ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

ในปรัชญากรีกโบราณ สำนักอีเลีย (Eleatic School) ยืนหยัดในความเป็นหนึ่งนิรันดร์ และสำนักไอโอเนีย (Ionian School) ลื่นไหลด้วยพลังแห่งความเปลี่ยนแปลง ทั้งสองเส้นทางต่างสนใจความเป็น-มีอยู่ ในปรัชญาสมัยใหม่ เรามักจะมือหนึ่งถือความมั่นคงของ Being ในขณะที่อีกมือหนึ่งรับพลังแห่ง Becoming เพื่อหยั่งเห็นความจริงของการมีอยู่ด้วยทั้งเหตุผลและภาพรวมของประสบการณ์

เสียงแห่งอีเลีย ปาร์เมนิดิส (Parmenides) กล่าวว่า การคิดและการมีอยู่เป็นสิ่งเดียวกัน “that which can be thought and that for the sake of which thought exists is the same” ซึ่งแปลว่า “สิ่งที่สามารถคิดได้ และเพื่อประโยชน์ซึ่งการคิดมีอยู่ ย่อมเป็นสิ่งเดียวกัน” แนวคิดนี้คือจุดศูนย์กลางของสายอีเลีย นั่นคือ ถ้าจะให้การคิดมีความหมาย ต้องมีสิ่งหนึ่งซึ่งมั่นคงเพียงพอให้ความคิดอาศัยและอ้างอิงได้ สิ่งนั้นคือ Being ในความหมายที่เข้มข้นคือ หนึ่งเดียว (oneness) ไม่อาจสร้างได้ (ungenerated — ไม่น่าจะเกิดขึ้น) ไม่อาจทำลายได้ (indestructible) ไม่เคลื่อน (immovable) และสมบูรณ์ (complete) แนวคิดสำนักอีเลียพรรณนา Being ว่าเป็นสิ่งที่ มีอยู่ทั้งสิ้น และหากสิ่งใดจะถูกเรียกว่ามีอยู่ มันต้องไม่เป็นสิ่งที่เกิดหรือดับไปตามกระแสเวลา เพราะหากเกิดและดับแล้ว มันคงไม่ใช่สิ่งที่คิดได้ในความหมายของปาร์เมนิดิสอีกต่อไป

มุมของอีเลียมองว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงการลวงตาที่เกิดจากภาษา และประสบการณ์ของผู้สังเกต ผู้ก้าวเดินในโลกของประสาทสัมผัสมองเห็นเกิด-ดับ ความเคลื่อนไหว และความหลากหลาย แต่ความคิดอันบริสุทธิ์ (nous) ต้องพูดถึงสิ่งที่คงอยู่ หากคิดว่ามี ไม่เป็น (non-being) การคิดนั้นย่อมล้มเหลว เพราะเราคิดได้แก่ สิ่งที่เป็น เท่านั้น ดังนั้น การเป็น (to be) จึงต้องปฏิเสธการไม่มี และการกลายเป็นในรูปแบบพื้นๆ ของประสบการณ์ การเป็นจึงต้องเป็นองค์รวมที่ไม่แบ่งแยกและไม่เปลี่ยนแปลง

เมลิสซัส (Melissus of Samos) แห่งสายอีเลีย ผู้พัฒนาแนวคิดให้เข้มแข็งขึ้นอีกขั้น เขาบอกว่า Being ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นอนันต์ทั้งทางเวลาและทางพื้นที่ นั่นคือ Being จึงไม่ถูกจำกัด (unlimited) และไม่ถูกผลิต (un-generated) ซึ่งเป็นการขยายผลแห่งการคิดของปาร์เมนิดิส เพื่อให้ข้อสรุปเชิงปรัชญาแข็งแรงและท้าทายต่อประสบการณ์ของผู้เห็นโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง

ในความเงียบของอีเลีย ความจริงถูกยกขึ้นเหนือความประจักษ์ของตา การไตร่ตรองจึงมุ่งสู่ ontology การเรียนรู้ว่าอะไรคือการมีอยู่แท้จริง ซึ่งต่อมาวางรากฐานให้กับปรัชญาตะวันตกทั้งปวง โดยเฉพาะคำถามที่เพลโตและอริสโตเติลต้องชี้แจงอธิบาย เช่น เกิด-ดับ, คงอยู่, รูป-สสาร สายอีเลียยืนหยัดในความเป็น คือความคงทนของสารัตถะ (essence) ที่คิดได้และต้องคิดได้

คู่ตรงข้ามคือ สำนักไอโอเนีย ผลแห่งการสำรวจของเธลิส (Thales) อแนกซิมานเดอร์ (Anaximander) อแนกซิเมนีส (Anaximenes) และเฮราไคลตุส (Heraclitus) แนวคิดของไอโอเนียมอง Being ผ่านพฤติกรรมของสสารและการเปลี่ยนแปลง เธลิสมองว่า “ธรรมชาติทั้งปวงมีน้ำเป็นต้นกำเนิด” น้ำเป็นอาร์เค่ (arkhé: principle) เป็นพื้นฐานของความเป็น กล่าวคือการมีอยู่แสดงออกผ่านสสารที่เปลี่ยนรูปและหมุนเวียน อแนกซิมานเดอร์เสนอ apeiron (ไม่จำกัด, the boundless) เป็นต้นตอของความหลากหลาย เป็นต้น สำนักไอโอเนียยังย้ำว่า การเป็นต้องถูกเข้าใจเป็นกระบวนการ (process) มากกว่าจะเป็นสารคงที่

