อ.ดร.สิริกร อมฤตวาริน

ในปรัชญาจีน การเรียนรู้มิได้หมายถึงเพียงการสั่งสมความรู้ทางปัญญา แต่ยังครอบคลุมการฝึกฝนตนเอง การขัดเกลาคุณธรรม และการเข้าถึงหนทางแห่ง “เต้า” (道) การฟังอย่างตั้งใจ (專聽, attentive listening) ถือเป็นวิธีการสำคัญที่ปรากฏอยู่ในหลายสำนักความคิด ทั้งในเชิงปฏิบัติและเชิงทฤษฎี การฟังไม่ใช่เพียงกระบวนการทางกายภาพของการรับเสียง แต่เป็นการเปิดใจเพื่อซึมซับ คัดกรอง และเชื่อมโยงความหมายไปสู่การพัฒนาปัญญาและคุณธรรม

สำนักคิดสำคัญของปรัชญาจีนที่มีแนวคิดนี้และส่งต่อมาในวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบจีน ได้แก่

1. ขงจื๊อและสำนักหรู (儒家)

ขงจื๊อ (孔子) ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ผ่านการฟังและการใคร่ครวญ โดยท่านกล่าวว่า “ฟังให้มาก เลือกสิ่งที่ดีแล้วปฏิบัติตาม” การฟังในที่นี้ไม่ใช่เพียงการได้ยิน แต่เป็นการ “เปิดใจรับฟังผู้อื่นอย่างเคารพ” โดยเฉพาะคำสั่งสอนจากครูอาจารย์และผู้มีคุณธรรม ลักษณะสำคัญคือ ฟังเพื่อ “เก็บเกี่ยวความรู้และคุณธรรม” (德) และฟังอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้เรียนย่อมบรรลุสู่การเป็นจวินจื่อ (君子 สุภาพชน) ผ่านการสะสมปัญญาและคุณธรรมจากการฟังผู้อื่น

“ฟังให้มาก แล้วเลือกสิ่งที่ดีนำมาปฏิบัติ เห็นให้มาก แล้วจดจำไว้ นี่คือวิธีการใกล้เคียงกับความรู้” คำกล่าวนี้ ขงจื้อสอนให้ศิษย์ฟังอย่างกว้างขวาง (多聞) แต่ไม่ใช่เชื่อทุกสิ่ง ต้องเลือกสิ่งที่ดี (擇其善者) จึงจะเกิดปัญญา

จื่อก้ง (ศิษย์เอกของขงจื้อ) กล่าวว่า “คำสอนด้านพิธีและวัฒนธรรมของอาจารย์นั้นพวกเราสามารถฟังได้ แต่เมื่ออาจารย์กล่าวถึงธรรมชาติของมนุษย์และเต้าแห่งฟ้า พวกเราไม่สามารถฟังได้” คำสอนนี้ชี้ว่า การฟังในสำนักขงจื้อเป็นการเข้าถึงชั้นต่าง ๆ ของความรู้ ศิษย์ที่ยังไม่พร้อมก็ไม่สามารถฟังเข้าใจในเนื้อหาที่ลึกซึ้งกว่าได้

จื้อก้งยังสอนอีกว่า “สุภาพชนไม่ยกย่องคนเพียงเพราะคำพูด และไม่ละทิ้งคำพูดเพียงเพราะไม่ชอบคนพูด” คำสอนนี้สะท้อนคุณธรรมของการฟังอย่างเป็นกลางและมีวิจารณญาณ

เมิ่งจื้อแห่งสำนักหรูสอนว่า “หูนั้นเมื่อเผชิญกับเสียง จึงจะได้ยิน” เพื่อชี้ว่าการฟังต้องอาศัยการตั้งใจจึงจะทำงานได้จริง มิใช่เพียงกลไกของอวัยวะ แต่เป็นการฟังด้วยใจ

จูซี สำนักหรูสมัยราชวงศ์ซ่งใต้สอนว่า “หนทางแห่งการศึกษาไม่มีอะไรพิเศษ ก็เพียงการตามหาจิตที่หลงลืมไปเท่านั้น” เพื่อชี้ว่า การฟังอย่างตั้งใจจึงจะเป็นวิธีดึงจิตกลับมาสู่ความสงบและปัญญา ไม่ใช่แค่การสะสมถ้อยคำ

สำนักหรูมองว่า การฟังอย่างตั้งใจไม่ใช่เพียงทักษะการศึกษา แต่คือคุณธรรมแห่งการเรียนรู้และการเป็นสุภาพชน

