อ.ดร.วิช ตาแก้ว
บทนำ
แนวคิดเรื่องสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นหนึ่งใน 2 แกนกลางของอัคฆวิทยา (Axiology) ในปรัชญาแบบคลาสสิกควบคู่กับจริยศาสตร์ (Ethics) ซึ่งสัมพันธ์กับคำถามพื้นฐานของมนุษย์ว่า “อะไรคือความดี และอะไรคือความงาม” (Goodness, and Beauty) ในโลกตะวันตกสุนทรียศาสตร์จึงมิได้เป็นเพียงศาสตร์แห่งความงาม แต่คือ การตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้กับคุณค่าระหว่างสิ่งที่เห็นว่างาม กับสิ่งที่มีความหมายต่อจิตวิญญาณมนุษย์ แนวคิดนี้ไม่เพียงเป็นรากฐานของการพัฒนาความคิดแบบตะวันตกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนอยู่ในวัฒนธรรมเอเชียและไทยในรูปของ “คุณธรรม และสุนทรียธรรม” ที่ผสานเข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้งในระบบความคิดและการดำรงชีวิต
ในบริบทของอารยธรรมไทย การรับแนวคิดสุนทรียศาสตร์มิได้เป็นเพียงการนำเข้าทางวัฒนธรรม แต่คือกระบวนการสังเคราะห์ทางวัฒนธรรม (cultural synthesis) ที่มีการวิเคราะห์จำแนก การกลืนกลาย (ปรับ-เปลี่ยน-ปรุง) และสร้างความหมายใหม่ บนพื้นฐานของหลักพุทธธรรม ความคิดอินเดีย-จีน และร่องรอยความคิดประจำถิ่นไทย ที่เน้นความกลมกลืนของชีวิต และความงามภายในมากกว่าความงามภายนอก ผลลัพธ์ของการหลอมรวมนี้ได้ก่อให้เกิดปรัชญาไทยซึ่งมีลักษณะบูรณาการ (integrative philosophy) คือ ไม่แยกความดี และความงามออกจากกัน แต่ผสานเป็นหนึ่งเดียวในวิถีชีวิตผ่านคำว่า “ดีงาม”
- สุนทรียศาสตร์: ความดีและความงาม และความจริงในกรอบปรัชญาตะวันตก
ความงามในฐานะภาพเงาของความดี
เพลโตมองว่าความงาม (Beauty) เป็นหนึ่งในแบบ (Forms) ที่มีลักษณะอุดมรูป (formlessness) อันสูงสุดที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ผ่านการตรึกตรองทางจิต ความงามในโลกแห่งประสบการณ์จึงเป็นเพียงเงาของความดี (Beauty as the reflection of the Good) ที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง (Plato, Republic) ความงามเป็นทางผ่านไปสู่การเข้าถึงความจริงอันสูงสุด (the ultimate truth) ที่อยู่เหนือรูปปรากฏ สำหรับเพลโต ความงามแท้คือ การสะท้อนของความจริงอันเป็นอมตะ การรักความงามจึงเป็นหนทางสู่การรู้แจ้งทางปัญญา
อริสโตเติลมองต่างออกไป โดยเสนอว่า ความงามคือ การแสดงออกของรูปแบบที่สมบูรณ์ (form) ความงามมีอยู่ในสิ่งที่มีจุดหมาย (telos) และมีสัดส่วนกลมกลืน (symmetria) ดังนั้น ความงามจึงสัมพันธ์โดยตรงกับความดีในฐานะ “ภาวะแห่งความสมบูรณ์” ของสิ่งนั้น (Aristotle, Nicomachean Ethics)
ความงามในฐานะเสรีภาพของจิต
คานท์ (Immanuel Kant, Critique of Judgment, 1790) ได้แยกความงามออกจากประโยชน์และศีลธรรม โดยเห็นว่า การตัดสินเชิงสุนทรียะ (judgment of taste) เป็นการตัดสินโดยไม่อิงประโยชน์ (disinterested judgment) เป็นการสะท้อนเสรีภาพของปัญญาและอารมณ์ในตัวมนุษย์ เป็นการประสานระหว่างจินตนาการ (imagination) กับความเข้าใจ (understanding) จนเกิดความงามในจิต มนุษย์จึงรู้สึกงามเมื่อสำนึกถึงอิสรภาพของตนจากการบีบคั้นของโลกแห่งวัตถุ
เฮเกล (Hegel, 1975) เสนอว่า สุนทรียศาสตร์คือ วิญญาณสัมบูรณ์ในรูปแห่งศิลป์ (Absolute Spirit in the form of Art) ปรากฏผ่านศิลปะ ความงามจึงเป็นภาวะที่จิตปรากฏในรูปของวัตถุ สำหรับเฮเกล ความดี ความงาม และความจริงจึงมิใช่สิ่งแยกขาด แต่คือ กระบวนการที่จิตมนุษย์รู้จักตนเองผ่านศิลปะและวัฒนธรรม
- ปรัชญาไทยกับร่องรอยความจริง ความดี ความงาม
