ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

สภาพปัญหาจริงหน้างานของสถานศึกษาต่างๆ นั้นเกิดขากการที่มีความจำกัดในทรัพยากรด้านต่าง ๆ ในขณะที่นโยบายด้านการศึกษานั้นมุ่งเน้นคุณภาพในทุกด้าน ในฐานะนักปรัชญาที่มีพื้นฐานด้านการพัฒนาองค์กรและมีความเกี่ยวข้องกับงานด้านการจัดการศึกษา จึงขอเสนอหลักคิดทางปรัชญา หลักการและการบริหารจัดการภาระงานต่าง ๆ ของสถานศึกษาให้เหมาะสมกับการที่มีทรัพยากรบุคคลที่จำกัด และครูยังต้องมีชั่วโมงการสอนให้ครบถ้วนด้วย บนแนวคิดเรื่องคุณค่า (value) ความยั่งยืน (sustainability) และความเป็นธรรม (equity) เข้ากับการบริหารจัดการแบบมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ข้อเสนอนี้ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ หลักคิดทางปรัชญา หลักการจัดการ และแนวทางบริหารภาระงาน ดังนี้

หลักคิดทางปรัชญา
1. หลักอรรถประโยชน์ (Utilitarianism) เพื่อใช้ในการจัดลำดับความสำคัญของภาระงาน โดยเน้นกิจกรรมที่ส่งผลต่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนส่วนรวมก่อน

2. แนวคิดเรื่องหน้าที่ (Deontology) เพื่อกำหนดสถานภาพสำคัญคือ ครูมีหน้าที่โดยธรรมต่อการจัดการเรียนรู้ การแบ่งงานจึงควรยึดบทบาทหน้าที่ตามคุณวุฒิ ความชำนาญ และจริยธรรมวิชาชีพ

3. ปรัชญาการศึกษากลุ่มปฏิบัตินิยม (Pragmatism) แนวคิดนี้เชื่อในการทดลอง ลองผิดลองถูก การพัฒนา และการปรับใช้กระบวนการใหม่เพื่อรับมือกับข้อจำกัดของทรัพยากร เช่น การใช้เทคโนโลยี หรือระบบความร่วมมือ

4. ความยั่งยืนเชิงจริยธรรม (Ethical sustainability) แนวคิดนี้มุ่งที่จะสร้างระบบที่ไม่เบียดเบียนครูหรือเจ้าหน้าที่ในระยะยาว โดยมองครูในฐานะทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องการความสมดุลในชีวิตและการงาน

หลักการจัดการ
1. หลักการจัดการแบบลีน (Lean management) แนวทางนี้เน้นการลดงานซ้ำซ้อน เช่น การกรอกเอกสารหลายระบบ และกำจัดงานที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่าโดยตรงต่อผู้เรียน

2. การบริหารแบบกระจายอำนาจ (Decentralization) ผู้บริหาร/หัวหน้าสาระการเรียนรู้/หัวหน้าหมวด ควรมอบหมายงานให้ทีมย่อยหรือตำแหน่งรองที่มีศักยภาพ เช่น รองฝ่ายวิชาการ, ครูชำนาญการ ได้ดูแลโครงการพิเศษเป็นส่วน ๆ ไป

3. ระบบการบริหารงานแบบบูรณาการ (Integrated management) โดยคณะกรรมการบริหารควรเชื่อมงานระหว่างฝ่าย เช่น วิชาการ–กิจกรรม–งบประมาณ เพื่อให้ทุกกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ ไม่แยกส่วน

4. การจัดสรรภาระงานตามภารกิจหลัก (Workload allocation by core mission) ซึ่งสถานศึกษา/ผู้บริหารควรที่จะยึด 3 แกนหลักของผู้สอน ได้แก่ สอน – ประเมิน – พัฒนา และจัดสรรเวลาให้สมดุลกัน