2. เต้าและสำนักเต้า (道家)

เล่าจื๊อ (老子) และจวงจื๊อ (莊子) เน้นการฟังที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าการฟังเสียงด้วยหู แต่เป็น “การฟังด้วยใจและเต้า” (聽之以心 หรือ 聽之以道) จวงจื๊อเสนอแนวคิด “การฟังด้วยวิญญาณ” (心齋 การว่างแห่งใจ) หมายถึง การทำให้ใจว่างจากอคติและเสียงรบกวน (การวางใจเป็นกลาง) เพื่อฟังสิ่งที่เหนือกว่าคำพูด คือ เสียงแห่งธรรมชาติและเต้า ลักษณะสำคัญคือ ฟังอย่างไร้เงื่อนไข ไร้การแบ่งแยก การฟังเช่นนี้เป็นศักยภาพที่ทำให้มนุษย์เข้าถึงความสมดุลและสอดคล้องกับจักรวาล

เล่าจื๊อสอนว่า “ผู้ฟังอย่างแท้จริง ย่อมฟังความเงียบ” คำสอนนี้ชี้ว่า การฟังในมิติของเต๋าไม่จำกัดอยู่ที่การฟังถ้อยคำ แต่คือ การเปิดใจรับรู้สิ่งที่อยู่เหนือเสียงหรือคำพูด ฟังความจริงที่อยู่ในความว่าง

จวงจื๊อสอนว่า “เมื่อฟังด้วยหู ก็หยุดอยู่ที่หู เมื่อฟังด้วยใจ ก็หยุดอยู่ที่ใจ แต่เมื่อฟังด้วยชี่ (氣) หูก็ไม่ต้องพึ่งในการฟัง ใจก็ไม่ต้องพึ่งในการรู้ ชี่นั้นคือสิ่งที่ว่างและพร้อมจะรับทุกสิ่ง” คำสอนนี้สะท้อนแนวคิด “聽之以氣” (ฟังด้วยชี่/พลังชีวิต) ซึ่งเหนือกว่าการฟังด้วยอวัยวะหรือความคิด เป็นการฟังที่ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ แสดงออกมาเอง

สำนักเต๋ามองว่า การฟังที่แท้จริงไม่ใช่แค่ทักษะทางโสตประสาท แต่คือการปล่อยอัตตา และกลมกลืนกับธรรมชาติ

3. โมจื๊อและสำนักโม (墨家)

โมจื๊อ (墨子) เน้นการฟังในฐานะ “วิธีการถกเถียงและตรวจสอบความจริง” ท่านชี้ว่าผู้เรียนต้องฟังคำสอนหลายแง่มุม แล้วประเมินด้วยมาตรฐานสามประการ (三表法) ได้แก่ 1) หลักฐานจากประสบการณ์ 2) ความสอดคล้องกับบันทึกโบราณ และ 3) การประยุกต์ใช้ที่ก่อประโยชน์ต่อสังคม ลักษณะสำคัญคือ กระบวนการฟังเพื่อใช้เหตุผลและประเมินผลทางสังคม แนวทางนี้มุ่งสร้างผู้เรียนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเน้นการปฏิบัติตามหลัก “เจี้ยนอ้าย” (兼愛 ความรักเท่าเทียม)

โมจื๊อสอนว่า “ถ้อยคำทั้งหลายต้องมีสามมาตรฐาน ยึดคำสอนของบรรพกษัตริย์เป็นหลัก ใช้สิ่งที่หูตารับรู้ได้จริงเป็นเครื่องวัด และยึดประโยชน์ต่อแผ่นดินเป็นเป้าหมาย”

โมจื๊อยังสอนว่า “สุภาพชนไม่อาจไม่ตรวจสอบถ้อยคำ” สะท้อนแนวคิดว่า การฟังที่แท้จริงต้องเป็นการฟังอย่างตั้งใจ พร้อมการตรวจสอบ มิใช่เชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง

โมจื้อเน้นว่า ผู้ปกครองและประชาชนต้องฟังเสียงกันและกันอย่างตรงไปตรงมา มิใช่ฟังเพียงสิ่งที่อยากได้ยิน เพราะ ถ้าผู้ปกครองฟังแต่คนสรรเสริญ บ้านเมืองจะพินาศ ถ้าประชาชนไม่ฟังคำเตือน ก็จะทำผิดพลาดซ้ำ

