ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

การปรับกระบวนทัศน์สังคมความรู้ไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้

บทนำ

การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ทำให้แนวคิดของ สังคมฐานความรู้ (knowledge‑based society) ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยในโลกทัศน์นี้มองว่า ความรู้ไม่ได้เป็นเพียงทรัพยากรรอง แต่กลายเป็นปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนการพัฒนาและการแข่งขัน (Melnikas, 2010)  พร้อมกันนั้น แนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต (life‑long learning) และ เมืองแห่งการเรียนรู้ (learning city) ก็กลายเป็นกรอบการวิเคราะห์ที่เชื่อมโยงระหว่างบุคคล สถาบัน และเมือง ในการจัดการความรู้และพัฒนามนุษย์อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อต้องรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (UNESCO, 2015) 

วัตถุประสงค์

เพื่อวิเคราะห์และเชื่อมโยงทั้งสามแนวคิดดังกล่าวในมิติปรัชญา–สังคม โดยแบ่งเนื้อหาเป็น (1) การมีอยู่ของสังคมฐานความรู้ (2) การส่งเสริมและผลักดันความรู้ (3) การเปลี่ยนผ่านสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (4) การขยายผลไปสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ และ (5) สรุปเชิงปรัชญา

  1. การมีอยู่ของสังคมฐานความรู้

1.1 นิยามและมิติ

คำว่า knowledge‑based society หรือ knowledge society หมายถึง สังคมที่ความรู้ (knowledge) เป็นทรัพยากรหลักในการสร้างคุณค่าและพัฒนาเศรษฐกิจ–สังคม ต่างจากสังคมอุตสาหกรรมที่ทรัพยากรวัตถุและแรงงานเป็นทรัพยากรหลัก (Svarc & Laznjak, 2011) Melnikas (2010) ก็ให้ข้อสังเกตว่า การสร้างสังคมฐานความรู้และเศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge economy) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ (qualitative change) ซึ่งเกิดพร้อมกับโลกาภิวัตน์ (globalisation)  คุณลักษณะสำคัญของสังคมเช่นนี้ ได้แก่

  1. การให้ความสำคัญกับความรู้และข้อมูล เป็นทรัพยากรหลักในการสร้างคุณค่าและความสามารถในการแข่งขัน
  2. การสร้างคุณค่าเชิงนวัตกรรม ผ่านการวิจัย พัฒนา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
  3. การเชื่อมโยงความรู้กับการปฏิบัติทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น การจัดการเมือง การสร้างชุมชนที่ยั่งยืน หรือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

ในแง่ปรัชญา การมีอยู่ของสังคมฐานความรู้ หรือสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้ เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีรากฐานทางปรัชญาในแนวคิด ontology of knowledge คือ ความรู้ถูกยกระดับจากสิ่งที่มนุษย์ใช้ เป็นสิ่งที่สังคมมีอยู่แล้ว (being of knowledge) ในโครงสร้างของสังคมสมัยใหม่ ความรู้ไม่ใช่แค่การสะสมข้อมูล แต่เป็นการสร้างเครือข่ายความรู้ที่ทำให้มนุษย์สามารถตระหนักและมุ่งพัฒนาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกได้ (Suwanbundit & Bunchua, 2015)

1.2 ลักษณะสำคัญ

จากการศึกษาพบว่า สังคมฐานความรู้มักมีลักษณะดังนี้

  1. การให้ความสำคัญกับทุนมนุษย์ (human capital) และทุนสังคม (social capital) โดยเฉพาะความรู้ ทักษะ และเครือข่ายความร่วมมือ 
  2. การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ค่านิยม มุมมองต่อการเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงแนวคิดต่อการทำงาน และนวัตกรรม
  3. การเน้นนวัตกรรม (innovation) ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) และความสามารถในการปรับตัว (adaptability) 

1.3 ความหมายเชิงปรัชญา

การวิเคราะห์เชิงปรัชญาอาจกล่าวได้ว่า สังคมฐานความรู้ (knowledge‑based society) เท่ากับการยกระดับความรู้จากทรัพยากรรอง เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดการมีอยู่ (being) ของสังคมสมัยใหม่ ซึ่งทำให้มนุษย์ต้องแปรบทบาทจากผู้ใช้–รับใช้ความรู้ เป็นผู้สร้างและจัดการความรู้เอง (epistemic agency)