แนวทางบริหารจัดการภาระงานในสถานการณ์ทรัพยากรจำกัด

ทุกฝ่ายต้องยอมรับความจำกัดของทรัพยากรร่วมกันว่าเมื่อปัจจัยนำเข้ามีความจำกัด กระบวนการและผลลัพธ์ก็จะมีผลจำกัดเช่นกัน เมื่อเข้าใจร่วมกันแล้ว ก็สามารถปรึกษาหารือเพื่อการพัฒนาระบบได้ โดยมองถึงหลักคุณค่ากับความยั่งยืนเป็นเกณฑ์ และใช้การจัดการแบบยืดหยุ่น เน้นเป้าหมายการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นศูนย์กลาง แต่ไม่ทอดทิ้งคุณภาพชีวิตของครู ตัวอย่างเช่น
1. จัดโครงสร้างงานใหม่ ผู้บริหารควรเปิดใจ และวางระบบบริหารใหม่ รวมงานที่ซ้ำซ้อนหรือแยกกันโดยไม่มีเหตุผล เช่น งานประกันคุณภาพกับงานวิจัยในชั้นเรียน อาจรวมเป็นงานพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ (QD+KM) นอกจากนี้ อาจสรรหาผู้สอนหรือบุคคลที่มีความสามารถในด้านการเขียนรายงานหรือการจัดการมีเป็นทีมแกนกลางเพื่อดูแลงานที่ไม่ต้องใช้ครูทุกคน เช่น การบริหารงบ การเขียนรายงานภายนอก เป็นต้น

2. การใช้ตารางสอนเป็นเครื่องมือจัดการ โดยแต่ละหมวด/สาระ จัดตารางให้ครูได้มีเวลาว่างระหว่างวันเพื่อเตรียมการสอน/พัฒนาผู้เรียน แทนการรวมสอนติดกันจนไม่มีช่วงพัก หากครูต้องสอนครบชั่วโมงตามเกณฑ์ เช่น 20 ชั่วโมง/สัปดาห์ ก็ต้องจัดให้ลดภาระอื่น เช่น ไม่ต้องเข้าร่วมทุกเวทีประชุม หรือมอบหมายเฉพาะครูที่ไม่เต็มชั่วโมง

3. ระบบหมุนเวียนงาน (Rotation) เนื่องจากครูมีภาระงานประจำที่มาก สำหรับภารกิจพิเศษ เช่น งานกิจกรรมหน้าเสาธง งานแข่งขัน งานอบรมครู ฯลฯ ควรจัดระบบหมุนเวียนในหมู่ครู เพื่อความเป็นธรรม และลดการสึกหรอ-เหนื่อยล้าของครู

4. พึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ฟรีแวร์ หรือฟรีโปรแกรมออนไลน์ เพื่อลดการบันทึกด้วยกระดาษ เช่น ใช้ระบบดิจิทัลในการรายงานผลการเรียน การบันทึกกิจกรรม หรือการสื่อสารภายใน เพื่อประหยัดเวลาครู (ควรมีนโยบายลดงานกระดาษ และการปริ้ท์งาน) บางกิจกรรม บางงาน อาจใช้ AI มาช่วยในงานเอกสารได้

5. ส่งเสริมการสื่อสารภายในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อการรับฟังปัญหา การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การเสนอแนะเชิงมิตรภาพ เป็นต้น การฟังเสียงครูเพื่อนำมาปรับภาระงานจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและความผูกพันต่อสถานศึกษาอีกด้วย

ในแนวคิดข้างต้น การสนับสนุนของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นหัวข้อสำคัญ ซึ่งการจะทำให้ ผู้บริหารสถานศึกษายอมรับและลงมือทำตามแนวทางข้างต้น ต้องอาศัยทั้งศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลง (Change management) และศิลป์ของการโน้มน้าวเชิงจริยธรรมโดยเฉพาะในระบบราชการหรือองค์กรการศึกษาที่มีลักษณะลำดับชั้นและความเคยชินต่อระบบเดิม (การบรรลุตัวชี้วัด) สูงมาก

