ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
บทนำ
ในหลายวัฒนธรรมของโลก ปรัชญาและศาสนามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ปรัชญาเริ่มจากการพยายามตอบคำถามถึงความเป็นจริงโดยไม่อิงกับเทพ จึงออกห่างจากศาสนาโบราณ ในหลายยุคต่อมา ปรัชญาก็มักจะวิจารณ์ศาสนา ถามคำถามเกี่ยวกับความหมาย ความจริง ความดี ความชั่ว ฯลฯ ในขณะที่หลายบางยุค ศาสนาก็ใช้ปรัชญาเพื่ออธิบายหลักคำสอนของตน จนถึงกับมองว่า ปรัชญาคือสาวใช้ของศาสนา อย่างไรก็ตาม ในสังคมไทยซึ่งมีวัฒนธรรมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย (วัฒนธรรมพุทธ) ค่อนข้างมาก กลับมีท่าทีที่ค่อนข้างชัดเจนว่า ปรัชญาและศาสนาเป็นคนละเรื่อง หลายกลุ่มหลายคนเกรงว่า หากเรียนปรัชญาจะทำให้คนละทิ้งศาสนา หรือหลงทางไปจากทางแห่งการตื่นรู้ เพราะยิ่งเรียนปรัชญามาก็จะยิ่งสงสัยหลักคำสอนของศาสนา เกิดเป็นวิจิกิจฉา มีความลังเล ไม่แน่ใจ เคลือบแคลงในกุศลธรรมทั้งหลาย
เหตุผลหลักที่ทำให้มองว่าปรัชญาและศาสนาควรแยกจากกัน
1.ศาสนาอยู่ในฐานะความเชื่อแน่นอน / ข้อปฏิบัติเชิงศีลธรรม
พระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท มีคำสอนและจารีตธรรมเนียมที่สืบทอดครอบคลุมทั้งวิถีชีวิต ศีลธรรม ประเพณี และวัฒนธรรมในประเทศไทย ความเชื่อในเรื่องกรรม การเกิดใหม่ และผลของการกระทำมีบทบาทสำคัญต่อความรู้สึกของผู้คนว่าศีลธรรมมาจาก “คำสอนศาสนา (dogma)” ที่มีความแน่นอน เชื่อได้ ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป
ผู้คนอาจถือว่าคำถามจากปรัชญา เช่น “มีชาติหน้าจริงไหม” “นิพพานแล้วจะมีอะไรต่อ” เป็นเรื่องที่ศาสนากำหนดแล้ว และการถามเช่นนี้ก็จะถูกมองว่าเป็นการตั้งคำถามแย้งต่อศรัทธา
ในประเทศไทย มักจะเน้นปรัชญาศาสนา (philosophy of religion) หรือจริยศาสตร์ (ethics) ที่อยู่ในกรอบของการอธิบายคำสอนศาสนา หรือประยุกต์ใช้คำสอนศาสนาในชีวิตปัจจุบัน มากกว่าจะเป็นปรัชญาวิพากษ์ (critical philosophy) ที่อาจตั้งคำถามต่อหลักศาสนาอย่างตรงไปตรงมา
2. การศึกษาศาสนาได้รับการยกย่องเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาชีวิตและวัฒนธรรม
ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรมีกรอบกำหนดให้นักเรียนต้องรู้ภาษา ระบบศีลธรรม และประวัติศาสตร์ศาสนา เด็กจะเข้าใจศาสนาในฐานะทางเลือกแน่นอน มองศาสนาเป็นส่วนของอัตลักษณ์ ค่านิยม และเรียนรู้เพียงเพื่อการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง แนวทางการสอนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้วิธีตั้งคำถามหรือวิพากษ์แนวคิดศาสนา แต่อาจมีคำถามจากเด็กในบางด้าน เช่น ปาฎิหาริย์ในศาสนาเรื่องนั้น ๆ ว่าจริงหรือไม่
3. อคติทางศาสนา
นักบวช นักการศาสนา ศาสนิก มักจะมีอคติ (เทวรูปแห่งโรงละคร) นั่นคือ ความเชื่อที่ถือเป็นประเพณีเพื่อการปฏิบัติต่อ ๆ กันมาในระดับวัฒนธรรมที่กลัวว่า การเรียนปรัชญาที่เน้นการตั้งคำถาม ไร้การยึดมั่น อาจนำไปสู่การท้าทาย หรือปฏิเสธหลักคำสอนศาสนา แม้แต่ท่านพุทธทาสภิกขุที่ได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อถึงแก่นแท้ของศาสนา (dhamma) แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปแบบทางศาสนา และมีข้อเสนอที่ถูกวิพากษ์ว่า เป็นการลดบทบาทของหลักคำสอนเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดและกรรมซึ่งในทางหนึ่งเป็นเสาหลักของความศรัทธาของชาวพุทธทั่วไป บางกลุ่มเห็นว่าการตั้งคำถามเหล่านี้นำไปสู่ความไม่แน่นอนของคำสอน เพราะผู้ตอบอาจตอบได้ไม่ดีพอ ซึ่งอาจกระทบต่อจิตใจและความมั่นใจในศรัทธาของผู้รับฟังได้