ปรัชญาไทยในปัจจุบันได้รับอิทธิพลจากพุทธปรัชญา ในเรื่องความจริงมองว่า ความจริงมิใช่ความจริงแบบปรนัยเชิงวิทยาศาสตร์ ความจริงมิใช่การยืนยันความเที่ยงแท้ของวัตถุ แต่คือ ความเข้าใจในธรรมะ หรือสภาวะของสิ่งทั้งปวงตามเหตุปัจจัย (ปฏิจจสมุปบาท) ซึ่งสะท้อนว่าทุกสิ่งสัมพันธ์กัน ไม่มีตัวตนเที่ยงแท้ (อนัตตา) พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต, 2549) อธิบายว่า ความจริงสูงสุดคือ การเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น (ยถาภูตญาณทัสสนะ) ดังนั้น การเข้าถึงความจริงคือ การรู้แจ้ง ไม่ใช่เพียงรู้ข้อมูลหรือความรู้ทางตรรกะ
แนวคิดความดีในวัฒนธรรมไทยเองก็สัมพันธ์กับหลักคำสอนเรื่อง กุศลกรรมบถ 10 และหลัก ทางสายกลางนี้สอดคล้องกับแนวคิดคุณธรรมในฐานะทางสายกลาง (virtue as the mean) ของอริสโตเติล กล่าวคือ ความดีไม่อยู่สุดโต่ง แต่ต้องเป็นความพอดีที่เหมาะสม (appropriateness) ที่ต้องอาศัยปัญญาปฏิบัติ (phronesis) ในการเลือกสิ่งเหมาะสมต่อสถานการณ์ ความดีของไทยมุ่งที่การเกื้อกูล ความอ่อนโยน และความสงบ ผ่านบริบทของการอยู่ร่วมกันแล้วพร้อมใจรับปฏิบัติ ไม่ใช่การบังคับตนด้วยกฎเกณฑ์ภายนอก
ความงามหรือสุนทรียธรรมในบริบทไทย มีรากจากทั้งศิลปกรรมและธรรมะ จึงไม่จำกัดอยู่ในศิลปะ ความงามคือ ความพอดี (อัปปิจฉตา) และความสงบ (สันติ) ความงามแท้ในพุทธศาสนาไม่ใช่รูปลักษณ์ แต่คือ จิตที่สงบจากความยึดมั่น นอกจากนี้ อิทธิพลจากจีน (ผ่านชนชาวจีนที่ตั้งรกรากในไทย) ยังทำให้ความงามแบบไทยเน้นความกลมกลืนของธรรมชาติ (harmony) และความเหมาะสมเชิงพิธีกรรม ซึ่งปรากฏในศิลปะ สถาปัตยกรรม ดนตรี และวรรณกรรมไทย รวมไปถึงหลักการดำรงชีวิตแบบไทยที่เน้นความกลมกลืนระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และสังคม
- การสร้างความหมายใหม่ของสุนทรียศาสตร์ในบริบทไทยร่วมสมัย
ประเทศไทยในยุคสมัยใหม่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากตะวันตก ทั้งด้านเหตุผลนิยม ศีลธรรมสากล และความงามทางศิลป์ ต่อมารับจิตวิทยาสมัยใหม่มาเป็นฐานคิดหนึ่ง การผสมผสานดังกล่าวทำให้สุนทรียศาสตร์ไทยมีลักษณะเฉพาะ คือ การแสวงหาความงามที่กลมกลืนระหว่างจิตวิญญาณตะวันออกกับเหตุผลตะวันตก
ในระดับสังคม แนวคิดนี้ปรากฏในกระแสสุนทรียศาสตร์แห่งชีวิต (Life-aesthetics) ที่เน้นความงามของความเรียบง่าย ความดีงามทางศีลธรรม และความจริงของสรรพสิ่ง การดำรงอยู่เช่นนี้สัมพันธ์กับคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า “ผู้มีศีลย่อมงามด้วยศีล” (สีเลนะ สุกฺขติ โหติ) ซึ่งทำให้ความงามกลายเป็นผลผลิตของความดี ไม่ใช่ของตกแต่งหรือวัตถุภายนอก
- การเสริมสร้าง Self-Aesthetics ของคนรุ่นใหม่
Self-Aesthetics (สุนทรียภาพแห่งตัวตน) หมายถึง ความงามของตัวตนในมิติภายใน ซึ่งรวมถึงความสามารถในการเห็นคุณค่าของตนเองอย่างงดงาม การตระหนักรู้ถึงความดีและความจริงในตน ไม่ใช่เพียงการสร้างภาพลักษณ์ (self-image) ในเชิงปรัชญาจิต นี่คือ การหลอมรวมอัตลักษณ์ทางสุนทรียะ (aesthetic identity) เข้ากับอัตลักษณ์ทางศีลธรรม (moral identity) สอดคล้องกับแนวคิด “ดีงาม” ในวัฒนธรรมไทย
อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่มักดำรงตนอยู่ในโลกออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ของเวลาในแต่ละวัน และมักสร้างตัวตนผ่านสื่อสังคม ซึ่งเน้นภาพลักษณ์ ความรู้สึก และการแสดงออกในพื้นที่ออนไลน์ ผ่านการเปรียบเทียบ-แข่งขัน ส่งผลให้ self-aesthetics กลายเป็นการตกแต่งตน (self-maquille/self-makeup) มากกว่าการรู้ตน (self-awareness) ปรากฏการณ์นี้ทำให้สุนทรียศาสตร์กลายเป็นเรื่องผิวเผิน และตัดขาดจากความดีและความจริง
