ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารและมหาสมุทรแห่งข้อมูล ความคิดเห็นเกิดขึ้นและแพร่หลาย ทำให้ความจริงกลายเป็นสิ่งที่ถูกท้าทาย นักคิดรุ่นใหม่จำเป็นต้องหวนกลับมาทบทวนกระบวนการคิดอย่างมีระบบ โดยเฉพาะเมื่อมุ่งที่จะประมวลความรู้หนึ่งๆ เพื่อสร้างทฤษฎีที่ไม่เพียงแต่แปลกใหม่ สามารถยืนหยัดท่ามกลางการวิพากษ์ สะท้อนความน่าเชื่อถือ และสามารถนำไปใช้พัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน
ก่อนจะสร้างทฤษฎี เราจำเป็นต้องเข้าใจกอ่นว่าทฤษฎีคืออะไร ในทางปรัชญา ทฤษฎี (theory) ไม่ใช่แค่ความคิดเห็นที่มีเหตุผล หากแต่คือ ระบบของแนวคิดที่เชื่อมโยงกันอย่างมีตรรกะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบาย ปรากฏการณ์ หรือสร้างความเข้าใจใหม่ต่อโลก ทฤษฎีจึงเป็นมากกว่าความคิดเห็น เพราะมันต้องอธิบายได้ ตั้งอยู่บนฐานคิดที่ชัดเจนและเปิดพื้นที่ให้วิจารณ์ได้
ทุกทฤษฎี เริ่มต้นจากปัญหาที่แท้จริง นักคิดรุ่นใหม่ไม่ควรสร้างทฤษฎีจากความคาดหวังว่าความคิดนั้นจะโดดเด่น หากแต่ควรเริ่มจากการตั้งคำถามที่มาจากบริบทจริงของชีวิต สังคม หรือจิตใจ เช่น ทำไมคนรุ่นใหม่จึงรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีเป้าหมาย? ความเป็นจริงในยุคดิจิทัลคืออะไร? การเริ่มต้นจากคำถามเช่นนี้จะทำให้ทฤษฎีมีพลังในการตอบสนองต่อโลก
การสร้างทฤษฎี ไม่ใช่การทำลายของเก่าเพื่อสร้างของใหม่แบบไร้ราก นักปรัชญา เช่น ฟูโกต์ หรือ เดอเลิซ ต่างแสดงให้เห็นว่าทุกความรู้ใหม่ล้วนเกิดจากการต่อรอง และเล่นกับ ความรู้เก่า การเรียนรู้ทฤษฎีเดิม วิเคราะห์ข้อจำกัด และมองหาจุดต่อยอด คือ กระบวนการสร้างทฤษฎีอย่างมีรากเหง้าที่ชัดเจน
องค์ประกอบของทฤษฎีมี 4 ประการ ได้แก่
- ภววิทยา (Ontology) ความเข้าใจว่าความเป็นจริงของสิ่งนั้นคืออะไร
- ญาณวิทยา (Epistemology) การพิจารณาว่าความรู้นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เรารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดจริง
- ระเบียบวิธี (Methodology) เสนอวิธีที่ใช้เพื่อเข้าถึงข้อสรุป เช่น วิธีวิทยาศาสตร์ การประสบการณ์ตรง การวิพากษ์โครงสร้างภาษา ฯลฯ
- มิติที่เปิดให้เกิดการวิจารณ์ (Critical Dimension) ทฤษฎีที่ดีต้องอธิบายตนเองได้ มีผู้คิดตามคำอธิบายได้ และสามารถถูกตั้งคำถามได้ อีกทั้งต้องเปิดโอกาสให้ผู้อื่นนำไปทดลอง ปรับ หรือโต้แย้งได้
ทฤษฎีที่ดี ไม่ควรอยู่แค่ในตำรา การสร้างทฤษฎีต้องมาพร้อมความสามารถในการสื่อสารให้เข้าถึงผู้อื่น โดยไม่ละทิ้งความลึกซึ้ง นักคิดรุ่นใหม่ควรฝึกการเขียนเชิงความคิดที่อ่านเข้าใจได้ง่าย ใช้ภาษาสามัญ และการพูดอธิบายที่นำเสนอแนวคิดให้คนทั่วไปเห็นความสำคัญของแนวคิดทฤษฎีนั้นในชีวิตจริง
การสร้างทฤษฎีคือ การเข้าสู่วงสนทนาของปัญญาชน นั่นคือ ผู้สร้างทฤษฎีเปิดรับการโต้แย้งโดยไม่ถือเป็นการล้มล้าง หากแต่เป็นการชี้จุดที่ควรพัฒนา นักคิดรุ่นใหม่ควรมีวุฒิภาวะทางปัญญาที่ไม่กลัวความไม่สมบูรณ์
