ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

การมีบัตรประชาชนเป็นไปตาม พรบ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2486 โดยตั้งแต่พ.ศ.2486-2530 บัตรจะแสดงเพียงชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด อายุ ที่อยู่ รูปถ่าย รหัสอำเภอที่ออกบัตรและเลขทะเบียนบัตร

ต่อมา พรบ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2527 และประกาศกระทรวงมหาดไทยที่กำหนดโครงสร้างเลขประจำตัวประชาชนเป็นกฎหมายลูกและระเบียบปฏิบัติที่ตีความจาก พ.ร.บ.นั้นสะท้อนอำนาจรัฐในการตีตรา (labeling) โดยใช้ตัวเลขเพื่อบ่งบอกความถูกต้องสมบูรณ์ของเอกสารบุคคล นำไปสู่การที่บัตรประชาชนจะแสดงเลขประจำตัว 13 หลักเพิ่มขึ้นมา

พรบ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2527 กำหนดให้ทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนบ้านต้องมีเลขประจำตัวประชาชน โดยอธิบายอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนและวิธีการจัดทำทะเบียน

ประกาศกระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ระบุโครงสร้างเลข 13 หลัก และการใช้ตัวเลขหลักแรกเพื่อจำแนกประเภทบุคคล รหัสประจำตัวประชาชนไทย 13 หลัก เป็นระบบรหัสที่ใช้ระบุตัวตนบุคคลตามระเบียบกรมการปกครอง ว่าด้วยการจัดทำเลขประจำตัวประชาชนโดย มาตรฐานกระทรวงมหาดไทย อธิบายรายละเอียดเชิงเทคนิคของรหัส ทั้งนี้ แต่ละหลักมีความหมายเฉพาะ ได้แก่

ลำดับหลักจำนวนความหมาย
หลักที่ 11ประเภทบุคคล (บ่งบอกสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎร)
หลักที่ 2–54รหัสจังหวัดและอำเภอ (รหัสทะเบียนบ้านที่บุคคลเกิด/แจ้งเกิด)
หลักที่ 6–105เลขลำดับของบุคคลในทะเบียน (เรียงตามการแจ้งเกิด)
หลักที่ 11–122เลขรหัสตรวจสอบเพิ่มเติม (เพื่อกันซ้ำและความถูกต้อง)
หลักที่ 131เลขตรวจสอบ (Check Digit) คำนวณตามสูตรมาตรฐาน เพื่อยืนยันความถูกต้องของรหัส

รายละเอียดของแต่ละส่วน

1 = คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย (บุตรของบิดามารดาที่เป็นคนไทย)

2 = คนที่ได้รับสัญชาติไทยภายหลัง (แปลงสัญชาติ, ฟื้นสัญชาติ)

3 = คนที่เกิดในประเทศแต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย (เช่น บุตรของแรงงานต่างด้าว)

4 = คนที่เกิดนอกประเทศแต่ได้รับสัญชาติไทย (เช่น เกิดในต่างประเทศโดยบิดามารดาเป็นคนไทย)

5 = คนที่เกิดนอกประเทศและยังไม่ได้สัญชาติไทย

6–8 = กรณีอื่น ๆ เช่น ชาวต่างชาติที่มีใบอนุญาตอยู่ถาวร (6 = ต่างด้าวถาวร, 7 = ต่างด้าวชั่วคราว, 8 = กลุ่มบุคคลพิเศษ)

9 = บุคคลที่ไม่สามารถระบุประเภทได้ชัดเจน (ใช้ในกรณีพิเศษหรือช่วงเปลี่ยนผ่าน)

2–3 = รหัสจังหวัด (เช่น กรุงเทพฯ = 10, เชียงใหม่ = 50)

4–5 = รหัสอำเภอ (เช่น อำเภอเมืองของแต่ละจังหวัดจะเป็น 01)

เป็นเลขที่กำหนดตามลำดับการแจ้งเกิดในพื้นที่นั้น ๆ

ใช้เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนของรหัสในกรณีมีข้อมูลเหมือนกัน

เป็นเลขที่ได้จากการ คำนวณตามสูตร Mod 11 เพื่อยืนยันว่าเลข 12 หลักแรกถูกต้อง

ในปัจจุบัน การทะเบียนราษฎร์ใช้ พรบ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 ปรับปรุงล่าสุด พ.ศ.2562 เป็นสำคัญ

ข้อวิพากษ์ของอำนาจรัฐในการระบุตัวตน

ปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประวัติการพัฒนาระบบเลขประจำตัวประชาชนไทย และการตีความ “ประเภทบุคคล” ของรัฐ ซึ่งต้องอ้างอิงทั้ง โครงสร้างกฎหมาย และ แนวทางปฏิบัติของกรมการปกครองในช่วงเปลี่ยนผ่าน ได้ทำให้เกิดบุคคลสัญชาติไทย เชื้อชาติไทย แต่เลขหลักที่ 1 เป็นเลข 3