  1. การส่งเสริมและผลักดันความรู้

2.1 การส่งเสริมความรู้

การส่งเสริมความรู้ในสังคมฐานความรู้เป็นการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ (human potential) จึงเกี่ยวข้องกับการสร้างโอกาสให้บุคคลและชุมชนเข้าถึงความรู้ สร้างความสามารถ (capability) และร่วมสร้างความรู้ (knowledge creation) ผ่านระบบการศึกษา การวิจัย และเครือข่ายสังคม ตัวอย่างเช่น ในยุโรป European Commission มีโครงการด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning Activities) เพื่อยกระดับคุณภาพของผู้เรียนในทุกช่วงวัย  (Guven, et al., 2016) ในมิติปรัชญา นี่คือ กระบวนการของ epistemic empowerment ทำให้ประชาชนมีความสามารถในการรู้ เข้าใจ และสร้างความรู้ ไม่เป็นเพียงผู้บริโภคความรู้เท่านั้นอีกต่อไป

2.2 การเชื่อมโยงกับการส่งเสริมศักยภาพมนุษย์

การส่งเสริมความรู้ยังหมายถึงการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ (human potential) ผ่านมุมมองที่ว่า ความรู้ทำให้มนุษย์เข้าใจตัวตนและโลกมากขึ้น ส่งผลต่อความสามารถในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า (ontological growth) จึงมีมุมมองที่จะให้มนุษย์สามารถเรียนรู้ สร้างสรรค์ และเปลี่ยนแปลงตนเองและสังคมได้ ซึ่งมีความสอดคล้องกับแนวคิดทางปรัชญา เช่น ความเป็นอัตถิภาวะ (existence) ที่มีพลังให้เลือกและสร้างชีวิตของตนเอง (existential choice) การส่งเสริมนี้จึงไม่ใช่แค่การให้ข้อมูล แต่เป็นการสร้างเงื่อนไขให้มนุษย์เป็นผู้รู้ (knowers) และมีชีวิตที่มีความหมาย (meaningful existence)

2.3 ความสำคัญเชิงระบบ

เมื่อสังคมเริ่มส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างระบบความรู้ได้อย่างกว้างขวาง ระบบต่าง ๆ เช่น การศึกษา ตลาดแรงงาน เทคโนโลยี และเมือง จะต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาณว่า การขับเคลื่อน (driving force) ของสังคมฐานความรู้เริ่มชัดเจนขึ้น ในขณะเดียกัน สังคมก็ต้องส่งเสริมการคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำของผู้มีข้อมูลมากและน้อยในสังคม ซึ่งจะต้องพิจารณาจริยธรรมของความรู้ (ethics of knowledge) ด้วยเช่นกัน

  1. โลกก้าวและถูกผลักสู่ Life‑Long Learning

3.1 นิยามและความสำคัญ

การเรียนรู้ตลอดชีวิต (life‑long learning) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการผลักดัน knowledge-based society ในช่วงแรก แนวคิดนี้ที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNESCO ซึ่งมองว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและเป็นหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน (UNESCO, 2015) แนวคิดนี้หมายรวมถึงการเรียนรู้ในทุกช่วงวัย ทุกสถานที่ ทุกช่องทาง (formal, non‑formal, informal) และไม่จำกัดอยู่แค่การศึกษาในโรงเรียน  (Sajjasophon, Ratana-Ubol, & Kimpee, 2015)

3.2 เชิงปรัชญา

ในเชิงปรัชญา life‑long learning สามารถถูกมองว่าเป็น ontological project ของมนุษย์ คือ มนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงผู้เรียนหนึ่งครั้ง แต่เป็นผู้เรียนตลอดชีวิต (lifelong learner) ซึ่งการเรียนรู้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการมีอยู่ (being) ของตนเอง นอกจากนี้ ยังมีมิติ existential ที่มนุษย์มีโอกาสสร้างความหมายให้กับชีวิต ผ่านการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างสม่ำเสมอ และสอดคล้องกับปรัชญาปฏิบัตินิยม (pragmatic philosophy) ที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์และการแก้ปัญหาในชีวิตจริง การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่ได้จำกัดเพียงโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่เกิดขึ้นได้จากทุกบริบทของชีวิตและทุกช่วงวัย

3.3 ความเชื่อมโยงกับสังคมฐานความรู้

ในสังคมฐานความรู้ การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่ใช่ทางเลือก แต่กลายเป็นความจำเป็น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ทำให้ความรู้เดิมล้าสมัยอย่างรวดเร็ว การมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้บุคคลและสังคมสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในยุคดังกล่าว

