ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
บทนำ
ในสังคมไทย คำว่า “ญาติ” มีความหมายที่ขยายไปไกลกว่าสายโลหิตหรือเครือวงศ์ทางชีววิทยา คนไทยมักเรียกผู้คนรอบตัวว่า พี่ น้อง ลุง ป้า พ่อ แม่ แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดโดยตรง การเรียกเช่นนี้ไม่ใช่เพียงมารยาท แต่เป็นการแสดงออกทางจิตสำนึกถึง ความเป็นเครือญาติทางจิตวิญญาณ (spiritual kinship) หรือ ญาติธรรมที่เชื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายมีความสัมพันธ์ต่อกันในระดับภาวะ (being)
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนรากฐานปรัชญาไทยซึ่งได้รับอิทธิพลจากพุทธธรรมเรื่อง อิทัปปัจจยตา (ธรรมทั้งหลายอาศัยกันและกันเกิดขึ้น) และแนวคิดเรื่องบุญกรรมสัมพันธ์อันมองโลกในฐานะโครงข่ายแห่งความสัมพันธ์ต่อเนื่อง (พระพรหมคุณาภรณ์, 2549) การนับญาติพี่น้องกับผู้อื่นจึงมิใช่เพียงพฤติกรรมเชิงวัฒนธรรม แต่เป็นการเปิดเผยความเป็นอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในเชิงภววิทยา
ความเป็นญาติในปรัชญาไทย
แนวคิดพื้นฐานของไทยเกี่ยวกับญาติไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างทางสายโลหิต แต่เป็น โครงสร้างแห่งจิตวิญญาณทางสัมพันธ์ (relational spirit) ที่สะท้อนแนวคิดหลัก 3 ประการในปรัชญาไทยคือ
- ญาติในฐานะภาวะของการเกื้อหนุนกัน (Interdependent Benevolence)
สำนึกเรื่องญาติในวัฒนธรรมไทยมีรากอยู่ในความเชื่อว่า มนุษย์อาศัยกันอยู่ สังคมไทยโดยรากฐานถือว่ามนุษย์ไม่อาจดำรงอยู่โดดเดี่ยวได้ หรืออยู่ร่วมด้วยการอนุเคราะห์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธปรัชญาเรื่อง อิทัปปัจจยตา — ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยอื่น (พระธรรมปิฎก, 2552) การเรียกผู้อื่นว่า พี่หรือน้อง คือ การขยายอาณาเขตของตน ให้รวมถึงผู้อื่น ให้เป็นเครือญาติทางจิต ไม่จำกัดด้วยสายเลือด ภายใต้ภาวะของการมีอยู่ร่วม (co-being, being-with) ซึ่งเป็นรากฐานแห่งความเป็นมนุษย์ในสำนึกไทย ญาติในสำนึกไทยจึงเป็นระบบสัมพันธ์แห่งความเป็นมนุษย์ร่วมกันมากกว่าระบบสืบเชื้อสาย
2. ญาติในฐานะผลของบุญกรรมและสายใยแห่งภพชาติ
แนวคิดไทยถือว่าการพบเจอกันมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากกรรมสัมพันธ์ หรือบุญสัมพันธ์ ที่ผูกโยงสรรพสัตว์ไว้ในโครงข่ายแห่งภพชาติ (พระไพศาล วิสาโล, 2557) พุทธปรัชญาแบบไทยเชื่อว่า บุคคลไม่ได้เกิดแยกจากกันโดยบังเอิญ แต่มีสายใยกรรม (karmic interconnectedness) ที่ทำให้มาเกิดในสังคมหรือวงสัมพันธ์เดียวกัน การรู้สึกผูกพันกับผู้หนึ่งผู้ใดจึงถูกมองว่า เคยเป็นญาติกันมาแต่ปางก่อน ซึ่งคือการตีความเชิงภววิทยาว่า ตัวตนมิใช่เอกัตถะ หากเป็นผลรวมของเหตุปัจจัยร่วม นั่นคือ การรับรู้ว่า เรามีกรรมร่วมหรือบุญสัมพันธ์ผ่านตัวตนที่เกิดและดำรงในโครงข่ายแห่งกรรม การนับญาติพี่น้องจึงเป็นการปฏิบัติภาวะ “เรา” แทน “ฉัน”
3. ญาติในฐานะความเป็นหนึ่งแห่งสามัคคีธรรม
ความเป็นไทยในระดับจิตสำนึกมักมองตนเองผ่านแนวคิดสามัคคี หรือ ความเป็นหนึ่งแห่งความหลากหลาย (unity in multiplicity) ความเป็นญาติสะท้อนสามัคคีธรรมซึ่งเป็นหนึ่งในคุณค่าหลักของสังคมไทย หมายถึง การดำรงอยู่ร่วมกันในความหลากหลาย เห็นความเป็นญาติในสรรพชีวิต สังคมไทยจึงไม่แยกตัวตนออกจากส่วนรวม แต่รับรู้ตนในผู้อื่นและผู้อื่นในตน (mutual embeddedness) เป็นภววิทยาแห่งเรา (we-being) ที่หลอมรวมตนและโลกเข้าด้วยกันอย่างไม่แบ่งแยก
การตีความบนฐานสำนักคิดไฮเดกเกอร์
ไฮเดกเกอร์ (Heidegger, 1962) เสนอว่า การมีอยู่ของมนุษย์ (Dasein) ไม่สามารถเข้าใจได้จากการแยกออกมาพิจารณาโดดเดี่ยว มนุษย์คือ การมีอยู่ในโลก (Being-in-the-world) ซึ่งโดยโครงสร้างแล้วรวมถึงการมีอยู่ร่วมกับผู้อื่น (Mitsein) ผู้อื่นจึงมิใช่วัตถุภายนอก แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการดำรงอยู่ของเราเอง
