ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
บทนำ
ตั้งแต่แรกเริ่มแห่งอารยธรรม มนุษย์ได้หันหน้าเข้าหาความจริงของโลกและชีวิตด้วยความสงสัยใคร่รู้ ความประหลาดใจ และความไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนประสบ ปรากฏการณ์เหล่านี้เองคือจุดเริ่มต้นของปรัชญา (philosophia) คำที่มาจากภาษากรีกว่า philein + sophia หมายถึง ความรักในปัญญา ซึ่งมิใช่เพียงความอยากรู้อยากเห็นทั่วไป แต่เป็นความต้องการความหมายของการดำรงอยู่ (Aristotle, Metaphysics, Book I)
ปรัชญาเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์เริ่มตั้งคำถามต่อสิ่งที่ตนเคยยึดถือว่าแน่นอน เช่น “อะไรคือความจริง?” “ชีวิตมีความหมายอย่างไร?” “เราควรดำเนินชีวิตเช่นไรจึงจะดีงาม?” การตั้งคำถามเช่นนี้ไม่ใช่เพียงการแสวงหาคำตอบ หากแต่เป็นการเปิดประตูสู่มิติแห่งปัญญาและจิตวิญญาณ เพราะเมื่อมนุษย์เริ่มตั้งคำถาม มนุษย์ได้เริ่มเดินทางภายในจิตของตนเอง เดินทางเพื่อรู้จักสิ่งที่เป็นและสิ่งที่ควรเป็นของชีวิต (Plato, Theaetetus)
ในประวัติศาสตร์แห่งความคิด ปรัชญาไม่เคยเป็นเพียงศาสตร์ทางทฤษฎี หากแต่เป็นวิถีชีวิต (bios philosophikos) — แนวทางที่มนุษย์ใช้หล่อหลอมจิตใจและสติปัญญาให้บริสุทธิ์ขึ้น เพื่อเข้าใกล้สัจธรรม (Hadot, 1995) ปราชญ์กรีกเช่นโสเครตีส อริสโตเติล และเอพิกิวรุส ต่างเห็นพ้องกันว่า การเรียนรู้ทางปรัชญาคือการฝึกให้จิตรู้เท่าทันตนเองและโลก เป็นการศึกษาเพื่อชีวิตที่ดีมีความสุข (eudaimonia) ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงหรืออำนาจ แต่เพื่อการบรรลุสภาวะจิตที่สงบและเป็นอิสระ
ในอีกซีกโลกหนึ่ง ปรัชญาตะวันออกทั้งในพุทธ เต๋า และเวทานตะ ต่างก็มีแก่นสารคล้ายคลึงกัน นั่นคือ การมองว่าการรู้แจ้งตนเอง (self-realization) คือหนทางสูงสุดแห่งปัญญา พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ปัญญาเป็นแสงสว่างในตน” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการคิดอย่างมีเหตุผลและการภาวนาเป็นหนทางเดียวกันในเชิงจิตวิญญาณ ทั้งสองต่างมุ่งหมายให้มนุษย์ตื่นรู้จากอวิชชา และเข้าถึงความจริงอันประเสริฐของชีวิต
ดังนั้น การเรียนรู้และคิดอย่างปรัชญา จึงมิใช่เพียงเครื่องมือของนักวิชาการ หากเป็นกระบวนการของมนุษย์ทุกคนในการกลับมามองชีวิตอย่างลึกซึ้ง เพื่อเข้าใจความเป็นไปของโลก เข้าใจผู้อื่น และเข้าใจตนเองในฐานะส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง มันเป็นเสมือน “กระจกแห่งปัญญา” ที่สะท้อนให้เห็นทั้งความงามและความว่างของชีวิต
ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีและความเร่งรีบทางวัตถุครอบงำโลก การคิดอย่างปรัชญายิ่งมีความจำเป็นมากกว่าที่เคย เพราะมันช่วยฟื้นคืนความเป็นมนุษย์ จากการเป็นเพียงกลไกในระบบเศรษฐกิจหรือสังคม ปรัชญาช่วยให้มนุษย์ไม่หลงลืมคำถามที่แท้จริงของชีวิตว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด และจะดำรงอยู่อย่างมีความหมายได้อย่างไร การเรียนรู้เชิงปรัชญาจึงเป็นหนทางแห่งการปลุกจิตวิญญาณให้ตื่นรู้ เป็นการกลับคืนสู่แก่นแท้ของการเป็นมนุษย์ ซึ่งคือการแสวงหาความดี ความจริง และความงามอย่างไม่สิ้นสุด
ปรัชญาในฐานะกระบวนการของการเรียนรู้ตนเอง
การเรียนรู้ทางปรัชญาเริ่มต้นจาก “ความสงสัย” (wonder) ซึ่งอริสโตเติลกล่าวว่าเป็น “ต้นกำเนิดของปัญญา” (Aristotle, Metaphysics, Book I, 982b12) ความสงสัยนี้มิใช่ความไม่เชื่อ หากแต่เป็นพลังของจิตที่แสวงหาความจริงด้วยความถ่อมตนและความตื่นรู้ มนุษย์เมื่อเริ่มตั้งคำถามต่อสิ่งที่ตนเคยเชื่อว่าแน่นอน เช่น “ฉันคือใคร?” “โลกนี้มีความหมายเช่นไร?” หรือ “สิ่งใดคือความดีแท้?” ก็ได้เริ่มก้าวเข้าสู่การเรียนรู้ในเชิงปรัชญา ซึ่งเป็นการ “เดินทางภายใน” มากกว่าการสั่งสมความรู้ภายนอก
โสเครตีสได้ยืนยันไว้ใน Apology ว่า “ชีวิตที่ปราศจากการใคร่ครวญไม่ควรค่าแก่การดำรงอยู่” (the unexamined life is not worth living) เพราะเมื่อมนุษย์ไม่รู้จักตั้งคำถามต่อชีวิตของตนเอง เขาก็จะกลายเป็นเพียงผู้ดำเนินตามแรงปรารถนาและความเชื่อของสังคมโดยไม่รู้ตัว การเรียนรู้เชิงปรัชญาจึงเป็นกระบวนการปลุกให้จิตตื่นจากความเคยชิน และเปิดพื้นที่ให้เกิดการพิจารณาอย่างลึกซึ้งระหว่างสิ่งที่เป็นจริงกับสิ่งที่เราคิดว่าจริง
ปรัชญาจิตวิทยามองว่า การรู้จักตนเอง (self-knowledge) เป็นเงื่อนไขของเสรีภาพทางจิตใจ เพราะผู้ที่ไม่เข้าใจตนเองย่อมถูกครอบงำโดยอารมณ์ ความกลัว และอคติของตน (Kant, Critique of Practical Reason, 1788) การใคร่ครวญทางปรัชญาจึงเปรียบเสมือน กระจกภายในที่สะท้อนให้มนุษย์เห็นทั้งส่วนที่สว่างและมืดของตนเอง เห็นความเปราะบาง ความไม่แน่นอน และความเป็นไปของสภาวธรรม ซึ่งเมื่อมองเห็นอย่างไม่ปฏิเสธ ก็ย่อมเกิดปัญญาอันแท้จริง
ในมิติของจิตวิญญาณตะวันออก การเรียนรู้ตนเองมิใช่เพียงการวิเคราะห์จิตใจ แต่คือการรู้แจ้งตน (ātma-jñāna) หรือการตระหนักรู้ในธรรมชาติเดิมของตนที่ปราศจากอัตตา เช่น ใน อุปนิษัท กล่าวว่า “ผู้ใดรู้จักอาตมัน ผู้นั้นรู้จักพรหมัน” (Chandogya Upanishad, VI.8.7) หมายความว่าการรู้ตนคือการรู้จักความเป็นจริงสูงสุดของจักรวาล ซึ่งสอดคล้องกับหลัก โยนิโสมนสิการในพระพุทธศาสนา ที่เน้นการใคร่ครวญอย่างแยบคายเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง (พระพรหมคุณาภรณ์, 2549)