การพัฒนา Self-Aesthetics อย่างมีสำนึกทางปรัชญาไทยเป็นประเด็นที่นักคิดชาวไทยสนใจ เพื่อให้ self-aesthetics กลับมามีรากในจิตวิญญาณของมนุษย์ จำเป็นต้องบูรณาการแนวคิดแบบไทยซึ่งเน้น “ความสงบ ความพอดี และความเกื้อกูล” เข้ากับเสรีภาพของปัญญาแบบคานท์ การเข้าใจรากของสุนทรียศาสตร์แบบบูรณาการจึงช่วยให้คนรุ่นใหม่พัฒนาตนเองบนฐานความเป็นไทยได้ แนวทางนี้อาจแบ่งออกเป็น 3 มิติ ได้แก่
Self-awareness มองเห็นว่าความงามมิใช่เพียงรูปลักษณ์ แต่คือ ภาวะงามที่สะท้อนความสงบภายใน เช่น งามด้วยใจ ในแนวพุทธ ซึ่งใช้การฝึกการรู้ตนผ่านสมาธิและสติ (mindfulness) เพื่อเห็นความจริงในตน
Self-virtue ความงามที่แท้ต้องไม่ตัดขาดจากคุณธรรม เช่น ความสุภาพ ความอ่อนน้อม และความจริงใจ ซึ่งเป็น aesthetics of virtue จึงต้องปลูกฝังความดีงามในพฤติกรรมและท่าที เพื่อให้ความงามของจิตแผ่สู่ภายนอก
Self-harmony สร้างสมดุลระหว่างการแสดงออกส่วนตนกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การเรียนรู้ศิลปะ ดนตรี หรือการภาวนาแบบไทย ล้วนเป็นหนทางเปิดจิตให้เห็นความจริงในตนและโลก เพื่อให้ความงามเป็นพลังสร้างสังคมที่สงบ
ดังนั้น การมี self-aesthetics ที่งดงามตามแนวคิดไทย เป็น self-aesthetics ที่มีปัญญา จะทำให้เราเป็นตัวตนที่งาม ไม่ใช่สิ่งต้องอวด แต่เป็นภาวะแห่งความกลมกลืนในความเป็นมนุษย์ร่วมกัน นั่นคือ “ความดีงาม” ซึ่งรวมความจริง ความดี และความงามเป็นหนึ่งเดียว
สรุป
ความจริง ความดี และความงามเป็นสามเสาหลักของปรัชญามนุษย์ตะวันตกที่มุ่งสู่การเข้าใจโลกและตนเอง แต่ในอารยธรรมไทยเน้นสุนทรียศาสตร์แห่งความสงบบนฐานพุทธปรัชญา ความงามที่อยู่ในจิต ความดีที่อยู่ในเจตนา และความจริงที่อยู่ในปัญญา นั่นคือ หากในโลกตะวันตก ความงามคือ ภาพของความจริง และความดีคือ ภาวะแห่งความสมบูรณ์ ในโลกทัศน์ของไทย ความงามคือ ความกลมกลืนแห่งธรรม และความดีคือ การอยู่ร่วมอย่างสงบ
สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้คนรุ่นใหม่นั้นสามารถดำรงอยู่ในโลกสมัยใหม่อย่างมีศิลปะของชีวิต การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับโลกนั้นเป็นจุดสำคัญที่จะต้องเน้นการปลดปล่อยตนจากความงามที่ถูกผลิตซ้ำโดยวัฒนธรรมบริโภค และหันกลับมาเห็นความงามในความดี และความจริงในความงาม การสร้าง self-aesthetics จึงไม่ใช่การตกแต่งภายนอก แต่คือการตกผลึกภายในให้ตัวตนของเรา “ดีงาม” อันเป็นรากแท้ของความเป็นมนุษย์ในสังคมไทยร่วมสมัยที่มีความรักต่อมนุษยชาติและโลกธรรมชาติ
บรรณานุกรม
- Aristotle. Nicomachean Ethics. (Trans. W.D. Ross). Oxford: Oxford University Press, 1980.
- Hegel, G.W.F. (1975). Aesthetics: Lectures on Fine Art. Oxford: Clarendon Press.
- Kant, Immanuel. (1790). Critique of Judgment. Trans. J.H. Bernard. New York: Hafner Press.
- Plato. The Republic. Trans. Desmond Lee. London: Penguin Books.
- พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (2549). พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ. กรุงเทพฯ: บริษัท สหธรรมิก จำกัด.
- รวิช ตาแก้ว, & กีรติ บุญเจือ. (2558). ความหมายของคำ “ดีงาม” ในบริบทวัฒนธรรมไทย. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา, 8(1), 258-272.

