ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

ในฐานะนักปรัชญา เราจะตั้งต้นจากการวิเคราะห์แนวคิดปรัชญาสังคมและปรัชญาการเมือง เช่น ฝ่ายเสรีนิยม และฝ่ายอนุรักษ์นิยม (ฝ่ายความมั่นคง) เพื่อมองไปสู่อนาคตของประเทศไทยในฐานะรัฐชาติในโลกสมัยใหม่ โดยเฉพาะความเป็นรัฐที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม บนฐานความเข้าใจเรื่องพรมแดน (borders) ผู้คน (people) และความมั่นคงของรัฐ (state security) ในเชิงปรัชญาและการเมืองร่วมสมัย

  1. แนวคิดฝ่ายเสรีนิยม
    • ปรัชญาหลังอาณานิคม (Post-Colonialism) และแนวคิดฟูโกต์ (Foucauldian) ได้เสนอว่า ความมั่นคงนั้นไม่ควรเน้นการควบคุม แต่เน้นการเจรจาอัตลักษณ์ และการยอมรับพหุวัฒนธรรม
      • การสร้างชาติไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากเพื่อนบ้าน แต่สามารถออกแบบให้เป็นเครือข่ายจินตนาการร่วม (regional imagined networks)
      • ความมั่นคงของรัฐจึงขึ้นอยู่กับศิลปะในการเล่าเรื่องและจัดการอัตลักษณ์ของผู้คน
    • แนวคิด Imagined Communities ของ Benedict Anderson มีทรรศนะว่า ชาติ (nation) เป็นชุมชนที่เกิดจากการจินตนาการ (imagined community) เพราะสมาชิกในชาตินั้นส่วนใหญ่ไม่เคยพบหรือรู้จักกันโดยตรง แต่พวกเขารู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเดียวกัน ผ่านภาษา ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม สื่อ และพิธีกรรมร่วมบางประการ
      • การจินตนาการนี้เป็นไปได้เพราะการแพร่ของระบบ “สิ่งพิมพ์” (print capitalism) เช่น หนังสือพิมพ์ ภาษาเขียน ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกถึงความเป็นเวลาเดียวกัน และ เราเป็นพวกเดียวกัน เป็นต้น
      • พรมแดนของรัฐสมัยใหม่จึงไม่ได้ถูกกำหนดโดยความแตกต่างทางธรรมชาติหรือภูมิประเทศ หากแต่เป็นผลของการจินตนาการชาติในศตวรรษที่ 20 เพื่อให้มีความเป็นหนึ่งเดียวและมุ่งที่จะแยกจากผู้อื่น
      • ความมั่นคงของรัฐพึ่งพาการสถาปนาความรู้สึกร่วมของประชาชนต่อสิ่งที่เรียกว่า ชาติ ไม่ใช่แค่พรมแดนทางภูมิศาสตร์อีกต่อไป
    • แนวคิด Siam Mapped ของธงชัย วินิจจะกุล มีทรรศนะว่า ก่อนยุคอาณานิคม การเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะเป็นระบบจักรวาล (mandala) หรือวงเครืออำนาจซ้อนทับกัน ไม่ใช่แบบเส้นเขตแดนชัดเจน
      • สยามเริ่มเรียนรู้และยอมรับระบบแผนที่แบบตะวันตก ซึ่งใช้เส้นตรงแบ่งดินแดนเพื่อระบุขอบเขตอธิปไตยและเริ่มสร้างความเป็นรัฐชาติตามแนวคิดแบบยุโรปในศตวรรษที่ 19
      • แผนที่จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ แต่คือเครื่องมือแห่งอำนาจที่สร้าง จินตภาพของชาติขึ้นใหม่
      • พรมแดนของสยาม (ประเทศไทย) เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยระบบอำนาจ และ สร้างความรู้สึกใหม่ของการเป็นเจ้าของดินแดน