กระบวนการเรียนรู้เชิงปรัชญานี้ยังทำหน้าที่เป็นการปลดปล่อยจิต (liberation of the mind) จากการยึดติดในภาพลวงตาของอัตตา มนุษย์ผู้ยังไม่ผ่านการใคร่ครวญย่อมมองโลกผ่านกรอบของตนเอง เห็นสิ่งต่าง ๆ ผ่านอคติ ความต้องการ และผลประโยชน์ แต่ผู้ที่ฝึกคิดอย่างปรัชญา จะเริ่มเห็นว่าความคิดของตนมิใช่ตัวตน และความจริงมิได้ขึ้นอยู่กับการยึดถือใด ๆ การรู้เช่นนี้นำไปสู่ภาวะจิตที่เปิดกว้าง อดทน และอ่อนโยน ซึ่งเป็นรากฐานของคุณธรรมทุกประการ
เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักตนเอง เขาจะเริ่มเข้าใจผู้อื่นด้วย เพราะความรู้ตนเองเผยให้เห็นสภาวะร่วมของความเป็นมนุษย์ ความไม่สมบูรณ์ ความเปลี่ยนแปลง และความต้องการความหมายร่วมกัน นี่คือจุดที่ปรัชญาเปลี่ยนจากการคิดเชิงปัญญาไปสู่การมีเมตตาเชิงปัญญา (compassionate wisdom) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักคิดอย่างมาร์คุส เอาริเลียส เรียกว่า ความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ร่วมกันของสรรพสิ่ง (Meditations, II.1)
ดังนั้น การเรียนรู้ตนเองในทางปรัชญาจึงมิใช่เรื่องส่วนตัว หากเป็นกระบวนการที่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลกโดยรวม เพราะผู้ที่รู้จักตนเองอย่างลึกซึ้ง ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยอวิชชา และจะดำเนินชีวิตอย่างมีสติ สมดุล และเคารพในความจริงของชีวิตทุกชีวิต
ปรัชญาในฐานะกระบวนการของการเรียนรู้ตนเองคือ ศิลปะแห่งการมองเข้าไปข้างใน เพื่อกลับมามีสายตาที่กว้างขวางขึ้นต่อโลกภายนอก มันทำให้มนุษย์เข้าใจว่า การรู้จักตนมิใช่การแยกตัวออกจากโลก แต่คือการกลับคืนสู่ธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ที่ตระหนักรู้และมีจิตใจอันเป็นอิสระอย่างแท้จริง
ปรัชญาในฐานะการฝึกฝนปัญญาและคุณธรรม
ในทัศนะของอริสโตเติล ปรัชญาแบ่งออกเป็นสามมิติ ได้แก่ ปรัชญาทฤษฎี (theoretical philosophy) ปรัชญาปฏิบัติ (practical philosophy) และปรัชญาสร้างสรรค์ (poietic philosophy) ซึ่งในบรรดานี้ ปรัชญาปฏิบัติ ภาษากรีกคือ phronesis เป็นสิ่งที่สัมพันธ์โดยตรงกับการใช้ชีวิตอย่างดีงาม (Aristotle, Nicomachean Ethics, Book VI)
เขากล่าวว่า “คนที่มีปัญญาเชิงปฏิบัติ คือผู้ที่สามารถเห็นได้ว่า อะไรคือสิ่งดีสำหรับมนุษย์ในชีวิตทั้งหมดของเขา” ซึ่งหมายความว่า ปัญญาไม่ใช่ความรู้เชิงเทคนิคหรือข้อมูล (episteme) แต่คือความสามารถในการใช้เหตุผลร่วมกับคุณธรรม เพื่อเลือกการกระทำที่เหมาะสมในบริบทเฉพาะของชีวิตจริง
ในมุมมองนี้ การฝึกปรัชญาเปรียบได้กับการชำระใจ (catharsis) ของจิตปัญญา เพราะมันบังคับให้มนุษย์ตรวจสอบแรงจูงใจ ความปรารถนา และค่านิยมของตนอย่างต่อเนื่อง ปรัชญาไม่สอนให้เชื่อ แต่สอนให้ ใคร่ครวญก่อนเชื่อ การฝึกเช่นนี้ทำให้ปัญญาเติบโตจากภายใน มิใช่จากการท่องจำภายนอก