  1. หลังปี 2000 ก้าวสู่ Learning City เพื่อความเป็นรูปธรรม

4.1 แนวคิดและนิยาม

เมืองแห่งการเรียนรู้ (learning city) ถูกนิยามโดย UNESCO ว่าเป็นเมืองที่ใช้ทรัพยากรทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อ  (1) ส่งเสริมการเรียนรู้แบบรวมจากระดับพื้นฐานถึงอุดมศึกษา (2) ฟื้นฟูการเรียนรู้ในครอบครัวและชุมชน (3) สนับสนุนการเรียนรู้ในและสำหรับที่ทำงาน (4) ขยายการใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้สมัยใหม่ (5) ยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ (6) ส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต”  (UNESCO, 2015)  ในเอกสาร “Key Features of Learning Cities” ระบุว่า เมืองแห่งการเรียนรู้สามารถสร้างแรงเสริมให้กับการมีอยู่ของบุคคล ชุมชน และเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน 

4.2 มิติการปฏิบัติ

เมืองแห่งการเรียนรู้จำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญ เช่น

  1. ความตั้งใจทางการเมือง (political will) และความมุ่งมั่น (commitment) 
  2. การมีผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่าย (governance & participation)
  3. การจัดสรรทรัพยากรและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
  4. การบูรณาการระหว่างสถาบันการศึกษา ชุมชน ภาคธุรกิจ และเทคโนโลยี

4.3 เชิงปรัชญา

จากมุมมองปรัชญา เมืองเสมือนเป็น สภาพแวดล้อมการดำรงอยู่ (environment of existence) ที่ขยายขอบเขตของการเรียนรู้จากบุคคลไปสู่ระบบสังคม เมืองแห่งการเรียนรู้จึงไม่ใช่เพียงสถานที่ทางภูมิศาสตร์ แต่เป็นโครงสร้างทางสังคม–วัฒนธรรม ที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ (human flourishing) นอกจากนี้ เมืองดังกล่าวยังสามารถถูกตีความว่าเป็น field of becoming ของชุมชนและบุคคล ที่การเรียนรู้ตลอดชีวิตกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเมือง และเป็นเมืองที่มนุษย์สามารถขยายขีดความสามารถของตนเองอย่างต่อเนื่องได้

4.4 ความเชื่อมโยงกับแนวคิดก่อนหน้า

เมืองแห่งการเรียนรู้ทำหน้าที่เป็นเวทีของการขับเคลื่อน (driving arena) ที่เชื่อมโยงสังคมฐานความรู้และการเรียนรู้ตลอดชีวิต กล่าวคือ สังคมฐานความรู้ให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจร่วมกับสังคมที่ให้คุณค่าความรู้ การเรียนรู้ตลอดชีวิตให้บทบาทและเส้นทางของมนุษย์ในการมีส่วนร่วมสร้างความรู้ และเมืองแห่งการเรียนรู้ให้สภาพแวดล้อมที่รวมทั้งโครงสร้างและการปฏิบัติเพื่อให้การเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นจริงในระดับเมือง

ตาราง 1 ลำดับการพัฒนาเชิงความคิดจากส่วนบุคคล-สังคม-เมือง

ลำดับขั้นตอนลักษณะเหตุการณ์ / การมีอยู่ผลลัพธ์เชิงปรัชญา
1การมีอยู่ของ Knowledge-Based Societyสังคมเกิดขึ้นจากการสะสมและใช้ความรู้เป็นทรัพยากรหลักOntology ของสังคม ความรู้คือพื้นฐานการสร้างคุณค่า
2การส่งเสริมและผลักดันความรู้นโยบายและวัฒนธรรมสนับสนุนการเรียนรู้ การเข้าถึงข้อมูลและการสร้างความรู้ใหม่Epistemic empowerment และการพัฒนาศักยภาพมนุษย์
3การต่อยอดสู่ Life-Long Learningบุคคลตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งในบริบทส่วนตัวและสังคมการพัฒนาคุณค่าชีวิต การสร้างความหมายและ self-actualization
4การขยายผลสู่ Learning Cityเมืองจัดการทรัพยากรทางความรู้ บูรณาการสถาบันการศึกษา ชุมชน และภาคธุรกิจเมืองกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย์และสังคมอย่างยั่งยืน
  1. ผลการพิจารณาแนวคิดเชิงปรัชญาและเชิงระบบ