      • ความมั่นคงของรัฐในระบบใหม่จึงยึดโยงกับการควบคุมอาณาเขตและประชาชนให้ยอมรับภาพจำ (imagery) และการแบ่งเขตแดนแบบรัฐชาตินี้
  2. แนวคิดอนุรักษ์นิยม-ฝ่ายความมั่นคง
    • พรมแดนไม่ใช่สิ่งจินตนาการ พรมแดนเป็นการยืนยันสิทธิ ทั้งในเชิงอำนาจอธิปไตย และในเชิงสิทธิเสรีภาพของบุคคลหรือกลุ่มชาติพันธุ์
      • พรมแดนเป็นผลจากแนวคิดเรื่องสิทธิในทรัพย์สินตามธรรมชาติของจอห์น ล็อค (John Locke) ที่มองว่า มนุษย์มีสิทธิในร่างกายและแรงงานของตน เมื่อใช้แรงงานในผืนดิน ก็เกิดสิทธิในดินแดนนั้น รัฐและพรมแดนจึงเป็นการยืนยันสิทธิในการครอบครองและปกครองทรัพย์สินร่วมกันของประชาชน
      • พรมแดนเพื่อสิทธิในการอยู่รอด มาจากแนวคิดที่ว่า ในสภาพธรรมชาติ มนุษย์อยู่ในภาวะสงครามที่ทุกคนมีกับทุกคน (war of all against all) ของโธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) และเพื่อความอยู่รอด มนุษย์ยินยอมมอบอำนาจให้รัฐเพื่อปกป้องชีวิต พรมแดนของรัฐจึงเป็นพื้นที่แห่งอำนาจสูงสุด ที่รับรองสิทธิในการมีชีวิต
      • การฝังรากในวัฒนธรรมส่วนรวมตามแนวคิดของ Charles Taylor และกลุ่ม Communitarian ซึ่งมองว่า อัตลักษณ์ของปัจเจกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองโดดๆ แต่่เกิดจากการฝังรากในวัฒนธรรมส่วนรวม พรมแดนมีหน้าที่ปกป้องสิทธิของกลุ่ม ในการดำรงอัตลักษณ์ที่หล่อเลี้ยงปัจเจกเหล่านั้น การขจัดพรมแดนแบบไร้ทิศทางอาจคุกคามพื้นที่หล่อเลี้ยงความเป็นตัวตนได้เช่นกัน
      • พรมแดนจึงเป็นหลักประกันของอธิปไตย ถ้าไม่มีเส้นเขตแดน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือหน้าที่ของรัฐ รัฐจะให้บริการแก่ใคร และจะป้องกันใคร? พรมแดนเป็นรูปธรรมสำคัญ เป็นเครื่องมือหนึ่งในการควบคุมอธิปไตย ป้องกันภัย และรักษาความเป็นระเบียบของรัฐ
      • แนวคิดว่าพรมแดนเป็นสิ่งสมมุตินั้นมีคุณค่าในทางวิชาการ แต่ในเชิงปฏิบัติ แนวคิดนี้เป็นอันตรายต่อความมั่นคงทั้งภายในและความมั่นคงชายแดน นำไปสู่แนวคิดรัฐยืดหยุ่นที่อาจนำไปสู่ความแตกแยกในระยะยาว เช่น เขตปกครองพิเศษหรือการแยกตัวของชนกลุ่มน้อย เป็นต้น
    • ประวัติศาสตร์คือ หลักฐานแห่งสิทธิ
      • การอ้างความเป็นเจ้าของโดยประวัติศาสตร์นั้นเป็นความชอบธรรมอย่างหนึ่ง ในฐานะสิทธิครอบครองที่เกิดจากการได้มาและการปกป้องพิทักษ์ไว้ คนในอดีตได้เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องดินแดนไว้ เราจึงมีดินแดนของตนที่ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างเสรี
      • การตั้งคำถามว่า “อดีตควรครอบงำปัจจุบันหรือไม่” เป็นการตั้งคำถามเชิงจริยธรรมที่มองผลลบในฝ่ายเดียว เพราะใช้คำที่มีความหมายเชิงลบคือ ครอบงำ หากจะสนใจก็ควรเป็นอดีตมีอิทธิพลต่อปัจจุบันหรือไม่ แต่หากตั้งคำถามเชิงลบเช่นนี้ ก็ได้สะท้อนมุมมองสำคัญของผู้ถาม คือการลบล้างจิตสำนึกประวัติศาสตร์ของชาตินั่นเอง
      • ฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่า อัตลักษณ์ของชาติไทยไม่ใช่แค่เรื่องของจินตภาพ แต่เกิดขึ้นและดำรงอยู่มาด้วยเลือดเนื้อ และการเสียสละ
      • การยอมรับให้พื้นที่ชายแดนเป็นเขตพหุวัฒนธรรมยอมรับได้ในระดับหนึ่ง แต่การให้เสรีก็อาจกระตุ้นให้เกิดขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้เช่นกัน
    • ความยืดหยุ่นของรัฐที่มากเกินไปก็เป็นจุดอ่อนของรัฐเช่นกัน
      • ชาติที่ยืดหยุ่นเกินไปคือ ชาติที่อ่อนแอ เพราะไม่อาจหาจุดยืนที่ชัดเจนต่อการปะทะทางความคิดกับแนวคิดเรื่องรัฐไร้พรมแดน หรืออัตลักษณ์ซ้อนทับ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในความเป็นไทย และมองได้ว่า ไม่มีความเป็นไทยอยู่จริง ๆ เลย
      • ฝ่ายความมั่นคงมองว่า ชาติที่เข้มแข็งต้องมีเอกภาพในอัตลักษณ์ ภาษา ความเชื่อ และขอบเขตทางภูมิศาสตร์
      • หากไม่มีการควบคุมอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม หรือการเชิดชูอัตลักษณ์ของชาติก็อาจเกิดความเลือนหายไป หรือถูกขโมยอัตลักษณ์ไป มากกว่าที่จะเป็นการมีอัตลักษณ์ร่วมหรือวัฒนธรรมร่วม
  3. แนวคิดปรัชญาจากมุมมองสำนักคิดต่าง ๆ
    • รัฐนิยมคลาสสิก (Realist) ปรัชญาการเมืองกลุ่มนี้มีทรรศนะว่า รัฐมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและดินแดนเพื่อความมั่นคงของประชาชน การยอมอ่อนข้อคือ การเปิดช่องให้เกิดความไม่มั่นคงระยะยาว
      • ต้องรักษาพรมแดนไว้ ไม่ว่าจะด้วยการทูตหรือกำลัง
    • แนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย (Rawlsian, Habermas) มีทรรศนะว่า ในสังคมที่ยอมรับระบอบประชาธิปไตน รัฐต้องให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชนในพื้นที่ว่าเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของรัฐใด ความชอบธรรมทางอำนาจต้องมาจากฉันทามติของคนในพื้นที่ ไม่ใช่จากการอ้างอดีตทางประวัติศาสตร์แต่ฝ่ายเดียว
      • ประชามติในพื้นที่จะนำไปสู่การอยู่ร่วมแบบพิเศษ เช่น เขตปกครองตนเอง โดยที่เป็นการอยู่ร่วมกันแบบประนีประนอม ไม่ต้องถึงขั้นแบ่งแยกรัฐ
    • แนวคิดหลังโครงสร้างนิยม (Post-Constructivism / Postmodern / Genealogy) เช่น แนวคิดของ Foucault และ Derrida ซึ่งมีทรรศนะต่อต้านเรื่องเล่าใหญ่ (grand narrative) จึงอาจตีความได้ว่า พรมแดนนั้นเป็นโครงสร้างแห่งอำนาจที่ถูกผลิตซ้ำผ่านภาษา แผนที่ และประวัติศาสตร์
      • การแย้งสิทธิแบบย้อนอดีต คือ การอ้างสิทธิจากประวัติศาสตร์เป็นการสร้างอัตลักษณ์เพื่อใช้อำนาจ มากกว่าจะนำไปสู่ความยุติธรรมที่แท้จริง และมักจะนำไปสู่ความขัดแย้ง เมื่อเน้นการอยู่ร่วมกันจึงควรตั้งคำถามว่า เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร มากกว่าการเป็นเจ้าของพื้นที่ใด
      • การอยู่ร่วมโดยไม่ต้องแบ่งแยกแบบเด็ดขาดเป็นทางออกสำคัญ เช่น เขตความร่วมมือทางวัฒนธรรม เขตพหุอัตลักษณ์ เป็นต้น