โสเครตีสเองถือว่า การสนทนาเชิงปรัชญา (Socratic dialogue) คือ ศิลปะแห่งการทำเกิดของจิต (maieutic art) เพราะผ่านการซักถามและไตร่ตรอง มนุษย์จะสามารถคลอดปัญญาออกจากใจของตนเอง (Plato, Theaetetus) ปรัชญาจึงไม่ใช่เพียงการเรียนรู้เนื้อหาของความจริง แต่คือการฝึกรูปแบบของการคิดอย่างมีเหตุผลและมีความรับผิดชอบต่อความจริง
ในพุทธปรัชญา ปัญญา (paññā) มิได้หมายถึงความรู้ แต่หมายถึง การเห็นตามความเป็นจริง (yathābhūta-ñāṇadassana) ซึ่งเกิดขึ้นจากการฝึกสติและสมาธิให้มั่นคง (พระพรหมคุณาภรณ์, 2549) พุทธะมิได้สอนให้มนุษย์เพียงเข้าใจธรรมทางทฤษฎี แต่ให้ฝึกภาวนาเพื่อให้ความรู้กลายเป็นการรู้ (knowing as being)
ระบบความคิดกรีกและพุทธต่างมองว่า ปรัชญาเป็นการฝึกให้ปัญญาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มิใช่เพียงการสะสมความรู้ในสมอง
เมื่อปัญญาเติบโต ย่อมผลิดอกออกผลเป็นคุณธรรม (virtue หรือ aretē) ซึ่งในปรัชญากรีกหมายถึง ความเป็นเลิศแห่งการดำรงอยู่ (excellence of being) อริสโตเติลอธิบายว่า คุณธรรมเป็นผลของการกระทำซ้ำ ๆ ด้วยเจตนาดี จนกลายเป็นนิสัยทางจิตที่มั่นคง (Nicomachean Ethics, Book II) การฝึกฝนคุณธรรมจึงมิใช่เพียงการเชื่อฟังศีลธรรมจากภายนอก แต่คือการสร้างภาวะสมดุลระหว่างอารมณ์ เหตุผล และความตั้งใจ ซึ่งนำไปสู่ความสุขอย่างแท้จริง
ในขณะที่สโตอิก (Stoicism) เช่น เซเนกา เอปิกเทตัส และมาร์คุส เอาริเลียส เห็นว่าคุณธรรมคือหนทางสู่เสรีภาพ เพราะมนุษย์จะเป็นอิสระได้ก็ต่อเมื่อเขาไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์และสิ่งภายนอก (Aurelius, Meditations, IV.3) การฝึกคุณธรรมจึงเท่ากับการฝึก ความสงบของใจท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก
ในพุทธธรรม แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักศีล–สมาธิ–ปัญญา ซึ่งเป็นโครงสร้างแห่งการพัฒนามนุษย์ที่ครบวงจร ศีลทำให้จิตสงบ สมาธิทำให้ใจมั่นคง และปัญญาทำให้เห็นตามจริง กระบวนการนี้คือ การฝึกฝนคุณธรรมจากภายใน มิใช่การบังคับตนเองด้วยศีลธรรมภายนอก แต่เป็นการกล่อมเกลาจิตใจด้วยการตระหนักรู้ (พระพรหมคุณาภรณ์, 2549)
เมื่อมองในเชิงจิตวิญญาณ ปรัชญาทั้งสองสายต่างยืนยันว่า คุณธรรมคือการสะท้อนของปัญญาที่ตื่นแล้ว เมื่อมนุษย์เข้าใจความจริงของชีวิต เขาจะไม่ต้องพยายามทำดี เพราะความดีจะไหลออกมาจากใจอย่างเป็นธรรมชาติ เช่นที่เอพิคิวรุสกล่าวว่า ชีวิตที่สุขแท้คือชีวิตที่มีความดีงามในตัวมันเอง (Epicurus, Letter to Menoeceus) และในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้ (Dhammapada, 35)