แนวทางสร้างการยอมรับแก่ผู้บริหารเพื่อให้เอื้อต่อการบริหารจัดการแนวทางใหม่ ๆ

  1. เสนอข้อมูลที่ยากจะปฏิเสธ ใช้ข้อมูลจริงที่รวบรวมได้จากบริบทของสถานศึกษา เช่น จำนวนชั่วโมงสอน, งานเอกสารที่ต้องทำ, ความพึงพอใจของครู, เวลาที่เสียไปกับงานที่ไม่เกี่ยวกับการสอน นำข้อมูลมาวิเคราะห์ และแสดงข้อเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่ควรเป็น เช่น พระราชบัญญัติการศึกษา, กฎกระทรวง, หรือข้อเสนอของ สพฐ./สพท. เพื่อให้ผู้บริหารรู้สึกว่า นี่คือ ปัญหาเชิงระบบไม่ใช่แค่ปัญหาของบุคคลหนึ่งบุคคลใด
  2. ใช้แนวทางจากล่างขึ้นบน จากครูสู่ผู้บริหาร โดยครูเสนอแนวทาง/แผนการจัดภาระงาน แบบมีทางเลือก 2-3 แผน ผู้บริหารในฐานะผู้มีอำนาจตัดสินใจทำการประเมินและเลือก ทุกทางเลือกสะท้อนคุณค่าและความยั่งยืนเสมอกัน
  3. แนวทางการจัดภาระงาน/แผนงานนั้น จะต้องไม่เป็นการลดงานส่วนนี้ ไปเพิ่มงานส่วนนั้น ดังนั้น จึงควรมีแนวทางร่วม และผู้ร่วมออกแบบหลายคนเพื่อจะได้นำเสนอแผนงานและแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมในการทำงานและรับผิดชอบต่อแผนงานต่าง ๆ
  4. เป้าหมายของการดำเนินงาน นอกจากวิสัยทัศน์และพันธกิจแล้ว เป้าหมายของสถานศึกษาที่วางอยู่บนบริบทความเป็นจริงนั้นจะทำให้ทุกคนเห็นปลายทางร่วมกันได้ แล้วก็จะกล้าที่จะทดลองแนวทางใหม่ ๆ ซึ่งชี้ว่าจะนำไปสู่เป้าหมายนั้นได้
  5. ค้นหาเครื่องมือบริหารจัดการต่าง ๆ มาทดลองใช้ นำร่อง และนำเสนอผลในเบื้องต้น เพื่อให้เห็นถึงทิศทางที่เครื่องมือนั้นจะมีประโยชน์กับหน้างาน ไม่ใช่แค่เรื่องที่ดีแต่ในเชิงทฤษฎีเท่านั้น
  6. ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องตระหนักว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่ลูกน้อง ผู้บริหารไม่ได้เป็นผู้จ่ายเงินเดือน ดังนั้น การทำงานภายใต้พื้นที่สถานศึกษาจึงเป็นการทำงานร่วมกัน
  7. ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการบริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษาวางอยู่บนพื้นฐานของการเคารพศักดิ์ศรีของกันและกัน ปัญหาต่าง ๆ ในการทำงานร่วมกัน จึงไม่ใช่ปัญหาจากตัวปัญหา แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะได้ปรับตัวและร่วมมือกันบริหารจัดการปัญหานั้นให้ผ่านลุล่วงจนสำเร็จ
  8. ในการสรุปผลการดำเนินการประจำปี ไม่ใช่การมาวัดผลงานหรือประเมินประสิทธิภาพการทำงาน แต่เป็นพื้นที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ร่วมแสดงความคิดเห็นในแผนงานและโครงการต่างๆ ว่ามีจุดเด่นอะไร จุดด้อยที่ยังมีโอกาสพัฒนาคืออะไร และเรื่องใดควรยุติ โดยทุกข้อคิดเห็นจะต้องเชื่อมโยงไปยังเป้าหมาย คุณค่า ความยั่งยืน คุณภาพการเรียนการสอนและคุณภาพชีวิตของครูเสมอ

สถานศึกษาไม่ใช่เพียงสถานที่ทำงาน แต่คือพื้นที่แห่งการปลูกชีวิต ทั้งของเด็กและของผู้สอน – การพัฒนาร่วมกันไม่ใช่ภาระ แต่คือการฟื้นพลังแห่งวิชาชีพ การทำงานในโรงเรียน คือการร่วมสร้างโลกในแต่ละวัน โลกใบเล็ก ๆ ที่เด็ก ๆ จะเติบโต และเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบใหญ่ที่สังคมจะได้รับกลับคืน เราจึงควรกล้าที่จะเปลี่ยน และพร้อมรับผิดชอบในสิ่งที่เลือกเสมอ


Leave a comment