ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่าง “ศาสนา” กับ “โลก” เริ่มเลือนราง การเข้าใจศีลธรรมอย่างลึกซึ้งเป็นการเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ เจตนา และการรับผิดชอบต่อชีวิตและผู้อื่นจากหลักการทางศาสนาได้เพื่อเป็นแนวทางแก่ตนเองในการประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน
แนวคิดเกี่ยวกับศีล
ศีลคือ คำสั่งจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (Divine Command Theory) โดยเฉพาะในศาสนาที่นับถือพระเจ้าถือว่าศีลเป็นคำสั่งของพระเจ้า (God’s will) เช่น บัญญัติ 10 ประการในคริสต์ ศีลในอิสลาม การทำตามศีลจึงเท่ากับการเชื่อฟังพระเจ้า จึงเป็นการดีด้วยเหตุที่พระเจ้าสั่ง ศีลจึงทรงพลังในด้านจิตวิญญาณ ศาสนจักรให้ความศักดิ์สิทธิ์แก่ศีล ศาสนิกมีแรงจูงใจสูงในการปฏิบัติ จุดอ่อนของแนวคิดนี้คือ Euthyphro dilemma นั่นคือ ศีลเป็นสิ่งที่ดี เพราะพระเจ้าสั่ง หรือพระเจ้าสั่งเพราะสิ่งนั้นดีโดยตัวศีลเอง
ศีลคือ หนทางสู่การหลุดพ้น (Soteriology) ในศาสนาพุทธ ฮินดู เชน ศีลคือ ขั้นตอนแรกในการชำระจิตเพื่อไปสู่เป้าหมายของคำสอน อันได้แก่ นิพพาน, โมกษะ หรือศูทธะ ศีลเป็นหนทางและกลไกของการแปรเปลี่ยนภายใน เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติด้วยตนเอง และพัฒนาภายใน จุดอ่อนของศีลในแนวทางนี้คือ ศีลเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลและยากต่อการบังคับใช้ในระดับสังคมให้เสมอกัน
ศีลคือ กรอบทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ (Relational Ethics) เช่น แนวคิดปรัชญาศาสนา ของ Emmanuel Levinas ที่มองศีลในฐานะความรับผิดชอบต่อผู้อื่น การถือศีลไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างตัวฉันกับพระเจ้าเท่านั้น แต่คือ ฉันกับผู้อื่นที่ได้พบเจอกัน (the face of the Other) การมีศีลจึงสัมพันธ์กับความรัก ความห่วงใย และจริยธรรมเชิงความสัมพันธ์ จุดอ่อนของศีลในแนวคิดนี้คือ ไม่มีอะไรตายตัวว่าควรทำอะไรในสถานการณ์เฉพาะ
ศีล กำหนดเป็นประโยควินิจฉัยเชิงจริยธรรม (Prescriptive Language) ศีลจึงปรากฎในรูปแบบของ “พึง…” หรือ “ไม่พึง…” ซึ่งเป็นภาษาคำสั่งทางจริยธรรม (imperatives) เช่น “ห้ามฆ่าสัตว์” นั้นเป็นคำสั่งเชิงคุณค่า มุ่งควบคุมพฤติกรรม โดยมิได้เสนอเป็นคำอธิบายเชิงข้อเท็จจริง (descriptive) ไม่ได้มีเป้าหมายให้บรรยายความจริง จุดอ่อนของศีลคือ ไม่เข้าใจว่าทำไมในเชิงเหตุผลให้ต้องปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสม
ศีล ได้ถูกถ่ายทอดในฐานะกฎภาษาและเกมภาษา ตามแนวคิดของ Wittgenstein เป็นเกมภาษาที่เข้าใจกันเฉพาะในผู้เล่มเกมนั้น ศีลจึงเข้าใจกันดีเฉพาะในศาสนาของตน เป็นกฎของเกมภาษาแห่งศาสนา การถือศีลจึงเป็นการมีส่วนร่วมในโลกความหมายชุดหนึ่ง เช่น ในศาสนาพุทธ ศีลเป็นเกมภาษาที่ประกอบด้วยคำว่า “เว้น” “สิกขา” “เจตนา” คือ ให้ศึกษาถึงการละเว้นไม่กระทำ รวมไปถึงการมีเจตนาละเว้นด้วย