หากพิจารณาโดยรวม ปรัชญาไม่ได้มุ่งเน้นเพียงความรู้ หรือศีลธรรม แต่คือการบูรณาการทั้งสองเป็นหนึ่งเดียว เพราะปัญญาที่ปราศจากคุณธรรมย่อมกลายเป็นความเย่อหยิ่ง ส่วนคุณธรรมที่ขาดปัญญาย่อมกลายเป็นความงมงาย ปรัชญาจึงเป็นหนทางแห่งความสมดุล ระหว่างการคิดและการเป็น
ในเชิงตรรกะ มนุษย์ที่คิดอย่างปรัชญาจะมองเห็นเหตุและผลของการกระทำ เข้าใจผลลัพธ์ของสิ่งที่ตนทำต่อผู้อื่นและต่อโลก ซึ่งก่อให้เกิดความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม (ethical responsibility) ในเชิงจิตวิญญาณ การคิดอย่างปรัชญาช่วยให้มนุษย์อยู่ในโลกโดยไม่ถูกโลกกลืน เป็นการดำรงอยู่ด้วยสติ รู้เท่าทันอารมณ์ และเลือกทางที่ดีด้วยความมั่นคงจากภายใน
ปรัชญาจึงอยู่ในฐานะการฝึกฝนปัญญาและคุณธรรมคือ การพัฒนามนุษย์ให้สมบูรณ์ทั้งในด้านเหตุผลและหัวใจ เป็นการเดินทางจากการรู้ไปสู่การเป็น (from knowing to being) และจากความคิดไปสู่ความตื่นรู้ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการเป็นมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย
ปรัชญาในฐานะสะพานเชื่อมมนุษย์กับความหมายของโลก
การคิดเชิงปรัชญามิได้เป็นเพียงกิจกรรมทางปัญญา แต่เป็นรากฐานของการดำรงอยู่ (existence) ของมนุษย์ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความไม่แน่นอน การเรียนรู้ปรัชญาช่วยให้มนุษย์ตระหนักถึงความหมายของชีวิต (meaning of life) ความจริง (truth) และคุณค่าทางศีลธรรม (moral value) ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่หล่อหลอมจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ให้เติบโตอย่างแท้จริง
มนุษย์มีความสามารถเฉพาะในการตั้งคำถามต่อการมีอยู่ของตนเอง เช่น “เราคือใคร?” “เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?” และ “โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มีความหมายอย่างไร?” คำถามเหล่านี้เป็นรากเหง้าของปรัชญาทั้งปวง (Russell, 1945) การเรียนรู้ปรัชญาจึงช่วยเปิดประตูให้มนุษย์เข้าใจภายในของตนเอง ผ่านการพินิจพิเคราะห์ความคิด อารมณ์ ความเชื่อ และแรงขับทางจิตใจ
อริสโตเติล (Aristotle, Metaphysics) กล่าวไว้ว่า มนุษย์โดยธรรมชาติใฝ่รู้ แปลว่า มนุษย์มีแรงขับภายในที่ต้องการเข้าใจความจริง ปรัชญาจึงทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนให้มนุษย์เห็นภาพความเป็นจริงของชีวิต ทั้งในมิติภายนอก (โลกและสังคม) และมิติภายใน (จิตใจและสำนึก) การเรียนรู้ปรัชญาในแง่นี้ไม่ใช่เพียงการรู้ในเชิงข้อมูล แต่เป็นการรู้เพื่อเป็น (knowing to be) เป็นการรู้ที่หล่อหลอมตัวตนให้มีความสมบูรณ์
