ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
คำว่า เชื่อ เป็นคำที่มีความสำคัญในภาษาไทย และพบได้ในคำประสมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องความไว้วางใจ ความศรัทธา และการยอมรับบางสิ่งบางอย่างโดยปราศจากข้อสงสัย
คำว่า เชื่อ มีรากมาจากคำในภาษาไทโบราณ เป็นคำอาการนามของ การเชื่อหรือความเชื่อ ใช้ในลักษณะของ เห็นตามด้วย มั่นใจ ไว้ใจ และมีการใช้ในบริบทของซื้อหรือขายโดยติดค้างไว้ไม่ต้องชำระเงินทันที
คำว่า เชื่อ จึงมีบริบทการใช้ในความหมายของ การยอมรับว่าเป็นจริง การยอมรับในตัวบุคคล หรือการไว้วางใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น เชื่อถือ ใช้ในบริบทของ การไว้วางใจ การนับถือ เชื่อฟัง ในในบริบทของการปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำแนะนำ
ความหมายของ เชื่อ นั้นมีภววิทยาที่สำคัญที่ควรเข้าใจ ได้แก่
- เกี่ยวข้องกับความคิดและจิตใจ โดยเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในจิตใจของบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือหลักฐานแน่ชัด เช่น ฉันเชื่อว่าฉันจะทำได้สำเร็จซึ่งสะท้อนเป็นความเชื่อที่อิงจากอารมณ์และคาดหวัง
- มีความหมายเชิงบวกและลบ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของเจตคติ (attitude) โดย เชิงบวก ใช้ในความหมายของ เชื่อมั่น เป็นความมั่นใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และในเชิงลบ ใช้ในความหมายของการเชื่ออย่างงมงาย เชื่อโดยไม่มีเหตุผล หลงเชื่อโดยง่าย
- เกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสังคม เช่น เชื่อถือ ใช้ในบริบทความน่าไว้วางใจของบุคคลหรือองค์กร และมีการสะท้อนถึงการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดหรือสิ่งของเข้าด้วยกัน
คำประสมที่มีคำว่า เชื่อ ประกอบ และความหมายที่อยู่เบื้องหลัง ดังตัวอย่างของลูกคำได้แก่
- เชื่อถือ แปลว่า ให้ความไว้วางใจ ยอมรับว่ามีความน่าเชื่อถือ ความหมายแฝงนั้นมักเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงและความน่าไว้ใจของบุคคลหรือองค์กร เช่น เขาเป็นนักวิชาการที่เชื่อถือได้
- เชื่อฟัง แปลว่าทำตามหรือปฏิบัติตามคำสั่ง ความหมายแฝงนั้นมีนัยของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เช่น พ่อแม่-ลูก หรือ ครู-นักเรียน
- เชื่อมั่น แปลว่า มีความมั่นใจในสิ่งที่เชื่อ ความหมายแฝงเกี่ยวข้องกับการเชื่อในตัวเองหรืออุดมการณ์ เช่น เขาเชื่อมั่นในความยุติธรรม
- เชื่อใจ แปลว่า มีความไว้วางใจในตัวบุคคล ความหมายแฝงเกี่ยวข้องกับบริบทของความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ส่วนตัว
- เชื่องมงาย แปลว่า เชื่อง่ายโดยไม่มีเหตุผล ความหมายแฝงนั้นมีนัยของความคิดที่ไม่ใช้เหตุผล เช่น เขาเชื่องมงายในเรื่องไสยศาสตร์
คำว่า เชื่อ เป็นรากศัพท์สำคัญในภาษาไทยที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับความไว้วางใจและการยอมรับความจริง ไม่ว่าจะเป็นในระดับบุคคล สังคม หรือแนวคิดที่กว้างขึ้น เมื่อประกอบกับคำอื่น คำว่าเชื่อสามารถสะท้อนแง่มุมต่าง ๆ ของความคิดมนุษย์ ตั้งแต่ความมั่นใจ ความไว้วางใจ ไปจนถึงความงมงายและการเชื่อง่าย ซึ่งสะท้อนถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่มีแนวโน้มจะเชื่อในบางสิ่งโดยมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลก็ได้
ในทางปรัชญา ใช้คำว่า เชื่อ ในฐานะของความเชื่อ ซึ่งหมายถึง การยอมรับหรือยึดมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเป็นจริง โดยอาจมีหรือไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์หรือเชิงเหตุผลมาสนับสนุนก็ได้ ความเชื่อเกิดขึ้นได้จากประสบการณ์ส่วนตัว การเรียนรู้ทางสังคม ศาสนา วัฒนธรรม หรืออิทธิพลจากบุคคลอื่น