เมื่อมองผ่านกรอบคิดของไฮเดกเกอร์นี้ การนับญาติในสังคมไทยสามารถตีความได้ว่าเป็นการเปิดเผย (disclosure) ของโครงสร้าง Mitsein ในรูปแบบทางวัฒนธรรม กล่าวคือ การเรียกขานผู้อื่นว่า ญาติ คือการรับรู้ว่า ฉันมีอยู่ เพราะเราอยู่ร่วมกัน (I am because we are) ความสัมพันธ์เช่นนี้มิได้เพียงแนวคิดเชิงจริยศาสตร์ แต่เป็นภาวะเชิงภววิทยาโดยตรง
ไฮเดกเกอร์กล่าวว่า โลก (world) จะมีความหมายได้ก็ต่อเมื่อ Dasein มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในโลกนั้น (Heidegger, 1962: 26–27) ดังนั้น การนับญาติในสำนึกอย่างไทยคือ การสร้างโลกแห่งความหมายร่วม (shared world of significance) ซึ่งในพุทธปรัชญาก็คือโลกแห่งกัลยาณมิตรที่เป็นเงื่อนไขให้ปัญญาเกิดขึ้น
| มิติ | ปรัชญาไทย | ไฮเดกเกอร์ |
|---|---|---|
| โครงสร้างตัวตน | ตัวตนคือ จิตสัมพันธ์ เกิดจากความสัมพันธ์และกรรมร่วม | Dasein คือ การมีอยู่ในโลก (Being-in-the-world) ที่สัมพันธ์กับผู้อื่น (Mitsein) |
| ความสัมพันธ์กับผู้อื่น (the Other) | ผู้อื่นคือ ญาติ เป็นการขยายขอบเขตแห่งตนให้ครอบคลุมผู้อื่น | ผู้อื่นคือ ส่วนหนึ่งของภาวะการมีอยู่ของเรา |
| โลก | โลกคือ สนามแห่งกรรมร่วม | โลกคือ พื้นที่แห่งความหมายที่เกิดจากการอยู่ร่วม |
| จุดหมาย | ความสามัคคี เมตตา และความเกื้อกูล | การเปิดเผยความเป็นอยู่แท้จริงของมนุษย์ (Dasein) ผ่านความสัมพันธ์ (Being-with) |
แนวคิดเกี่ยวกับตัวเองและผู้อื่นของไทยและของไฮเดกเกอร์ต่างก็มุ่งสู่การเข้าใจตัวตนในฐานะสิ่งที่ไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยปราศจากผู้อื่น การนับญาติในสังคมไทยจึงมิใช่เพียงค่านิยมทางสังคม และยิ่งมิใช่เพียงสัญลักษณ์ของความเป็นมิตร (friendship) แต่เป็นการปฏิบัติภาวะภววิทยาแห่งเมตตา (ontological compassion relationality)
สรุป
แนวคิดไทยเรื่องญาติ จึงเป็นการแสดงออกของภาวะการมีอยู่ร่วมที่หยั่งรากในพุทธปรัชญาและจิตสำนึกทางวัฒนธรรมของไทย การนับญาติพี่น้องกับผู้อื่นของคนไทยสะท้อนการรับรู้ว่าชีวิตทั้งหมดคือ การดำรงอยู่ในโครงข่ายของเหตุปัจจัยร่วม เมื่อเทียบกับปรัชญาของไฮเดกเกอร์ แนวคิดนี้สอดคล้องกับโครงสร้าง Mitsein ซึ่งมองมนุษย์ในฐานะผู้เป็นอยู่ร่วมกัน (Being-with) และเป็นการทำให้โลกมีความหมาย
ดังนั้น ความเป็นญาติในสำนึกอย่างไทยสามารถถือได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของภววิทยาแห่งความสัมพันธ์ (Relational Ontology) ที่รวมมิติพุทธปรัชญาเข้ากับมิติตัวตนของไฮเดกเกอร์ ผ่านแนวคิดการมีอยู่ร่วมกับผู้อื่น และนำไปสู่ความเข้าใจว่าตัวตนมิได้ดำรงอยู่ด้วยตัวเอง แต่เป็นการดำรงอยู่ที่เปิดออกสู่ความสัมพันธ์ เป็นการเปิดพื้นที่แห่งการมีอยู่ร่วม (shared world) ซึ่งในที่สุดคือ รากของความเมตตา ความสามัคคี และการเข้าใจโลกอย่างไม่แบ่งแยก
บรรณานุกรม
- พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). (2552). พุทธธรรม (ฉบับขยายความ). กรุงเทพฯ: บริษัท สหธรรมิก จำกัด.
- พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (2549). ธรรมะกับความเป็นไทย. กรุงเทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม.
- พระไพศาล วิสาโล. (2557). ธรรมชาติแห่งความสัมพันธ์. กรุงเทพฯ: สถาบันชลโยธร.
- Heidegger, M. (1962). Being and Time (Trans. J. Macquarrie & E. Robinson). New York: Harper & Row.
- Hall, D. L. & Ames, R. T. (1995). Anticipating China: Thinking Through the Narratives of Chinese and Western Culture. Albany: SUNY Press.
- Komin, S. (1990). Psychology of the Thai People: Values and Behavioral Patterns. Bangkok: NIDA.