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การคิดอย่างมีโครงสร้างกลายเป็นการต่อต้านความตื้นเขินทางความรู้ที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วไป นักคิดรุ่นใหม่มิใช่เพียงผู้เสพแนวคิด แต่คือ ผู้มีศักยภาพจะสร้างกรอบคิดใหม่ให้สังคม การสร้างทฤษฎีจึงไม่ใช่เพียงการคิดเพื่อคิด แต่คือการรักความจริง และรับผิดชอบต่ออนาคต โดยมุ่งสร้างทฤษฎีที่มีความหมาย มีผลต่อระดับปัจเจก สังคม และในระดับโลกได้ นอกจากนี้พึงตระหนักว่า ทฤษฎีควรเป็นของสาธารณะ มิใช่ของปัจเจก ไม่มีอะไรที่เราสร้างขึ้นจากความว่างเปล่า เราสร้างจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว และผลผลิตของสิ่งสร้างนี้ล้วนเป็นการตอบแทนกลับแก่สังคมและโลกนั่นเอง
ขั้นตอนในการสรางทฤษฎี
ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหาพื้นฐาน (Foundational Question)
ทฤษฎีที่ดีเกิดจากการตั้งคำถามที่ดี จึงต้องรู้จักถาม (questionization) ผ่านการมองเห็นปัญหา (problemization) ที่เราได้รับจากการสังเกตโลก สังคม ตัวตน หรือสภาพแวดล้อมที่สนใจ ตั้งคำถามให้ชัดเจน เช่น ทำไมผู้คนในยุคเทคโนโลยีจึงรู้สึกโดดเดี่ยว? หลีกเลี่ยงคำถามที่กว้างเกินไปหรือคำถามที่มีอคติในตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องพยายามให้คำถามมีมิติของความหมาย (meaning) โครงสร้าง (structure) และผลกระทบ (impact) ที่ชัดเจน ไม่คลุมเครือ การได้มาซึ่งปัญหาและคำถามนั้น อาจใช้เครื่องมือ ได้แก่ เทคนิค 5 Whys, Mindmap หรือการสัมภาษณ์เชิงลึก
ขั้นที่ 2 สำรวจวรรณกรรมเพื่อจับคู่กรอบความคิดจากความรู้เดิม (Literature + Conceptual Mapping)
การคิดใหม่ ต้องรู้ว่าเคยมีใครคิดอะไรมาแล้ว หรือในเรื่องนี้ใครเคยคิดอย่างเดียวกับเราบ้าง ซึ่งเราจะรู้ได้จากการสืบค้นและอ่านแนวคิดจากงานปรัชญา งานสังคมศาสตร์ หรือสาขาวิทยาการที่เกี่ยวข้อง จากนั้นนำมาแยกแยะว่าอะไรคือ แนวคิดหลัก (mainstream) อะไรคือแนวคิดนอกกระแส (counter-theory) ในการจับคู่ความคิดจะทำให้เราร่างแผนผังแนวคิดเพื่อดูว่าทฤษฎีที่มีอยู่นั้นดำเนินผ่านรากความคิด (tree mapping) และมีข้อจำกัดหรือจุดที่ยังไม่ถูกแตะต้องตรงไหน เครื่องมือที่อาจใช้ได้ ได้แก่ แผนภูมิก้างปลา แผนภูมิต้นไม้ ตารางเปรียบเทียบแนวคิด (comparison matrix) การสืบค้นวงศ์ตระกูลของแนวคิดนั้น (Foucaultian Genealogy) หรือใช้ A.I. ช่วยในการเสนอกรอบความคิดกว้าง ๆ ของเรื่องนั้นว่ามีอะไรบ้าง
ขั้นที่ 3 นิยามแนวคิดหลัก (Key Concepts Definition)