ศีล เป็นตรรกะของคำสอน นักบวชและศาสนิกสามารถถอดข้อความเป็นโครงสร้างตรรกะ เช่น “ห้ามฆ่าสัตว์” ซึ่งเมื่อศึกษาในเชิงตรรกะเหตุผลย่อมเข้าใจได้ว่า “หากสิ่งใดมีชีวิต, ห้ามจงใจทำลายมัน” จุดอ่อนของระบบตรรกะคือ การตีความ เช่น คำบาลีว่า “ปาณาติบาต” มองไปถึง การฆ่าโดยเจตนา ดังนั้น จึงต้องแยก “เจตนา” กับ “ผล” ออกจากกัน เมื่อพิจารณาในลักษณะของข้อความตรรกะก็ย่อมลดคุณค่าเชิงจิตวิญญาณลงเช่นกัน
| ศาสนา | จุดประสงค์ของศีล | เป้าหมายสูงสุดของศีล |
|---|---|---|
| พุทธศาสนา | การระงับอกุศลกรรมทางกาย-วาจา-ใจ | ความหลุดพ้น (นิพพาน), การเจริญสมาธิ/ปัญญา |
| ศาสนาคริสต์ | การดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้า | การได้รับพระคุณ, การเข้าสู่สวรรค์, การเป็นภาพลักษณ์ของพระคริสต์ |
| ศาสนาอิสลาม | การเชื่อฟังพระบัญชาของอัลลอฮ์ | การสะอาดบริสุทธิ์ (ṭahāra), การเข้าสวรรค์ (jannah) |
| ศาสนาฮินดู | การปฏิบัติตามธรรมะ (Dharma) และหลีกเลี่ยงบาป (Pāpa) | การหลุดพ้นจากสังสารวัฏ (โมกษะ) |
| ศาสนาเชน | การไม่เบียดเบียน (อหิงสา), การละกิเลส | การชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์ (ศูทธะ) |
| ลัทธิเต๋า/ขงจื๊อ | การดำรงชีวิตสอดคล้องกับเต๋า/คุณธรรม (เต๋า-เต๋อ) | ความสมดุล (Harmony), การบรรลุเต๋า |
ระบบศีลและการกำกับศีล
ระบบศีลในศาสนาตะวันออก เช่น พุทธ ฮินดู เชน เต๋า/ขงจื้อ มักเน้นการพัฒนาตนเอง การบำเพ็ญตน และสมดุลภายใน สำหรับศาสนาพระเจ้า (คริสต์ อิสลาม) เน้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และศีลเป็นการตอบสนองต่อพระบัญชา จุดแข็งและจุดอ่อนของระบบศีลในศาสนาต่าง ๆ จึงแตกต่างกัน
| ศาสนา | จุดแข็ง | จุดอ่อน |
|---|---|---|
| พุทธ | เน้นการควบคุมตนเอง ไม่ยึดติดในพระเจ้า/เทพ; ยืดหยุ่นตามระดับจิต | ศีลมีลำดับขั้นที่อาจทำให้ผู้เริ่มต้นสับสน; ไม่มีผู้ตัดสินภายนอก ทำให้ศีลกลายเป็นเรื่องส่วนตัว เฉพาะตน |
| คริสต์ | ชัดเจนเรื่องความรักและการให้อภัย; เน้นความสัมพันธ์กับพระเจ้า | นำไปสู่การพึ่งพระคุณมากเกินไป จนขาดการฝึกตนเชิงวินัย |
| อิสลาม | ระบบศีลครอบคลุมทั้งชีวิต; มีระเบียบทางกฎหมายรองรับ | กฎหมายชะรีอะฮ์อาจถูกตีความเข้มงวดเกินไปในบางกลุ่มความเชื่อ |
| ฮินดู | ผสานหลักธรรมชาติ มนุษย์ และจักรวาลเข้าด้วยกัน | ศีลอิงอยู่กับชาติ วรรณะ และหน้าที่ สะท้อนเป็นความไม่เท่าเทียมได้ง่าย |
| เชน | มีศีลที่ลึกซึ้งเรื่องการไม่เบียดเบียน; เป็นระบบฝึกตนที่เข้มงวด | แนวทางเข้มงวดจนยากต่อการปฏิบัติในชีวิตทั่วไปในโลกปัจจุบัน |
| เต๋า/ขงจื๊อ | ยืดหยุ่นตามธรรมชาติ; เน้นความสมดุลของชีวิตและครอบครัว | ศีลไม่เป็นระบบตายตัว ตีความได้หลากหลายและคลุมเครือ |