สำนักโมมองว่า การฟังอย่างตั้งใจคือ การฟังอย่างมีเหตุผลและจริยธรรม เป็นคุณธรรมทางสังคมที่ทำให้เกิดการบริหารบ้านเมืองอย่างเป็นธรรมและสร้างประโยชน์ร่วมแก่สังคม

4. สำนักพุทธในจีน (佛家)

เมื่อพุทธศาสนาเผยแพร่เข้าสู่จีน แนวคิดเรื่อง การฟังธรรม (聞法) ได้รับการเน้นอย่างมาก ในนิกายมหายาน การฟังธรรมมิใช่เพียงการรับคำสอน แต่เป็นการสร้าง “ศราวกะ” (śrāvaka ผู้ฟัง) ซึ่งถือว่า การฟังอย่างตั้งใจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา (聞思修 ฟัง–คิด–ปฏิบัติ) ลักษณะสำคัญคือ การฟังเพื่อบ่มเพาะสติ สมาธิและปัญญา ผู้ที่ฟังอย่างตั้งใจย่อมนำไปสู่การรู้แจ้งความจริงอันประเสริฐ และการหลุดพ้นในที่สุด

พุทธธรรมสอนว่า “ผู้ฟังธรรมจะได้เป็นศราวกะ” นั่นคือ ผู้ที่ฟังธรรมด้วยความตั้งใจและไตร่ตรอง จะเกิดปัญญาและเข้าใจสัจธรรม การฟังเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการฟัง–คิด–ปฏิบัติ โดยการฟังเพื่อรับรู้คำสอนอย่างตั้งใจ การคิดเพื่อพิจารณาไตร่ตรองความหมายและความถูกต้อง และการปฏิบัติเพื่อที่จะได้นำไปปฏิบัติให้เกิดประสบการณ์จริง

พระโมคคัลลานะ สอนไว้ว่า “ผู้ปรารถนาปัญญา ต้องตั้งใจฟังธรรมก่อน” คำสอนนี้ชี้ชัดว่า การฟังมิใช่เพียงการได้ยิน แต่เป็นการตั้งใจรับรู้ด้วยสติและความเคารพต่อธรรม

คำสอนมหายานยุคแรกในจีน สอนว่า “การฟังธรรมต้องตั้งใจ หากจิตฟุ้งซ่าน ธรรมก็ไม่เข้าถึง” เพื่อชี้ว่า การฟังธรรมต้องไม่ขาดจากจิตที่สงบ

พระโพธิธรรม (ตักม้อ-ยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้) สอนว่า “ไม่ยึดติดถ้อยคำ แต่ชี้ตรงใจมนุษย์ ให้เห็นธรรมชาติของตน และบรรลุพุทธ” ท่านเน้นการฟังภายใน มองว่าแม้ถ้อยคำเป็นเพียงเครื่องมือ แต่การฟังด้วยจิตตั้งใจจะนำไปสู่การรู้แจ้งตัวตนและธรรมชาติแท้จริง

พระจงอู่ (ยุคราชวงศ์สุย-ถัง) สอนว่า “ฟังโดยไม่พิจารณา ก็เหมือนใส่หูเปล่า ๆ ฟังแล้วพิจารณา ก็เหมือนหว่านในดินใจ” เพื่อสอนว่า การฟังอย่างตั้งใจเป็นปัจจัยสำคัญแห่งการปฏิบัติสมาธิและปัญญา

สำนักพุทธในจีนมองว่า การฟังเป็นจุดเริ่มต้นของ ปัญญาและการปฏิบัติ การฟังอย่างตั้งใจช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจธรรมชาติของตนเองและจักรวาล นำไปสู่การบรรลุธรรมและความหลุดพ้น

บทสรุป

แนวคิดปรัชญาจีนได้สนับสนุนและยืนยันว่า “การฟังอย่างตั้งใจ” เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้และการบ่มเพาะปัญญา ตั้งแต่การฟังด้วยความเคารพ (หรู) การฟังด้วยใจว่าง (เต้า) การฟังเพื่อเหตุผลและสังคม (โม) การตั้งใจฟังเพื่อเริ่มต้นปัญญา (พุทธ) ความหลากหลายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมจีนที่ยกย่องการฟัง ไม่เพียงในฐานะของทักษะ แต่เป็นหนทางแห่งการพัฒนาตนเองและสังคมโดยรวม


Leave a comment