ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
ปรัชญาการศึกษามีอยู่มากมายหลายลัทธิ ตามลักษณะและตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ต่างก็คิดและเชื่อไม่เหมือนกัน อาศัยแนวคิดของปรัชญาพื้นฐานที่แตกต่างกัน หรือนำมาผสมผสานกัน ทำให้มีลักษณะที่คาบเกี่ยวกัน หรืออาจมาจากความคิดของปรัชญาพื้นฐานสาขาเดียวกัน ดังนั้นปรัชญาการศึกษาจึงมีหลายลัทธิ หลายระบบ ที่นิยมกันอย่างกว้างขวางมี 5 ลัทธิ ได้แก่ สารัตถนิยม (Essentialism) นิรันตรนิยม (Perennialism) อัตถิภาวนิยม (Existentialism) พิพัฒนาการนิยม (Progessivism) และปฏิรูปนิยม (Reconstructionism)
วิลเลี่ยม ซี แบคลีย์ (William C. Bagley) เผยแพร่แนวคิดทางการศึกษาสารัตถนิยมตั้งแต่ปี 1930s โดยประมวลแนวคิดอุดมคตินิยม (Idealism) สสารนิยม (Materialism) และสัจนิยม (Realism) มาเป็นแนวทางการจัดการศึกษาซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังนิยมเรื่อยมาอีกเป็นเวลานาน เพราะมีความเชื่อว่าปรัชญาสารัตถนิยมมีความเข้มแข็งในทางวิชาการและมีประสิทธิภาพในการสร้างค่านิยมเกี่ยวกับระเบียบวินัยได้ดีพอที่จะทำให้โลกเสรีต่อสู้กับโลกเผด็จการของคอมมิวนิสต์ ถือว่าเนื้อหาสาระต่าง ๆ เช่น ความรู้ทักษะ ทัศนคติ ค่านิยม และอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ได้รับการกลั่นกรองมาดีแล้ว ควรได้รับการทำนุบำรุงและถ่ายทอดไปให้แก่คนรุ่นหลัง ถือเป็นการอนุรักษ์และถ่ายทอดทางวัฒนธรรม
โรเบิร์ท เอ็ม ฮัทชินส์ (Robert M. Hutchins) ได้รวบรวมหลักการของอริสโตเติล (Aristotle) และโทมัส อไควนัส (St. Thomas Aquinas) เน้นการใช้ความคิดและเหตุผล และเผยแพร่แนวคิดทางการศึกษานิรันตรนิยมในปี 1929 โดยมองว่าประเทศตะวันตกมีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ก่อให้เกิดการแข่งขันทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม มีการเอารัดเอาเปรียบ สินค้าราคาสูง เกิดปัญหาครอบครัว ขาดระเบียบวินัย มนุษย์ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ทำให้วัฒนธรรมเสื่อมสลายลงไป จึงมีการเสนอปรัชญาการศึกษานี้เพื่อให้การศึกษาเป็นสิ่งนำพามนุษย์ไปสู่ความมีระเบียบเรียบร้อย มีเหตุและผล มีคุณธรรมและจริยธรรม
ซอเร็น คีร์เคอร์การ์ด (Soren Kierkegard) เสนอความคิดว่า ปรัชญาเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ดังนั้นทุกคนจึงควรสร้างปรัชญาของตนเองจากประสบการณ์ ไม่มีความจริงนิรันดร์ให้ยึดเหนี่ยวเป็นสรณะตัวตาย ความจริงที่แท้คือสภาพของมนุษย์ (Human condition) การศึกษาที่มีอยู่ก็มีส่วนทำลายความเป็นมนุษย์ เพราะสอนให้ผู้เรียนอยู่ในกรอบของสังคมที่จำกัดเสรีภาพความเป็นตัวของตัวเองให้ลดน้อยลง นอกจากนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังมีส่วนในการทำลายความเป็นมนุษย์ เพราะต้องพึ่งพามันมากเกินไป ปรัชญาอัตถิภาวนิยมนี้เผยแพร่ในช่วงปี ค.ศ. 1950 – 1965 แต่ความพยายามที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับการศึกษาเกิดจาก เอ เอส นีลล์ (A.S. Neil) โดยทดลองในโรงเรียนสาธิตและโรงเรียนซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer hill) ในประเทศอังกฤษในอีก10 ปีต่อมา โดยหลักสูตรไม่กำหนดตายตัว แต่ต้องเป็นหลักสูตรที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น เนื้อหาของหลักสูตรจะเน้นทางสาขามนุษยศาสตร์เป็นสำคัญ ด้วยเชื่อว่าวิชาเหล่านี้จะฝึกฝนผู้เรียนทางด้านสุนทรียศาสตร์ อารมณ์ และศีลธรรม จริยธรรมอันดีงาม