ศีลมิได้เป็นเพียง “ข้อห้าม” หรือ “กฎศาสนา” ที่กำหนดพฤติกรรมภายนอก แต่คือโครงสร้างความหมายที่เชื่อมโยงระหว่างเจตนา จริยธรรม และระบบภาษา ที่เราดำรงอยู่ ศีลทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องมือในการฝึกฝนภายใน และเป็นสื่อกลางเชิงวัฒนธรรมในแต่ละศาสนา
ศีลของนักบวชและศีลของศาสนิก (ฆราวาส)
ศีลของนักบวชและศีลของศาสนิกมีความเหมือนกันในระดับแนวคิดพื้นฐาน คือ เป็นข้อปฏิบัติเพื่อฝึกฝนตนภายในให้มีจริยธรรม สงบระงับ และสัมพันธ์กับเป้าหมายของศาสนา แต่ในเชิงลึกระดับจิตวิญญาณนั้นต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในแง่จุดมุ่งหมาย ระดับความเข้มข้น และสถานะของผู้ปฏิบัติ
| มิติ | ศีลของ นักบวช | ศีลของ ศาสนิก |
|---|---|---|
| จุดมุ่งหมายโดยตรง | มุ่งโลกหน้า/ความหลุดพ้น | อยู่ในโลกแต่ไม่ยึดติด มุ่งชีวิตที่ดี มีศีลธรรม |
| บทบาทในศาสนา | ทำหน้าที่แทนศาสนา เป็นต้นแบบทางจริยธรรม เป็นผู้นำพิธีกรรม | เป็นผู้ตามและสนับสนุนศาสนา |
| ระดับความเข้มข้นของศีล | ความเข้มข้นสูงมาก เช่น ในศาสนาพุทธมีศีลร้อยข้อ ศีลร้อยห้าสิบข้อ ศีล 227 ข้อ ในศาสนาคริสต์มี vows of chastity/poverty/obedience | ระบบขั้นพื้นฐาน 5–10 ข้อ เช่น ศีล 5 ในพุทธ บัญญัติในคริสต์/อิสลาม |
| การถือศีล | ถือศีลแบบตลอดชีวิต เป็นพันธะถาวร | ถือศีลบางช่วง หรือมีสิทธิเลือกตามบริบทชีวิต |
| เป้าหมายสุดท้าย | ความหลุดพ้น/นิพพาน/การรวมกับพระเป็นเจ้าของศาสนา | การดำรงชีวิตดีงาม/เตรียมพร้อม-สะสมเพื่อการหลุดพ้น |
ศีลของนักบวชเป็นระบบจริยธรรมแบบหลีกเร้น (ascetic ethics) มุ่งข้ามพ้นจากโลกและอัตตาโดยตรง เช่นภิกษุ/ภิกษุณี ถือศีล 227 ข้อ/311 ข้อ เป้าหมายคือ วิมุตติหรือนิพพานโดยตรง นักบวชในศาสนาคริสต์ เช่น บาทหลวง, นักบวชหญิง จะปฏิญาณ 3 ประการ คือ พรหมจรรย์, ยากจน, เชื่อฟัง เพื่อดำเนินชีวิตตามแบบพระคริสต์อย่างหมดจด ในศาสนาอิสลามไม่มีนักบวชโดยระบบ แต่มี อุลามาอ์/สุฟี/อิหม่าม ซึ่งถือศีลขั้นสูงในแบบปฏิบัติซูฟี เช่น การละโลก การฝึกสติ เป็นต้น
ศีลของศาสนิกเป็นจริยธรรมเชิงสังคมเพื่อการอยู่ร่วมกันดีงาม และการบ่มเพาะภายในในระดับเบื้องต้น เช่น พุทธศาสนิกชนถือศีล 5 หรือ 8 เพื่อดำรงชีวิตอย่างไม่เบียดเบียน เป้าหมายคือ ทำกุศล สะสมบุญ อบรมตน และสนับสนุนกิจการในพระศาสนา คริสตชนปฏิบัติตามบัญญัติ 10 ประการ มีความเชื่อ-ความรัก-ความหวัง เพื่อดำรงชีวิตชอบธรรมและรอพระคุณ ชาวมุสลิมทั่วไปถือศีล (หลักปฏิบัติ) 5 ประการ เช่น การละหมาด การถือศีลอด เพื่อเข้าสวรรค์ เป็นต้น
ระบบกำกับศีล
ศาสนาพุทธกำกับระบบศีลของภิกษุและภิกษุณี เรียกว่า ศีลปาติโมกข์ แบ่งระดับความผิดเป็น 4 ระดับหลัก ได้แก่ ปาราชิก, สังฆาทิเสส, ถุลลัจจัย, และทุกกฏ ความรุนแรงสูงสุดไปน้อยสุดตามลำดับ ทั้งนี้ ความผิดที่ร้ายแรงที่สุดคือ การสึก ส่วนความผิดรองลงมาสามารถอยู่ปริวาสกรรมได้
ศาสนาคริสต์กำกับระบบศีลของนักบวช คือ ผิดพรหมจรรย์ ละเมิดศีลอื่น และผิดต่อศรัทธา นักบวชสามารถ สารภาพบาป และกลับใจได้ ทั้งนี้ บางความคิดต้องเผชิญทั้งโทษทางศาสนาและกฎหมายพลเรือน