บริบทเชิงประวัติ พบว่า ก่อนพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2527 และประกาศกระทรวงมหาดไทย ระบบทะเบียนยังไม่ได้ใช้รหัส 13 หลักแบบมาตรฐานสากล พรบ.2527 นี้ใช้เวลาระหว่าง 1 ม.ค. – 31 พ.ค. 2527 ในการกำหนดเลขรหัสแก่คนไทยทั้งประเทศ คนที่เกิดก่อน พ.ร.บ. นี้ (เกิดก่อน 1 ม.ค.2527 และยังไม่ได้ลงทะเบียนภายใต้ระบบใหม่) จึงต้องได้รับการ “สร้างรหัส” ย้อนหลัง

เลขหลักที่ 1 ของรหัสประชาชน ถูกออกแบบให้ระบุ ดังนี้

  1. เลข 1 และ 2 ใช้กับผู้ที่ลงทะเบียนตามระบบปกติในช่วงเริ่มต้นของการแจ้งเกิดภายใต้กฎหมายใหม่ (ผู้ที่เกิดในช่วง พ.ศ.2527 เป็นต้นไป หรือแปลงสัญชาติ หลัง พ.ร.บ. บังคับใช้)
  2. เลข 3 ขึ้นไป ใช้กับบุคคลที่ต้อง “นำข้อมูลเก่า” มาสร้างรหัสย้อนหลัง

การที่เลข 3 ถูกกำหนดให้กับบุคคลที่ไม่มีข้อมูลการแจ้งเกิดครบถ้วนตามมาตรฐานใหม่นี้ โดยรัฐใช้อำนาจเหนือพลเมือง ทำการมองว่า “เกิดในไทย แต่ไม่สามารถยืนยันตามเกณฑ์ใหม่ได้เต็มรูปแบบ” จึงไม่ให้เลข 1 ซึ่งกำหนดไว้สำหรับ “เกิดในไทย มีข้อมูลครบถ้วน” ซึ่งเป็นการยึดตามเทคนิคของรหัส และยอมรับการใช้เทคนิคนี้เพื่อแยกข้อมูลชุดเดิม (คนไทยที่เกิดก่อนปี 2527) ออกจากข้อมูลของผู้ที่เกิดหลัง พ.ร.บ. 2527 มีผลบังคับใช้

ผลเชิงโครงสร้างและสังคม

การคนที่เกิดก่อน พ.ร.บ. 2527 และได้เลขหลักที่ 1 เป็นเลข 3 ไม่ได้หมายถึง “ไม่ได้สัญชาติไทย” แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความแตกต่างในแหล่งกำเนิดข้อมูลทะเบียน แต่หากไม่ใช่ผู้ที่เข้าใจเทคนิคของรหัส ย่อมจะแปลตามความหมายของหมายเลข คือ ผู้ได้เลข 3 คือ ผู้ที่เกิดในประเทศไทยแต่ไม่ได้สัญชาติไทย เช่น บุตรของแรงงานต่างด้าว และย่อมอาจนำไปสู่การล้อเลียน (bullying) ในคนรุ่นใหม่ที่มีต่อคนรุ่นก่อนหน้าได้

แม้ต่อมาจะมีการชี้แจงว่า เลข 3 เป็นการกำหนดให้ผู้ที่มีชื่ออยุ่ในทะเบียนบ้านฉบับกระดาษเดิม ก่อนเริ่มระบบเลข 13 หลักก็ตาม แต่คำอธิบายความหมายของเลข 3 ก็ยังเป็นพื้นที่คลุมเครือที่ไม่น่าสบายใจอยู่เช่นเดิม การคนเกิดก่อนพ.ศ. 2527 ได้เลขหลักที่ 1 เป็นเลข 3 ก็เพียงเพราะรัฐต้องการจัดทำรหัสย้อนหลัง และระบบต้องการแยกชุดข้อมูลเดิมออกจากชุดข้อมูลใหม่ที่บันทึกครบถ้วนตามกฎหมายใหม่ ได้แสดงถึงการใช้อำนาจนำบังคับความถูกต้องให้บิดเบือนไปได้

การเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลกับอัตลักษณ์ระบุบุคคล

ชื่อและนามสกุลทำหน้าที่เป็น “เครื่องหมายสัญลักษณ์” ที่สังคมใช้ระบุตัวตนของบุคคลในกรอบวัฒนธรรม (สังคมย่อมไม่จดจำบุคคลผ่านเลขประจำตัว 13 หลัก) เมื่อเปลี่ยนทั้งชื่อ-นามสกุล อย่างหนึ่งอย่างใด หรือทั้งสองพร้อมกัน ก็ย่อมเท่ากับเปลี่ยนรหัสสัญลักษณ์เดิมทั้งหมด

ในระดับบุคคล บุคคลอาจรู้สึกว่า ชื่อเดิมคือ “กรอบเก่า” และการเปลี่ยนคือ การปลดแอกจากอดีต เพื่อสร้างตัวตนใหม่ที่สอดคล้องกับอุดมคติหรืออัตลักษณ์ที่ปรารถนา การเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลจึงแสดงถึงความเป็น postmodern subject ที่อัตลักษณ์ไม่ใช่แก่นแท้ตายตัว แต่เป็นการสร้างและประกอบ (constructed) ซึ่งสามารถ “รีแบรนด์” ได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงในอัตลักษณ์ เพราะตัวตนขึ้นกับการยอมรับทางสังคมและการทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง

เมื่ออัตลักษณ์ที่เคยผูกกับรหัสเดิม เช่น เชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือชนชั้น ถูกลบหรือทำให้พร่าเลือนไป และแทนที่ด้วยรหัสใหม่ ก็ย่อมทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่อง (discontinuity) ในการสืบค้นหรือร่องรอยประวัติของชีวิต ในส่วนหนึ่งเปลี่ยนเพราะต่อต้านโครงสร้างอำนาจทางภาษา เช่น ชื่อสกุลที่บ่งบอกชนชั้นหรือสายตระกูล ในอีกส่วนหนึ่งเปลี่ยนเพราะต้องการให้ตนมีอำนาจในโครงสร้างอำนาจทางภาษา คือ มีชื่อสกุลที่ทำให้ตนขยับหรือแสดงถึงชนชั้นที่สูงขึ้นหรือแยกสาขาออกไปจากสายตระกูลเดิม

การเปลี่ยนชื่อ-สกุล อาจเป็นการทำลายพันธะเชิงสังคมที่ผูกโยงกับครอบครัว เครือญาติ หรือชาติพันธุ์ เพื่อสร้างตัวตนใหม่ (self-branding) เช่น เปลี่ยนชื่อไทยเป็นชื่อภาษาวรรณกรรม เพื่อเข้าถึงทุนทางสังคมใหม่ ๆ เป็นการท้าทายโครงสร้างที่ผูกอัตลักษณ์กับสายเลือด-ท้องถิ่น

ชื่อ-นามสกุลทำให้สามารถเล่าเรื่องประวัติชีวิตและภูมิหลังของบุคคลได้ เมื่อเปลี่ยนทั้งคู่พร้อมกัน ย่อมทำให้ประวัติส่วนตัวถูกเขียนซ้ำ (rewriting of personal history) หรือเขียนใหม่ได้ อาจมีการลบล้างตัวตนเดิม แล้วประกอบสร้างประวัติของตัวตนใหม่ได้อีกด้วย

คำถามสำคัญแห่งยุคที่เกิดขึ้นก็คือ “ความเป็นของแท้” (authenticity) ของบุคคล ว่าเราเป็นใครโดยแท้จริง คือ สิ่งที่เราเลือกเอง หรือสิ่งที่โครงสร้างสังคมมอบให้ตั้งแต่เกิด

ดังนั้น การยืนยันอัตลักษณ์บุคคลจากชื่อ-นามสกุล จึงมีความเลือนลาง ไม่ชัดเจน ต้องมีการสำรวจตรวจสอบประวัติหลายชั้น และก็นำไปสู่การยืนยันผ่านระบบตัวเลขประจำตัว 13 หลัก ซึ่งก็จะวนกลับไปที่การยอมรับอำนาจของรัฐเหนือบุคคล และก็ย่อมเปิดช่องให้มีการใช้เล่ห์เพื่อการสวมประวัติหรือสร้างบุคคลใหม่ขึ้นมาแทนบุคคลที่เสียชีวิตหรือสาบสูญไปได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งบุคคลใหม่นี้ย่อมได้รับสิทธิและสวัสดิการของรัฐแทนที่คนที่เขามาสวมรอยแทนได้อีกด้วย การวนซ้ำไปมายังปัญหาของการระบุอัตลักษณ์บุคคลทั้งในเชิงประวัติและเอกสารย่อมจะเป็นปัญหาที่สังคมจะต้องมองหาเกณฑ์พิจารณาและมาตรการพิสูจน์ความจริงที่มั่นคงและน่าเชื่อถือต่อไป


Leave a comment