นอกจากความหมายตามตัวอักษรแล้ว ความเชื่อ ยังมีความหมายระหว่างบรรทัดในหลายมิติ ได้แก่
- ความศรัทธา (Faith) ใช้ในบริบทของศาสนาและแนวคิดทางจิตวิญญาณ เช่น ความเชื่อในพระเจ้า หมายถึง ความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อในกฎแห่งกรรม หมายถึง ความเชื่อว่าการกระทำจะส่งผลในอนาคต
- ความไว้วางใจ (Trust) ใช้ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น ฉันเชื่อเธอ หมายถึง ความไว้วางใจในความตัวตนของอีกบุคคลหนึ่ง
- แนวคิดและอุดมการณ์ (Ideology & Belief System) ใช้ในบริบทเกี่ยวข้องกับแนวคิดทางสังคมและการเมือง เช่น ความเชื่อในประชาธิปไตย หมายถึง การเชื่อมั่นในระบบการปกครองที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ความเชื่อในโชคชะตาหมายถึง การมีแนวคิดว่าสิ่งต่าง ๆ ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า
- ความงมงาย (Superstition & Delusion) ใช้ในความหมายเชิงลบที่แสดงถึง ความเชื่อที่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ อาจเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์หรืออิทธิพลทางจิตวิทยา เช่น ความเชื่อเรื่องโชคลาง การเชื่อว่าสีเสื้อที่ใส่จะมีผลต่อโชคดี ความเชื่อผิด ได้แก่ ความเชื่อที่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์หรือเหตุผล เชื่อใน fake news เป็นต้น
ผลของความเชื่อต่อผู้คนและสังคม
ผลกระทบเชิงบวก
– สร้างความหวังและกำลังใจ ความเชื่อในความสำเร็จสามารถผลักดันให้คนมีความพยายาม เช่น ผู้ที่เชื่อมั่นว่าตนเองจะชนะ มักมีแรงจูงใจในการแข่งขัน
– เสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสังคม ความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมช่วยสร้างความสามัคคี เช่น ความเชื่อในค่านิยมครอบครัวทำให้สังคมมีความอบอุ่น
– กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น อุดมการณ์และกระแสความเชื่อทางสังคมสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เช่น ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ความเชื่อในความเสมอภาค เป็นต้น
ผลกระทบเชิงลบ
– ก่อให้เกิดการแบ่งแยกและความขัดแย้ง ความเชื่อที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดความขัดแย้ง เช่น สงครามศาสนา การแบ่งแยกเชื้อชาติ การแบ่งพรรคแบ่งพวกทางการเมือง
– ทำให้ผู้คนติดอยู่กับความคิดที่ไม่ก้าวหน้า ความเชื่องมงายอาจทำให้เกิดภาระแก่สังคม และสังคมไม่อาจพัฒนาได้เท่าที่ควร เช่น การเชื่อว่าอุบัติเหตุเกิดจากเคราะห์ ทำให้ไม่ได้ระมัดระวังตน หรือปฏิบัติตนตามกฎ เป็นต้น
– ถูกใช้เป็นเครื่องมือควบคุมสังคม ในบางกรณี ความเชื่อถูกใช้เพื่อควบคุมหรือชักจูงผู้คน เช่น โฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง หรือการใช้ความเชื่อบางอย่างของศาสนาเพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุมพฤติกรรมของประชาชนที่เป็นศาสนิกในศาสนานั้น ๆ
โดยสรุป
การเชื่อหรือความเชื่อ เป็นคำที่ใช้ในลักษณะของ การเห็นตาม การมั่นใจ การไว้ใจ เมื่อเกิดเป็นแนวคิดความเชื่อหรือลัทธิความเชื่อก็ทำให้มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตของผู้คน โดยสามารถเป็นพลังบวกที่สร้างแรงบันดาลใจและเสริมสร้างสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็อาจนำไปสู่พลังลบที่ผลักดันให้เกิดความขัดแย้งหรือการหลงเชื่อผิด ๆ ได้ ดังนั้น การเชื่อหรือมีความเชื่อจึงพึงที่จะไตร่ตรองด้วยปัญญา อาจอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ หรือพิจาณราตามหลักความเป็นเหตุผล และพร้อมที่จะเปิดใจรับฟังมุมมองที่แตกต่าง ก็ย่อมทำให้บุคคลอาศัยการเชื่อและความเชื่อในฝ่ายบวกเพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมได้