ในประวัติศาสตร์ปรัชญา เราพบว่าการไตร่ตรองทางปรัชญามักมุ่งสู่การสร้างชีวิตที่ดี (the good life) โสเครตีสเคยกล่าวว่า ชีวิตที่ไม่ใคร่ครวญไตร่ตรอง ไม่ควรค่าแก่การดำรงอยู่ (The Apology) แสดงให้เห็นว่า การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพต้องอาศัยการตั้งคำถาม การใคร่ครวญ และการรู้จักตรวจสอบตนเอง
เมื่อมนุษย์ฝึกคิดเชิงปรัชญา เขาย่อมไม่ตกอยู่ในอำนาจของอารมณ์หรือความเชื่อที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรอง แต่จะมีจิตสำนึกทางศีลธรรม (moral consciousness) ที่เกิดจากการเข้าใจเหตุผลของการกระทำ ปรัชญาจึงมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างคนดีที่รู้เหตุรู้ผล มิใช่การสร้างคนดีที่เชื่อฟัง แนวคิดนี้สอดคล้องกับพุทธธรรมในพระไตรปิฎก ที่สอนให้มนุษย์มี ปัญญาเป็นเครื่องนำทาง เช่นในกาลามสูตรที่ตรัสให้ไม่เชื่อเพียงเพราะได้ยินตามกันมา แต่ให้พิจารณาด้วยปัญญาเห็นชัดเอง
การคิดเชิงปรัชญาไม่เพียงสร้างเหตุผลและความเข้าใจ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้มนุษย์ได้สัมผัส ภาวะเหนือความคิด (transcendental awareness) หรือสิ่งที่เรียกว่า มิติจิตวิญญาณ (spiritual dimension) เพราะเมื่อมนุษย์ตั้งคำถามถึงความจริงสูงสุด เขาจะพบว่าความรู้มิได้จำกัดอยู่ที่โลกวัตถุ แต่แผ่ไปถึงมิติแห่งความเงียบ ความว่าง และความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง
ปรัชญาตะวันออกในแนวพุทธและเต๋าต่างก็เห็นว่า การใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งนำไปสู่ความเข้าใจที่พ้นจากทวินิยม (duality) การเห็นโลกไม่แยกจากตนเอง ซึ่งเป็นการบรรลุสภาวะรู้แจ้ง (enlightenment) ในอีกด้านหนึ่ง ปรัชญาตะวันตก เช่น มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Being and Time) ก็ชี้ให้เห็นว่า การตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ (Being) คือ การเปิดเผยความจริงเชิงภววิทยา (ontological truth) ซึ่งทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากการดำเนินชีวิตแบบกลไกและหันกลับมาเป็นอยู่ด้วยความตระหนักรู้
ปรัชญาจึงมิได้เป็นเพียงศาสตร์ของการคิด แต่เป็นศาสตร์ของการตื่นรู้ (awakening) ซึ่งนำพาชีวิตให้เชื่อมโยงกับธรรมชาติและจักรวาลอย่างลึกซึ้ง เป็นการยกระดับจิตวิญญาณจากความมืดแห่งอวิชชาไปสู่ความสว่างแห่งปัญญา
ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีและข่าวสารหลั่งไหลอย่างมหาศาล ปรัชญายิ่งทวีความสำคัญ เพราะช่วยให้มนุษย์ไม่หลงไปกับความรวดเร็วฉับไวและฉาบฉวยของโลกภายนอก แต่กลับมาสู่การพิจารณาโลกภายในอย่างมีเหตุผลและสมดุล นักปรัชญาร่วมสมัยอย่าง ฮันนา อาเรนดท์ (Hannah Arendt, 1958) กล่าวว่า การคิดคือ กิจกรรมที่ทำให้มนุษย์ยังเป็นมนุษย์อยู่ เพราะมันป้องกันไม่ให้มนุษย์กลายเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามระบบโดยไร้สำนึก