4. การขาดความคุ้นเคยกับปรัชญาตะวันตกและแนวคิดวิพากษ์
ปรัชญาตะวันตกร่วมสมัยเน้นลักษณะของการตั้งคำถามต่อพื้นฐาน (foundational questioning) การวิพากษ์ (critique) การใช้ตรรกะ (logic) ซึ่งเป็นการถามและสอบทวนแนวคิดศาสนาต่าง ๆ ท่าทีเช่นนี้อาจมองได้ว่าเป็นการขัดหรือสวนทางกับศรัทธาหรือคำสอนศาสนา เช่น การตั้งคำถามเรื่องความดี การละอัตตา ซึ่งคำถามเริ่มต้นมาจากความเข้าใจที่แตกต่างกันระหว่างปรัชญาตะวันตกและปรัชญาพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม แนวคิดจากตะวันตกมักจะถูกนำมาศึกษาเปรียบเทียบ แต่ในหลายกรณี ก็ถูกปรับประยุกต์ให้เหมาะกับวัฒนธรรมไทย หรือถูกตีกรอบภายในขอบเขตที่ไม่ท้าทายต่อศาสนามากนัก
5. อัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม
ศาสนาพุทธในประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลตามแนวคิดรัฐโลกวิสัย (secular state) แต่เป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ชาติ ประเพณี ครอบครัว และยึดโยงกับระบบรัฐราชการ เป็นส่วนที่หลอมรวมกับการเมือง วัฒนธรรม และสังคมอย่างแนบแน่น ชาวพุทธในประเทศไทยมองว่า ความเป็นพุทธเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นชาติ (national identity) ดังนั้น เมื่อศาสนาถูกผูกโยงกับรัฐเช่นนี้ ทำให้การตั้งคำถามเกี่ยวกับคำสอนศาสนา ผู้ที่เสนอให้ตั้งคำถามหรือวิพากษ์ศาสนาย่อมจะถูกเหมารวมว่าเป็นภัยต่อศาสนา หรือแม้แต่ศีลธรรมอันดีของชาติ รวมไปถึงการล้มล้างอัตลักษณ์ของชาติอีกด้วย
6. การศึกษาและระบบวิชาการที่ยังไม่เข้าใจคุณค่าของปรัชญาในฐานะวิชาการ
ในปัจจุบัน หลายมหาวิทยาลัยได้ลดบทบาทของวิชาปรัชญา ไปเป็นวิชาเลือกหรือวิชารอง (supporting subject) ไม่ใช่วิชาหลักที่จำเป็น อีกทั้งมักเปลี่ยนชื่อวิชาและนำคำสอนศาสนามาเป็นแกนสอนแทนเนื้อหาปรัชญาอย่างตะวันตก ในบางมหาวิทยาลัยแม้จะยังมีหลักสูตรปรัชญา แต่ก็ไม่ได้รับความสำคัญ เพราะมักนำไปเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ในการผลิตบัณฑิตคือการมีงานทำ ซึ่งงานปรัชญาไม่มีอาชีพของตนเอง ต่างกับวิชาศาสนาที่มีอาชีพ นักวิชาการศาสนา
ข้อวิพากษ์
แม้มีเหตุผลที่คนไทยบางส่วนมองว่า ปรัชญาและศาสนาแยกกัน และการเรียนปรัชญาอาจทำให้ผู้เรียนหลงทางไปจากหนทางแห่งการตื่นรู้ แต่มีข้อโต้แย้งที่สำคัญ คือ
1. ปรัชญาสามารถสนับสนุนความเข้าใจเชิงศาสนา
ปรัชญามีส่วนของอภิปรัชญา ญาณปรัชญาและจริยศาสตร์ จึงให้เครื่องมือในการคิด เข้าใจ ตั้งคำถาม และสร้างคำอธิบาย เพื่อเสริมความเข้าใจเชิงตรรกะ ความหมาย และพื้นฐานความเป็นจริงที่อยู่เบื้องหลังคำสอนศาสนา สร้างเป็นภาษาทั่วไปที่จะช่วยทำให้ศาสนิกชนสามารถมีศรัทธาที่มีความรู้ ความเข้าใจ ไม่ใช่ความเชื่อศรัทธาไปตามจารีตธรรมเนียมเท่านั้น
2. เส้นแบ่งระหว่างศาสนาและปรัชญา ในหลายวัฒนธรรมก็ไม่ชัดเจน