จอห์น ดิวอี้ (John Dewey)ได้นำแนวคิดของฟรานซิส ดับเบิ้ลยู ปาร์คเกอร์ (Francis W. Parker) ที่ได้เสนอให้มีการปฏิรูปการศึกษาเสียใหม่ เพราะการเรียนแบบเก่าเข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย เน้นแต่เนื้อหา สอนให้ท่องจำเพียงอย่างเดียว ทำให้เด็กพัฒนาด้านสติปัญญาอย่างเดียว ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีความกล้าและความมั่นใจในตนเอง โดยทบทวนว่าเป็นปัญหาเชิงกระบวนการซึ่งต้องการแนวทางปฏิบัตินิยม (Pragmatism) มาช่วยเสริมและเผยแพร่ในปี 1915 ปรัชญาพิพัฒนาการนิยมจึงเน้นกระบวนการ โดยเฉพาะกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ แนวทางของการศึกษาต้องพยายามปรับปรุงให้สอดคล้องกับกาลเวลาและภาวะแวดล้อมอยู่เสมอ การศึกษาจะไม่สอนให้คนยึดมั่นในความจริง ความรู้ และค่านิยมที่คงที่ หรือสิ่งที่กำหนดไว้ตายตัว ต้องหาทางปรับปรุงการศึกษาอยู่เสมอ เพื่อนำไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ผู้เรียนจึงควรจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เหมาะแก่วัยของเขาและสิ่งที่จัดให้ผู้เรียนเรียนควรจะเป็นไปในทางที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจปัญหาชีวิตและสังคมในปัจจุบัน
จอร์จ เอส เคาทส์ (George S. Counts) มองเห็นปัญหาการว่างงาน คนไม่รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เกิดช่องว่างระหว่างชนชั้นในสังคม ระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จึงเสนอว่าโรงเรียนควรมีหน้าที่แก้ปัญหาเฉพาะอย่างของสังคมด้วย ต่อมา ธีโอดอร์ บราเมลด์ (Theodore Brameld) ในปี 1950 ได้เสนอเป็นปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม ว่า ผู้เรียนมิได้เรียนเพื่อมุ่งพัฒนาตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเรียนเพื่อนำความรู้ไปพัฒนาสังคมให้สังคมเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การศึกษามีบทบาทในการเป็นเครื่องมือสร้างสังคมและวัฒนธรรมที่ดีงามขึ้นมาใหม่ เป็นสังคมในอุดมคติ ที่มีความเพียบพร้อม และจะต้องทำอย่างรีบด่วน
ความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญาการศึกษากับระดับคุณภาพการศึกษา
ปรัชญาการศึกษาเป็นรากฐานทางความคิดที่กำหนดเป้าหมาย วิธีการ และเนื้อหาของระบบการศึกษาในแต่ละสังคม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระดับคุณภาพการศึกษา ทั้งในระดับสากลและในระดับประเทศโดยสามารถพิจารณาความสัมพันธ์นี้ผ่าน 3 มิติหลัก ได้แก่ เป้าหมายของการศึกษา วิธีการจัดการเรียนรู้ และโครงสร้างเชิงระบบของการศึกษา
- เป้าหมายของการศึกษาและคุณภาพการศึกษา
ปรัชญาการศึกษาที่แตกต่างกันย่อมนำไปสู่เป้าหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อระดับคุณภาพการศึกษาในแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น
การศึกษารูปแบบเสรีนิยม (Liberal Education) ที่พบในปรัชญาอัตถิภาวนิยมและปฏิรูปนิยม เน้นพัฒนาความคิดเชิงวิพากษ์ ความสามารถในการปรับตัว และศักยภาพของปัจเจกบุคคล ซึ่งมักพบในประเทศที่มีระบบการศึกษาที่พัฒนาแล้ว เช่น ฟินแลนด์หรือสหรัฐฯ ระบบนี้มุ่งเน้นให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์และสามารถเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาในระยะยาว
การศึกษารูปแบบเน้นการปฏิบัติ (Praxism) ที่พบในปรัชญาพิพัฒนาการนิยมและปฏิรูปนิยมเช่น ระบบ STEM Education อย่างเยอรมนีและเกาหลีใต้ จะให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เชิงปฏิบัติจริงและการพัฒนาแรงงานที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
การศึกษารูปแบบเน้นศีลธรรมและคุณธรรม (Moral and Ethical Education) ที่พบในปรัชญาสารัตถนิยม ละนิรันตรนิยม พบมากในประเทศแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและประเทศไทย ซึ่งมุ่งเน้นให้พลเมืองเป็นผู้มีระเบียบวินัย เคารพกฎเกณฑ์ และทำงานเป็นกลุ่มได้ดี
สำหรับประเทศไทยนั้นมีการรับปรัชญาการศึกษาเข้ามาทุกลัทธิและทุกรูปแบบ และยังคงมีค่านิยมในปรัชญาการศึกษาทุกรูปแบบในการจัดการศึกษาระดับต่าง ๆ นั่นคือ มุ่งเน้นระเบียบวินัย เน้นความเก่งทางวิชาการ ในขณะเดียวกันก็เน้นการได้มีประสบการณ์ การพัฒนาทักษะเชิงวิพากษ์และความคิดสร้างสรรค์ และการคิดเพื่อปฏิรูปสังคม ทำให้คุณภาพการศึกษามีความแตกต่าง กระจัดกระจาย และไม่ดำรงอยู่ในลักษณะบูรณาการ
- วิธีการจัดการเรียนรู้กับคุณภาพการศึกษา
ปรัชญาการศึกษามีผลต่อวิธีการสอนและระบบการเรียนรู้ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของผลลัพธ์ทางการศึกษาโดยตรง
