึงความสุขแท้ ย่อมจะมุ่งไปด้วยใจเสรีที่จะมีความสุขแท้ พลังแห่งหลังนวยุค อันประกอบด้วยการสร้างสรรค์ ปรับตัว ร่วมมือและแสวงหา ก็ย่อมเป็นแนวทางที่จะช่วยให้มนุษยชาติพัฒนาตนเองต่อไปสู่ระดับที่ดีขึ้นของสังคมโลกได้


Leave a comment