การฝึกคิดเชิงปรัชญาจึงเป็นการฝึกจิตให้มีความมั่นคงทางอารมณ์ มีสติ และมีความสามารถในการเห็นความจริงหลากหลายด้าน การพิจารณาเหตุผล-เหตุปัจจัยของความคิดอย่างมีสติก็ย่อมเพื่อให้เห็นธรรมชาติของความเปลี่ยนแปลงและปล่อยวางได้
ปรัชญากับการยกระดับจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์
โสเครตีสเห็นว่าการตั้งคำถามกับตนเองเป็นหนทางสู่ชีวิตที่ดี (the examined life) ส่วนในโลกตะวันออก พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มนุษย์รู้จักพิจารณาตนเองด้วยสติ เพื่อเห็นความจริงตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตามความเชื่อหรือความยึดมั่น ความตื่นรู้ในทั้งสองแนวคิดนี้จึงมีแก่นร่วมคือ การหันกลับมาสู่ภายในและปลดปล่อยจากมายาแห่งอัตตา (egoic illusion)
ในมิตินี้ การเรียนรู้ปรัชญาจึงเป็นการฝึกตื่นรู้ในระดับลึก ไม่เพียงต่อโลกภายนอก แต่ต่อจิตภายในของเราเอง ซึ่งเป็นต้นธารของการพัฒนาอย่างแท้จริงของจิตวิญญาณมนุษย์
ความรู้เชิงเหตุผลช่วยให้มนุษย์เข้าใจสิ่งต่าง ๆ แต่ ปัญญาเชิงจิตวิญญาณ (spiritual wisdom) ช่วยให้มนุษย์เข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างมีความหมาย ปรัชญาทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างความคิดเชิงตรรกะ (logical thinking) และความเข้าใจเชิงภายใน (inner comprehension)
ในแง่นี้ การคิดเชิงปรัชญา จึงไม่ใช่เพียงการใช้เหตุผลแบบเย็นชา แต่เป็นการไตร่ตรองที่เปี่ยมด้วยจิตสำนึก เช่นเดียวกับที่ มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Heidegger, 1927) กล่าวไว้ว่า การคิดแท้จริงมิใช่เพียงการคำนวณ แต่คือการรำพึงถึงความหมายของการดำรงอยู่” (Thinking is not calculating, but dwelling upon Being) การรำพึงเช่นนี้เปิดประตูให้มนุษย์สัมผัสความลึกซึ้งของชีวิต เห็นว่าตนมิได้แยกจากธรรมชาติหรือสรรพสิ่ง หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นทั้งหมด (wholeness of being)
เมื่อเหตุผลและความรู้สึกถูกประสานเข้าด้วยกันผ่านการไตร่ตรองเชิงปรัชญา จิตวิญญาณของมนุษย์จึงถูกยกระดับจากการคิดเพื่อเอาชนะโลกไปสู่การคิดเพื่ออยู่ร่วมกับโลกอย่างเข้าใจ
โสเครตีสใช้คำว่า psychē katharsis (การชำระจิตใจ) เพื่ออธิบายผลลัพธ์ของการตั้งคำถามปรัชญา ในทำนองเดียวกัน ปรัชญาในแนวพุทธ เช่น โยนิโสมนสิการ (การพิจารณาโดยแยบคาย) ก็เป็นการชำระทัศนคติและความเห็นผิดออกจากใจ