แนวคิดเชิงปรัชญาเพื่อการประนีประนอม

ความขัดแย้งระหว่างสองโลกของฝ่ายเสรีนิยมและฝ่ายความอนุรักษ์นิยมนั้น เกิดจากการที่ฝ่ายเสรีนิยมมองชาติเป็นสิ่งจินตนาการที่ต่อรองได้ มุ่งอยู่ร่วมในความหลากหลาย และสนับสนุนการฟังเสียงประชาชนว่า “คนชายแดนอยากอยู่กับใครมากกว่าการตัดสินจากศูนย์กลางอำนาจ” ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็มองชาติเป็นของจริง เป็นสิ่งที่มีศักดิ์และสิทธิ์ และไม่ใช่สิ่งที่ต่อรองได้ มุ่งสร้างเอกภาพและความภักดี สนับสนุนการควบคุมเพื่อความสงบ ป้องกันไม่ให้แนวคิดรัฐไร้พรมแดน หรือความเป็นพหุวัฒนธรรมแบบสุดโต่ง ลุกลามบานปลาย รวมไปถึงการเจรจากับชาติอื่นต้องยึดหลัก “ไม่ยอมสูญเสียแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว”

การจะหาข้อสรุปร่วมระหว่างแนวคิดเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม ต้องอาศัยกลไกประนีประนอมทางแนวคิดและนโยบาย โดยต้องเริ่มจาก

  1. เปลี่ยนกรอบคำถามจากใครถูก? ไปเป็นจะอยู่ร่วมกันอย่างไร? โดยยอมรับการมีอยู่ของอัตลักษณ์และขอบเขตของชาติ แต่ก็ยอมรับความหลากหลายของอัตลักษณ์ด้วยเช่นเกียวกัน ให้พื้นที่กับทั้งความรู้สึกร่วมของชาติ และการมีตัวตนของท้องถิ่น
  2. รัฐเดี่ยว – พหุวัฒนธรรม – มั่นคงแบบมีส่วนร่วม ในพื้นที่ชายแดนอาจมีมากกว่า 1 อัตลักษณ์ที่ดำรงอยู่ร่วมกัน แต่ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกรัฐหรือผู้คน มุ่งเสริมสร้างความมั่นคงเชิงวัฒนธรรม ดำเนินการเพื่อการจัดการความหลากหลายอย่างมียุทธศาสตร์ เช่น สร้าง โรงเรียนสองภาษา ระบบการศึกษาแบบสอดรับวัฒนธรรมท้องถิ่น การปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการตนเองตามบริบทชุมชน วัฒนธรรมและศาสนา เป็นต้น
  3. พรมแดนเพื่อสิทธิในวัฒนธรรมและชุมชน แต่ละชุมชนชายแดนมีสิทธิในการกำหนดอัตลักษณ์ของตนเอง การเปิดพรมแดนโดยไม่มีเงื่อนไขจะเท่ากับการละเมิดสิทธิของชุมชนในการรักษาอัตลักษณ์ พรมแดนเป็นการยืนยันสิทธิของสังคมที่จะกำหนดตัวเอง (self-determination) จึงควรเปิดโอกาสให้ชุมชนมีสิทธิเลือกว่าจะเปิดหรือปิดตัวเอง และถือว่าเป็นพื้นที่แห่งการตัดสินใจของสังคมนั้นด้วย
  4. ความร่วมมือระหว่างรัฐในระดับต่าง ๆ เช่น การมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลของ 2 ประเทศหรือกลุ่มประเทศ การมีเขตเศรษฐกิจ-วัฒนธรรมร่วม การมีเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม-มิตรภาพระหว่างชนชาติ การประมวลประวัติศาสตร์ภูมิภาคในมุมมองที่หลากหลาย (multi-perspective history) เพื่อสร้างความเข้าใจในความเป็นจริงของประวัติศาสตร์ในฐานะเหตุการณ์ในอดีต และมุ่งลดอคติระหว่างกัน

พรมแดน (ทั้งภายในและระหว่างรัฐ) ยังจำเป็นเพื่อยืนยันสิทธิของกลุ่มชน สิทธิของรัฐชาติในการดำรงสิทธิในทรัพย์สินและอำนาจของประชาชน เพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ และการหล่อเลี้ยงความเป็นตัวตน-อัตลักษณ์ของแต่ละฝ่ายโดยยังดำรงวัฒนธรรมร่วมกันได้อย่างยืดหยุ่น ไม่แข็งกร้าว และมุ่งหมายการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ


Leave a comment