ศาสนาอิสลาม ไม่มีนักบวช แต่ถ้าผู้นำศาสนาละเมิดหลักอิสลาม เช่น ละเมิดหลักศีลธรรม หรือบิดเบือนหลักศรัทธา ชุมชนมีสิทธิ์ถอดถอนความน่าเชื่อถือ ผู้นำอาจถูกขับออกจากมัสยิดหรือองค์กรศาสนา หรือหากมีศาลชารีอะห์ก็จะมีการพิจารณาโทษเชิงศาสนา ทั้งนี้ หากสำนึกผิด ยอมรับการ “เตาบะฮ์” (กลับใจสู่พระเจ้า) ก็จะได้รับการพิจารณาให้อยู่ในศาสนาต่อไป แต่หากผิดร้ายแรง เช่น ลบหลู่ศาสนา อาจถูกตั้งข้อหา “มุรตัด” (ออกนอกศาสนา) ได้
ระบบนักบวชในศาสนาฮินดูมีหลายกลุ่ม เช่น พราหมณ์ ฤๅษี สันยาสี ถือศีลเรียกว่า ยมะ-นิยมะ เช่น อหิงสา สัตยะ ความบริสุทธิ์ เนื่องจากไม่มีองค์การศาสนาที่ชัดเจน จึงไม่มีกลไกการลงโทษระบบศาล หากนักบวชผิดศีล เช่น ละเมิดวินัยพรหมจรรย์ หรือทุจริตในพิธีกรรม ชุมชนจะเลิกเคารพและถอนการนิมนต์ อีกทั้งอาจถูกขับออกจากสำนัก หรือแสดงตนเป็นฆราวาสอีกครั้ง
มุมมองแห่งความผิดหวังและการหมดศรัทธา
ศาสนิกชนในทุกศาสนาต่างก็เชื่อมั่นและเชื่อว่านักบวชเป็นต้นแบบ เมื่อมีการทำความผิดของนักบวช ย่อมจะมีผู้ศรัทธาจำนวนมากรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง เพราะผู้นำทางจิตวิญญาณไม่อาจดำรงอยู่ นำไปสู่ความสงสัยว่า ศาสนายังศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือไม่? นักบวชคนอื่นน่าเชื่อถือเพียงใด? ความดีงามที่สั่งสอนในศาสนานั้นจริงหรือเป็นเพียงการเสแสร้งของสถาบันศาสนา? หากไม่มีคำตอบที่น่าพอใจแก่สาธารณะ บางรายอาจถึงขั้นห่างเหินจากศาสนา เปลี่ยนศาสนา หรือเป็นผู้ไม่นับถือศาสนาได้
ศาสนิกชนส่วนหนึ่งย่อมสามารถ แยกตัวบุคคลออกจากคำสอนได้ พวกเขาเชื่อว่า ศีลธรรมของศาสนาไม่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของนักบวช มองนักบวชเพียงเป็น “ผู้ปฏิบัติที่ผิดพลาดได้” ไม่ใช่ตัวแทนที่สมบูรณ์ของหลักธรรมคำสอน ความรู้สึกเช่นนี้จำกัดในวงผู้ศรัทธา แต่ก็ยังมีพื้นที่ของความไม่ไว้วางใจต่อระบบนักบวชในศาสนาของตนอยู่ส่วนหนึ่ง
ในหลาย ๆ ศาสนามีแนวโน้มของการให้อภัย หรือยกโทษให้นักบวชที่ผิดศีล โดยเฉพาะถ้าแสดงความสำนึกผิดอย่างจริงใจ ยอมรับการกลับใจ แต่ถ้าเป็นความผิดที่รุนแรงในทางโลกหรือสาธารณะไม่ยอมรับ ก็จะนำไปสู่การโกรธ การประณาม และความรุนแรงในการลงโทษหรือขับไล่ได้
ในระดับสังคม ย่อมมีมุมมองแบบโครงสร้างสถาบันและมีการเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงของสถาบันศาสนาในระดับสังคม ประเทศ เช่น ความโปร่งใส การตรวจสอบภายใน อาจนำไปสู่การเรียกร้องให้ปฏิรูปศาสนาหรือการให้อาณาจักร (รัฐ) เข้ามีบทบาทในการออกกฎหมายควบคุมในบางระดับ
สรุป ในสังคมที่นักบวชยังมีอิทธิพลเชิงวัฒนธรรมสูง การปฏิบัติศีลของศาสนิกชนและนักบวชเป็นขอบเขตที่มีการถกแถลงกันในหลายแง่มุม หากเกิดการผิดศีลรุนแรง และความผิดนั้นผิดต่อกฎหมายพื้นฐานของรัฐด้วย ก็มักจะสะเทือนโครงสร้างศรัทธาในระดับสังคมของศาสนานั้น ๆ ด้วย