การเรียนรู้แบบนักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered Learning) ซึ่งมีรากฐานจากปรัชญาพิพัฒนาการนิยมและอัตถิภาวนิยมช่วยพัฒนาทักษะเชิงวิพากษ์และความคิดสร้างสรรค์เชิงกระบวนการ ประเทศที่ใช้แนวทางนี้อย่างฟินแลนด์มีคุณภาพการศึกษาสูงและผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนอยู่ในระดับต้นของโลก
การเรียนรู้แบบท่องจำและอิงอำนาจ (Rote Learning & Authority-Based Learning) ที่ยังมีบทบาทในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยจากฐานปรัชญาสารัตถนิยมและนิรันตรนิยม แม้ว่าจะช่วยให้เกิดการจดจำข้อมูลที่เป็นระบบ แต่ไม่ได้ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหาซึ่งเป็นทักษะสำคัญของศตวรรษที่ 21
ในประเทศไทย แม้ว่ามีนโยบายผลักดันให้มีการเรียนรู้แบบ Active Learning มากขึ้น แต่ระบบการสอบแข่งขันและการเน้นคะแนนเป็นหลักยังคงทำให้แนวคิดแบบท่องจำมีอิทธิพลสูง ส่งผลให้คุณภาพการศึกษายังไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ เช่น ผลคะแนน PISA ในระดับประเทศ เป็นต้น
- โครงสร้างเชิงระบบและคุณภาพการศึกษา
ปรัชญาการศึกษาส่งผลต่อโครงสร้างเชิงระบบ เช่น หลักสูตร การประเมินผล และการกระจายอำนาจ และการจัดสรรทรัพยากรทางการศึกษา
ในประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาสูง ระบบการศึกษาถูกออกแบบให้กระจายอำนาจแก่ครูและสถานศึกษา โดยให้ครูมีอิสระในการออกแบบหลักสูตรตามบริบทของนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาการศึกษาที่เชื่อว่าการเรียนรู้ต้องยืดหยุ่นและตอบสนองความต้องการของผู้เรียน
ในขณะที่ประเทศไทย ระบบการศึกษายังมีลักษณะรวมศูนย์ หลักสูตรแกนกลางถูกกำหนดโดยกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้หลักสูตรของแต่ละโรงเรียนไม่แตกต่างกันและไม่เป็นอิสระ ไม่เป็นไปตามบริบทของพื้นที่และนักเรียนเท่าที่ควร นอกจากนี้การสอบระดับชาติยังเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ซึ่งทำให้คุณภาพการศึกษาสะท้อนออกมาเป็นความไม่เท่าเทียมมากยิ่งขึ้น
ข้อเสนอแนะเชิงปรัชญาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย
ผู้บริหาร นักการศึกษา ครู ผู้ปกครอง และผู้เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ ควรปรับแนวคิดการศึกษาเพื่อคนรุ่นใหม่ที่จะต้องดำรงอยู่ในโลกยุคใหม่ บูรณาการปรัชญาและรูปแบบไปตามบริบทของสังคมและพื้นที่ เน้นเสรีนิยมและปฏิบัตินิยมมากขึ้น เน้นการอ่านออกเขียนได้ แต่ก็พึงลดการท่องจำ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และความคุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีและสื่อสำหรับการศึกษาต่าง ๆ
สถานศึกษาต้องพร้อมรองรับการกระจายอำนาจทางการศึกษา ครูมีอิสระในการปรับหลักสูตรให้เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน เพื่อลดช่องว่างระหว่างเมืองและชนบท
วิธีการประเมินผลและมาตรฐานการศึกษาที่มองในมิติต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ลดการพึ่งพาผลการเรียนรู้จากผลคะแนนสอบ และการประกวดแข่งขัน (output) เพิ่มรูปแบบการวัดผลที่เน้นผลลัพธ์ (outcome) จากการปฏิบัติด้วยความรู้ที่แท้จริง
สังคมจะต้องยอมรับและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สนับสนุนให้เกิดระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น เครดิตการเรียนรู้ การมีกิจกรรมและความเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในคนรุ่นใหม่ซึ่งทำให้การเรียนรู้มีคุณค่าอยู่เสมอ
สรุป
คุณภาพการศึกษาในแต่ละประเทศสะท้อนถึงปรัชญาการศึกษาที่เป็นรากฐานของระบบการเรียนรู้ หากประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยต้องการพัฒนาระดับคุณภาพการศึกษาให้เหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ จำเป็นต้องปรับแนวคิดให้เติบโต (growth mindset) พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดและยืดหยุ่นที่จะปรับปรุงโครงสร้างของระบบการศึกษา ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นของการเรียนรู้ แม้จะใช้เวลา แต่ก็เป็นทิศทางที่สำคัญที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ดีได้