โครงสร้างการพัฒนาอย่างยืดหยุ่นของแนวคิด สรุปได้ดังนี้

  1. การมีอยู่ของสังคมฐานความรู้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ontology ของสังคมโดยให้ความรู้เป็นแกนนำ
  2. การส่งเสริมความรู้และเสริมศักยภาพ มุ่งเน้นการพัฒนามนุษย์ให้เป็นผู้รู้และผู้สร้างความรู้
  3. การเรียนรู้ตลอดชีวิต เน้นย้ำการทำให้มนุษย์เป็นผู้เรียนที่อยู่ในกระบวนการของการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  4. เมืองแห่งการเรียนรู้ ขับเคลื่อนการสร้างสภาพแวดล้อมแบบระบบ (system‑level) ที่สนับสนุนการเรียนรู้และการสร้างความรู้ในทุกมิติ

จังหวะแห่งการพัฒนา (Pace) โดยรวม flow จะเป็น จาก slow → moderate → steady → dynamic เพื่อให้การพัฒนาเริ่มจาก มิติส่วนตัว → สังคม → เมือง และจากแนวคิด → การปฏิบัติ → การขยายผลเชิงระบบ

Step 1: Slow Pace – Introduction อธิบายว่ามนุษย์และสังคมมีอยู่ในฐานะ knowledge-based society เน้นการวิเคราะห์ปรัชญา ontology ของความรู้ เพื่อวางรากฐานความเข้าใจ

Step 2: Moderate Pace – Promotion ความรู้ถูกส่งเสริมและผลักดัน ผ่าน connection ระหว่างความรู้กับศักยภาพมนุษย์ มีการพิจาณา interactive/reflective และการคิดถึงบทบาทของบุคคลและสังคม

Step 3: Steady Pace – Life-Long Learning ความรู้ได้รับการปรับระดับผ่านแนวคิดการเรียนรู้ มีการก้าวข้ามแนวคิดการศึกษา (education) ไปสู่การเรียนรู้ (learning) ปรับกรอบการแนะนำหลักการและวิธีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มุ่งเน้น actionable เพื่อให้เห็นชัดว่า knowledge-based society ขับเคลื่อนการเรียนรู้อย่างไร เน้นการก้าวไปอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องและการสะสมไปเรื่อย ๆ

Step 4: Dynamic Pace – Learning City การเพิ่มพลวัตของการขับเคลื่อน มีการขยายจากบุคคลไปสู่เมือง เนื้อหาที่ส่งเสริมปรับเป็น system-level และ networked thinking เพื่อให้เห็นการเชื่อมโยงหลายองค์ประกอบพร้อมกัน (เมือง, สถาบัน, ชุมชน, เทคโนโลยี)

ประเด็นทางปรัชญาที่สำคัญ ได้แก่

  1. Ontological shift เปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมเป็นสังคมฐานความรู้
  2. Epistemic empowerment ให้บุคคลมีบทบาทในการรู้และสร้างความรู้ ไม่ใช่เพียงผู้รับ
  3. Ethics of knowledge & learning การจัดการความรู้และการเรียนรู้ควรคำนึงถึงความเท่าเทียม ยุติธรรม และการรวมกลุ่ม (inclusion)
  4. Flourishing human life การเรียนรู้ตลอดชีวิตและเมืองแห่งการเรียนรู้เปิดโอกาสให้มนุษย์พัฒนาเต็มศักยภาพ (self‑actualisation) และมุ่งสู่ Metaneeds
  5. Systemic thinking เมืองแห่งการเรียนรู้คือโครงสร้างทางสังคมที่รวมหลายองค์ประกอบ (การศึกษา งาน เทคโนโลยี ชุมชน)

ข้อจำกัด และ ข้อท้าทายที่ปรากฎและดำรงอยู่

แม้แนวคิดสังคมฐานความรู้จะมีศักยภาพสูง แต่มีข้อท้าทาย เช่น ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความรู้และโอกาสเรียนรู้ (Sajjasophon, Ratana-Ubol, & Kimpee, 2015) การจัดการในระดับเมือง/พื้นที่ที่อาจเน้นมิติเศรษฐกิจมากกว่ามิติสังคม–วัฒนธรรม (Atchoarena & Howells, 2021) และความจำเป็นในการวัดและประเมินผลความสำเร็จของเมืองแห่งการเรียนรู้ให้สะท้อนผลการพัฒนาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม

บทสรุป

แนวคิดสังคมฐานความรู้ทำให้เรายอมรับการมีอยู่ของสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้ เกิดแนวทางการส่งเสริมศักยภาพของมนุษย์ในการเรียนรู้และสร้างความหมายแก่ชีวิต และการผลักดันให้ทุกคนเรียนรู้ตลอดชีวิตทั้งในมิติส่วนตัวและสังคม ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างของผู้รู้ กับผู้ไม่รู้ (info‑rich/info‑poor gap) มีการเรียกร้องและมุ่งหวังต่อการสร้างสภาพแวดล้อมสาธารณะที่สนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของทุกคนอย่างเป็นระบบผ่านแนวคิด เมืองแห่งการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นโครงข่ายแนวคิดที่เชื่อมโยงทั้งระดับบุคคล ระดับสถาบัน และระดับเมือง ในยุคที่ความรู้กลายเป็นทรัพยากรหลักของสังคม ในมิติปรัชญา นี่คือการขยาย การมีอยู่ที่รู้ (knowing‑being) และ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (becoming) ของมนุษย์และสังคม การสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้และการพัฒนามนุษย์อย่างต่อเนื่องไม่ใช่เพียงเทคนิคหรือยุทธศาสตร์ แต่เป็นการต่อยอดการมีอยู่ของมนุษย์สู่ความเป็นอยู่ที่มีคุณค่า สำหรับประเทศไทยซึ่งกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เทคโนโลยี และเมือง การปรับกระบวนทัศน์สังคมความรู้ไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านแนวคิดเหล่านี้อาจเป็นกรอบส่วนหนึ่งในการสร้าง-ส่งเสริมและผลักดันเมืองแห่งการเรียนรู้ที่ให้โอกาสทุกคนเรียนรู้ตลอดชีวิต ตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืน ความเป็นพลเมือง (citizenship) และการมีส่วนร่วม (participation) และการร่วมสร้างความรู้ในสังคมได้อย่างกว้างขวางต่อไป

ข้อเสนอเชิงนโยบาย
­ จากผลการวิเคราะห์เชิงปรัชญา จึงขอเสนอว่า การเปลี่ยนผ่านนี้ต้องการนโยบาย/การออกแบบที่แตกต่าง เช่น

  1. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการเรียนรู้ (เทคโนโลยีสารสนเทศ, อินเทอร์เน็ต, แหล่งเรียนรู้)
  2. ส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้, ความร่วมมือ, เครือข่ายการเรียนรู้
  3. ปรับบทบาทสถาบันการศึกษา จากผู้ให้ความรู้ เป็นผู้ร่วมสร้างศักยภาพการเรียนรู้
  4. เน้นทักษะที่เชื่อมโยงกับโลกยุคใหม่ เช่น ความสามารถในการปรับตัว, การคิดเชิงวิเคราะห์, ความร่วมมือ, การเรียนรู้ตลอดชีวิต

เอกสารอ้างอิง

Atchoarena D, & Howells A. (2021). “Advancing Learning Cities: Lifelong Learning and the Creation of a Learning Society” (pp. 165–180),In Powering a Learning Society During an Age of Disruption. Springer. https://link.springer.com/chapter/10.1007/978-981-16-0983-1_12

Guven M, Kayabas BK, Kapti U, Goc S, & Nana ABI. (2016). Lifelong Learning Activities. European Commission https://ec.europa.eu/programmes/erasmus-plus/project-result-content/c1a24ed0-dafc-4cc4-b006-62e9be16fd30/Lifelong%20Learning%20Activities.pdf

Melnikas, B. (2010). Creating knowledge-based society and knowledge economy: The main principles and phenomena. Economika, 89(2), 55 – 75.. https://www.researchgate.net/publication/330518967_CREATING_KNOWLEDGE-BASED_SOCIETY_AND_KNOWLEDGE_ECONOMY_THE_MAIN_PRINCIPLES_AND_PHENOMENA

Sajjasophon R, Ratana-Ubol A, & Kimpee P. (2015). The Scenario of a Learning City Model Based on the Lifelong Learning Concept to Develop the Active Aging of Thai Elderly. Kasetsart Journal of Social Sciences, 36, 357–370. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/kjss/article/download/243335/165344/840992

Svarc J, & Laznjak J. (2011). Knowledge-Based Economy and Knowledge Society: Some Starting Points. Pilares Research Institute. https://www.pilar.hr/wp-content/images/stories/dokumenti/zbornici/27/z_27_011.pdf

Suwanbundit A, & Bunchua K. (2015). Knowledge Based Society and Peace. Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC). 13(2): 149-159.

UNESCO Institute for Lifelong Learning. (2015). UNESCO Global Network of Learning Cities. UNESCO. https://uil.unesco.org/fileadmin/keydocuments/LifelongLearning/learning-cities/en-unesco-global-network-of-learning-cities-guiding-documents.pdf


Leave a comment