กระบวนการนี้มิได้เป็นเพียงการขจัดความคิดที่ไม่ถูกต้อง แต่คือการทำให้ใจโปร่งใสพร้อมรับแสงแห่งปัญญา เช่นเดียวกับการเจียระไนเพชรให้สะท้อนแสงได้ชัดขึ้น ดังนั้น การฝึกคิดอย่างปรัชญาจึงเป็นกระบวนการชำระล้างจิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากความสับสนสู่ความเข้าใจ จากความคับแคบสู่ความกว้างใหญ่ และจากการเห็นตนแยกจากโลกสู่การเห็นตนเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง
นักปรัชญาฝรั่งเศส ปิแอร์ อาโด (Pierre Hadot, 1995) เรียกสิ่งนี้ว่า ปรัชญาในฐานะวิถีแห่งชีวิต (Philosophy as a Way of Life) ซึ่งหมายถึง การใช้ปรัชญาเป็นการฝึกจิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงการศึกษาในห้องเรียน เมื่อปรัชญากลายเป็นวิถีชีวิต มันจึงเป็นกระบวนการฟื้นฟูจิตวิญญาณให้มีความสงบ สว่าง และมีเมตตา
การคิดเชิงปรัชญาแท้จริงไม่จบลงที่การเข้าใจตนเองเท่านั้น แต่ขยายออกไปสู่การเข้าใจ “ความเป็นมนุษย์ร่วมกัน (shared humanity) เพราะเมื่อมนุษย์รู้จักไตร่ตรองในระดับลึก เขาจะเห็นความเชื่อมโยงของตนกับผู้อื่นและโลกทั้งมวล
สิ่งที่ขัดขวางการยกระดับจิตวิญญาณมากที่สุดคือ อัตตา (ego) หรือการยึดตนเป็นศูนย์กลาง ปรัชญาจึงทำหน้าที่คลี่คลายอัตตานี้ด้วยการเปิดมุมมองใหม่ต่อความเป็นจริง
ไฮเดกเกอร์เห็นว่า มนุษย์ในยุคเทคโนโลยีหลงเข้าใจตนว่าเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่ง (subject of control) แต่การคิดเชิงปรัชญาแท้จริงคือการกลับมาสู่ภาวะของการเป็นอยู่ด้วยความเคารพต่อสิ่งที่มีอยู่(reverent dwelling)
ในพุทธปรัชญา การละอัตตา (anattā) เป็นหัวใจของการตื่นรู้ เพราะเมื่อเห็นว่าตนไม่ใช่สิ่งแยกขาดจากโลก จิตจะไม่ดิ้นรน ไม่หลง และเกิดความสงบลึก ความสงบที่ไม่ขึ้นกับสิ่งภายนอกแต่เกิดจากความเข้าใจอันแจ่มชัด
ดังนั้น ปรัชญาจึงไม่เพียงทำให้มนุษย์คิดดีขึ้นแต่ทำให้มนุษย์เป็นอยู่ดีขึ้น (to live more consciously, more compassionately, more freely).
สรุป
การเรียนรู้และคิดอย่างปรัชญามิได้เป็นเพียงกิจกรรมของนักคิด หากแต่เป็นหนทางของการดำรงชีวิตอย่างมีสติ ปัญญา และคุณธรรม มันช่วยให้มนุษย์รู้จักตนเอง เข้าใจโลก และเข้าถึงความหมายของการมีชีวิต การฝึกคิดอย่างปรัชญาจึงเป็นการพัฒนาทั้งสมองและหัวใจ เป็น ศิลปะของการเป็นมนุษย์ ที่แท้จริง และเป็นรากฐานของทุกศาสตร์แห่งมนุษยธรรม
เอกสารอ้างอิง
Aristotle. Metaphysics. Book I.
Aristotle. Nicomachean Ethics. Book VI.
Aurelius, M. (2nd century). Meditations.
Hadot, P. (1995). Philosophy as a Way of Life. Oxford University Press.
Heidegger, M. (1927). Being and Time. Niemeyer.
Kant, I. (1788). Critique of Practical Reason.
Plato. Apology.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (2549). พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ. กรุงเทพฯ: บริษัท สหธรรมิก จำกัด.