แม้ว่าการนิยามศัพท์จะไม่สามารถนิยามได้ครอบคลุมทั้งหมด แต่ถ้าไม่กำหนดความหมายให้ชัดเลย ก็ไม่อาจวางภววิทยาของเรื่องที่จะศึกษาได้ ดังนั้น จึงควรเลือกคำสำคัญ (key word) หรือแนวคิดหลักที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีที่กำลังจะสร้างมานิยามอย่างสั้น หรือถ้ายังไม่แน่ใจนักอาจใช้นิยามอย่างกว้างมาวางไว้ก่อน เพื่อให้ได้ความหมายเชิงแนวคิด (conceptual definition) และนิยามปฏิบัติการ (operational definition) จากนั้นจึงวิเคราะห์ว่าคำเหล่านี้มีรากปรัชญา/สังคม/วัฒนธรรม อย่างไร เช่น การคิด ความคิด ต่างกันอย่างไร แล้วจะใช้ในบริบทใด เป็นต้น เครื่องมือสำคัญคือ เทคนิคการนิยามศัพท์ และการแยกความหมายเฉพาะบริบท
ขั้นที่ 4 วางตำแหน่งของแนวคิดหลักของทฤษฎี (Core Propositions)
ทฤษฎีไม่ใช่ความคิดลอย ๆ แต่คือ ข้อเชื่อที่ผ่านการกลั่นกรองแล้วว่ามีเหตุผล ดังนั้น จึงควรตั้งข้อเสนอว่า สิ่งนี้เป็นผลของสิ่งนั้น หรือ ภายใต้เงื่อนไขนี้ ปรากฏการณ์นี้จึงเกิดขึ้น เพื่อแสดงความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งอาจใช้ตรรกะเชื่อมโยงกับแนวคิดที่กำหนด ซึ่งจะทำให้เกิดมิติอธิบาย (explanatory) วิจารณ์ (critical) และเปิดกว้างต่อการตรวจสอบ (verification) เครื่องมือสำคัญคือ วิธีวิเคราะห์สาเหตุเชิงปรัชญา (causal logic) แผนผังตรรกะ (theoretical framework diagram)
ขั้นที่ 5 พัฒนาระเบียบวิธี (Methodology)
ในขั้นญาณวิทยา เรารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราคิดนั้นจริง? คำตอบนี้จะน่าเชื่อถือได้ จำเป็นต้องระบุแนวทางการเข้าถึงความรู้ จะใช้วิธีเชิงประจักษ์ เชิงปรัชญา หรือผสมผสานก็ได้ ถ้าเป็นแนววิพากษ์ (Critical Theory) ก็ใช้การวิเคราะห์วาทกรรมหรือโครงสร้างอำนาจ ถ้าใช้ประสบการณ์ ก็ใช้การสัมภาษณ์แบบปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ซึ่งในระเบียบวิธีนั้น เราจำเป็นต้องระบุขอบเขตของการใช้งาน และข้อจำกัดของวิธีให้ชัดเจนด้วยว่า เหมาะสมกับอะไร อย่างไร ไม่เหมาะสมกับอะไร อย่างไร เครื่องมือสำคัญคือ การเลือกระเบียบวิธีต่าง ๆ ให้เหมาะสม
ขั้นที่ 6 สร้างภาษาทฤษฎี (Theoretical Language)
ทฤษฎีที่ดีต้องมีภาษาเฉพาะที่ไม่ซับซ้อน ไม่ใช้ศัพท์ยากจนคนไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่เรียบง่ายจนขาดพลัง การนิยามคำใหม่หรือขยายความหมายคำเดิมด้วยบริบทเฉพาะ เป็นส่วนที่จำเป็นต้องใช้ทักษะภาษา และมุ่งว่าจะใช้ภาษากระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดการตีความ หลีกเลี่ยงการสรุปตายตัว เพื่อไม่ให้ภาษาทฤษฎีกลายเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ (sacred word) ที่กันคนอื่นออกจากวงสนทนาด้วยว่ามักจะแปลผิด ตีความหมายผิดได้ง่าย เช่น Heidegger เสนอคำว่า being-in-itself, Foucault ใช้คำว่า Power is Knowledge, Deleuze ใช้คำว่า Desiring-Machines เป็นต้น
ขั้นที่ 7 ทดลองใช้งาน (Applied Testing & Reflexive Loop)
ทฤษฎีที่ไม่สามารถทดลองใช้ได้ ย่อมไม่ใช่ทฤษฎีที่มีชีวิต และย่อมไม่เหมาะที่มนุษย์จะนำไปใช้ เพราะมนุษย์มีชีวิต ดังนั้น การนำแนวคิดไปใช้ในพื้นที่ทดลองจริง เช่น การวิจัยย่อย บทความเชิงวิเคราะห์ ก็เพื่อเปิดให้คนอื่นอ่าน วิจารณ์ หรือทดลองใช้ และได้ทำบันทึกการปรับแก้ (reflexive journal) เพื่อพัฒนาทฤษฎีต่อเนื่อง โดยเชื่อมโยงกลับไปยังปัญหาเดิม และดูว่าทฤษฎีสามารถตอบต่อคำถามของปัญหาได้จริงหรือไม่