ในการศึกษาพระพุทธศาสนาเองนั้นในก็มีพัฒนาการของสาขา “พุทธปรัชญา” (Buddhist philosophy) ซึ่งสนใจในพระอภิธรรม และวรรณกรรม ตำนานศาสนา รวมไปถึงคดีคำถามธรรมะต่าง ๆ ที่ตั้งคำถามเชิงปรัชญา เช่น จิต นิพพาน ปฏิจจสมุปบาท ตัณหา-ฉันทะ เป็นต้น แม้ว่าจะเน้นคำสอนศาสนาเป็นศูนย์กลาง ทำให้ปรัชญาเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อยืนยันคำสอนศาสนา การสอนปรัชญายังเน้นการสอนแบบอธิบายเพื่อจดจำ ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ตั้งคำถามหรืออภิปราย ปัญหาในคำสอนศาสนาก็จะไม่ถูกแก้ไขหรือสร้างคำตอบใหม่ที่ดีกว่าเดิม นอกจากนี้แรงต้านทางสังคมยังมีอยู่ นักศึกษาก็อาจไม่กล้าใช้ปรัชญามาตั้งสถานะของคำถามเชิงวิพากษ์อย่างเต็มศักยภาพ แต่อย่างน้อยการเรียนปรัชญาตะวันตกก็เป็นแนวหนึ่งเป็นการเรียนรู้วิธีคิดเชิงกระบวนการเพื่อการเข้าถึงคำสอนเหล่านี้ได้ และเมื่อยิ่งเข้าใจก็จะยิ่งศรัทธามั่น ไม่ได้มีคำถามเพื่อการละทิ้งศรัทธาอย่างวิมตินิยม (skepticism)
3. ประโยชน์ทางจริยธรรมและสังคม
ปรัชญาช่วยให้คนคิดเรื่องความยุติธรรม สิทธิ ความรับผิดชอบต่อสังคม และเรื่องอื่น ๆ ในระดับจริยศาสตร์ ซึ่งสามารถสนับสนุนคุณค่าที่ศาสนาส่งเสริม และจะช่วยพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้ศาสนาเข้มแข็งและตอบโจทย์วิถีชีวิตร่วมสมัยได้
เหตุผลหลักที่ทำให้มองว่าปรัชญาและศาสนาควรเรียนรู้ร่วมกัน
1.การมีหลักสูตรปรัชญาและศาสนา หรือศาสนาและปรัชญา
หลักสูตรเหล่านี้เปิดโอกาสให้นักศึกษาเรียนรู้ว่า ปรัชญาไม่ใช่การปฏิเสธศาสนา แต่เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจศาสนาอย่างลึกซึ้ง การเรียนร่วมกับศาสนาจะช่วยให้นักศึกษาเห็นว่าปรัชญาสามารถอธิบายหลักธรรม วิเคราะห์โครงสร้างความคิด และเชื่อมโยงศาสนากับปัญหาในโลกสมัยใหม่ได้ ในการออกแบบหลักสูตรและรายวิชาที่ดี จะทำให้เปิดพื้นที่วิพากษ์ที่ปลอดภัย มีการตั้งคำถามต่อคำสอนศาสนาเพื่อให้ร่วมกันวิเคราะห์และสังเคราะห์คำตอบ คำอธิบาย ซึ่งเป็นการแสวงหาความหมายที่แท้จริง ผ่านกรอบการคิดที่มีเหตุผล
2. การบูรณาการ (Integration) ไม่สอนศาสนาแยกจากปรัชญา
แนวคิดบูรณาการหลายศาสตร์ อาจใช้มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ร่วมด้วย เพื่อให้เข้าใจปัญหาของสังคมสมัยใหม่ เปิดมิติพหุวัฒนธรรม และสามารถใช้ปรัชญาเพื่ออธิบาย พัฒนา และท้าทายคำสอนศาสนาเพื่อให้ค้นคว้าหาคำสอนในศาสนาที่จะช่วยตอบปัญหาของสังคมและเสนอการประยุกใช้ในชีวิตและในระดับสังคมได้อย่างเหมาะสม
สรุป
คนไทยจำนวนไม่น้อยมองว่าปรัชญากับศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน และกลัวว่าการเรียนปรัชญาจะนำไปสู่การหลงทางหรือไม่เข้าถึงศาสนา เนื่องจากศาสนามีบทบาทเป็นข้อศีลปฏิบัติแน่นอนและเป็นศีลธรรมในชีวิตประจำวัน มีความกลัวว่าการตั้งคำถามจะเป็นการท้าทายศรัทธา มีการขาดการศึกษาเชิงปรัชญาและการเรียนรู้ในระบบที่เปิดรับความสงสัยและวิพากษ์ อย่างไรก็ดี แนวทางปรัชญาและศาสนาไม่จำเป็นต้องขัดแย้งเสมอไป ถ้ามีการสอนปรัชญาที่เคารพต่อพื้นฐานความศรัทธา และเปิดทางให้ผู้เรียนได้ตั้งคำถามทางปัญญาอย่างสุภาพและมีความรับผิดชอบ การเรียนการสอนปรัชญาและศาสนา และการบูรณาการการสอน ไม่แยกศาสนากับปรัชญา จะทำให้การเรียนปรัชญาช่วยสร้างคำตอบใหม่ คำตอบร่วมสมัยที่จะเติมเต็มศรัทธาให้มีความลึกซึ้งมากขึ้นได้