ขั้นที่ 8 สื่อสารสู่สาธารณะ (Public Articulation)
อย่าเป็นงานวิจัยขึ้นหิ้ง ก็คือ การไม่ปล่อยให้ทฤษฎีจบลงเพียงแค่เป็นบทความวิชาการหรือบทความวิจัย การเผยแพร่ความรู้ทฤษฎีนั้นมีช่องทางต่าง ๆ มากมาย มีกลุ่มผู้สนใจที่หลากหลาย เราจำเป็นต้องแปลงเนื้อหาทฤษฎีให้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น คนรุ่นใหม่ นักเคลื่อนไหว ฯลฯ ได้อย่างเหมาะสม นำเสนอผ่านความเป็นสื่อต่าง ๆ เช่น บทความสั้น วิดีโอสรุป บรรยายเชิงสร้างแรงบันดาลใจ ฯลฯ และหากเป็นไปได้ ความสร้างการแลกเปลี่ยนผ่านวงสนทนาร่วม (dialogue) เพื่อให้ทฤษฎีมีชีวิตอยู่ในความรู้ ความเข้าใจ และการประยุกต์ใช้ในสังคม อาจเริ่มจากพื้นที่เล็กๆ ขยายไปสู่พื้นที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ
บทบาทของคนรุ่นใหม่ในการสร้างทฤษฎีใหม่
ถ้าคนรุ่นใหม่ไม่สร้างทฤษฎีใหม่ๆ แต่เลือกใช้แค่ทฤษฎีเก่าๆ อย่างต่อเนื่อง โลกจะไม่พังทลายลงในทันที แต่จะค่อยๆ หยุดนิ่งในทางปัญญา และเสื่อมในทางจินตนาการอย่างช้าๆ
ความที่โลกเปลี่ยนเร็วมาก ความสัมพันธ์แบบใหม่ ความรู้สึกแปลกใหม่ ชนชั้นใหม่ ระบบอำนาจใหม่ ปรากฎอยู่ในการรับรู้ แต่ทฤษฎีเก่าล้วนถูกออกแบบมาเพื่ออธิบายโลกในยุคนั้น ๆ เช่น ยุคอุตสาหกรรม ยุคชาตินิยม หรือโลกก่อนอินเทอร์เน็ต ถ้าเรายังใช้เลนส์เดิม เช่น มาร์กซิสม์คลาสสิก หรือทฤษฎีเสรีนิยมแบบคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยไม่วิจารณ์หรือต่อยอด เรากำลังพยายามเอาคำอธิบายเก่ามายัดลงในโลกใหม่ ผลคือ เราอาจเข้าใจผิดมากกว่าจะ เข้าใจโลกตามความเป็นจริง
บางแนวคิดอาจดีในยุคนั้น แต่ไม่เหมาะสมกับโลกในยุคนี้ ทฤษฎีเก่า ๆ ส่วนมากถูกพัฒนาโดยผู้มีอำนาจหรือโดยการอุปถัมภ์ของผู้มีอำนาจในบริบทหนึ่งๆ เช่น ชนชั้นสูง ชายเป็นใหญ่ โลกตะวันตก เมืองหลวง หรือมหาวิทยาลัย ทำให้ละเลยบางส่วนความเป็นจริงในบางส่วนเสมอ เช่น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คลาสสิกที่ไม่สนใจสภาพจิตใจคน หรือทฤษฎีการเมืองที่ละเลยสิ่งแวดล้อม ในโลกปัจจุบัน ทฤษฎีเหล่านี้อาจกลายเป็นอันตรายต่อการอยู่ร่วมกันของมนุษยชาติและสันติภาพในระยะยาว
ถ้าไม่มีทฤษฎีใหม่ ความรู้จะกลายเป็นเหมือนของสะสม ไม่ใช่ชีวิต ในการศึกษาเรียนรู้ จะสนใจความรู้ในฐานะเนื้อหาเพื่อการสอบ เป็นเพียงสิ่งของหนึ่งที่จำเป็นต้องครอบครอง แต่ไม่ได้มองความรู้ในฐานะเครื่องมือทางความคิดเพื่อเปิดพื้นที่แห่งการเปลี่ยนแปลง หรือ การที่แต่ละคนจะบทสนทนาเพื่อชีวิตที่ดีของตนเอง
โลกนั้นมีชีวิต ทฤษฎีคือ ระบบภูมิคุ้มกันของโลก ถ้าไม่มีการพัฒนาภูมิคุ้มกันใหม่ ๆ โลกก็จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จากปัญหาที่ไม่เคยมีมาก่อน โลกใหม่ต้องการนักคิดใหม่ และต้องการทฤษฎีใหม่ ๆ อยู่เสมอ