เฮราไคลตุส ประกาศว่า “ทุกสิ่งไหล” และว่า “You cannot step into the same river twice” วาทกรรมนี้ชี้ว่าการมีอยู่ (being) ไม่อาจแยกออกจากกระแสการเปลี่ยนแปลง (becoming) แต่ละวัตถุ แม้ยังพินิจดูเหมือนเดิม ก็เป็นพื้นที่ของการแลกเปลี่ยนกับปัจจุบัน การเป็นจึงเป็นการพลิกผัน เป็นความต่อเนื่องของการเปลี่ยนรูป เฮราไคลตุสยังเน้นว่า โลกอส (logos: word) เป็นหลักระหว่างความเปลี่ยนแปลงกับความเป็นหนึ่ง โลกอสทำให้ความเปลี่ยนแปลงมีความหมาย เป็นระเบียบภายในการไหล และทำให้ความขัดแย้งถือกำเนิดเป็นความกลมกลืนของคู่ตรงข้าม

เมื่อมองแนวคิดคู่ขนานของกรีกโบราณ แนวคิดของสำนักอีเลียและไอโอเนียจึงดูเหมือนขัดแย้งกัน อีเลียยืนยันเอกภาพและความไม่เปลี่ยนแปลง ไอโอเนียยืนยันพลวัตและการกลายเป็น

แต่หากเรามองอย่างเป็นกลาง สังเกตอย่างละเอียด เราจะเห็นว่าสองสายธารคำตอบนี้ต่างเกิดจากการตั้งคำถามคนละชนิด อีเลียถามว่า อะไรที่อยู่เบื้องหลังความจริงที่คิดได้? ในขณะที่ไอโอเนียถามว่า หลักใหญ่ที่ทำให้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นคืออะไร? ทั้งสองกำลังสำรวจมุมมองเดียวกันจากจุดยืนที่ต่างกัน อีเลียมองจากภูเขาแห่งความนิ่ง ไอโอเนียนั้นมองจากแม่น้ำแห่งการเคลื่อนไหว แต่ทั้งสองต่างร่วมกันทำให้ภาพรวมของ Being สมบูรณ์ที่สุด

หาก Being คือสิ่งที่คิดได้ (อีเลีย) แต่สิ่งที่คิดได้ต้องมีการเปลี่ยนคำพูดและสัญญะเพื่อสื่อสาร (ไอโอเนีย) เราจึงเห็นว่า การมีอยู่ ต้องมีสองมิติ คือ มิติของความเป็นนิรันดร์ (นิยาม, essence) และมิติของการแสดงตนในเวลา (manifestation, becoming) ความยึดมั่น (อุปาทาน) ระหว่างสองมิติกลายเป็นแหล่งที่มาของปัญหาเชิงอภิปรัชญา เช่น เอกภาพกับพหุภาวะ (unity and multiplicity) แก่นสารกับกระบวนการ (substance vs. process) อัตลักษณ์ท่ามกลางกาลเวลา (identity through time)

หากนำเส้นทางของการคิดจากทั้งสองสำนัก มาสร้างข้อสรุปที่เป็นการประสานเครือข่ายความคิด เราจะเห็นว่า Being ไม่ควรถูกจำกัดเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น มันต้องได้รับการเข้าใจทั้งในเชิงแก่น-สารัตถะ (essence) และเชิงการแสดงตน (manifestation) แก่นให้ความเป็นตัวตนที่ทำให้เราสามารถตั้งคำถามและคิดได้ ในขณะที่การแสดงตนเป็นการที่แก่นนั้นปรากฏในพื้นที่ของประสบการณ์ของเรา ซึ่งย่อมเกี่ยวข้องกับเวลาและการเปลี่ยนแปลง การยอมรับทั้งสองฝ่ายทำให้เราเข้าใจ Being ได้ครอบคลุมกว่า

ในทางปฏิบัติ ถ้าท่านยคดถือแนวคิดสำนักอีเลีย เราจะให้ค่าแก่ความนิ่ง ความสม่ำเสมอ และการค้นหาองค์ความรู้ที่ไม่ขึ้นกับความแปรปรวนของสถานการณ์ นี่คือสิ่งที่เป็นหลักการ ข้อกำหนดเบื้องต้นและคุณค่าของวิทยาศาสตร์เชิงอภิปรัชญา แต่ถ้าเราถือแนวสำนักไอโอเนีย เราจะให้ค่าแก่การสังเกต กระแส และการวิเคราะห์เชิงกลไก (กระบวนการ) ของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นหัวใจของการศึกษาธรรมชาติและวิธีการทดลอง

ความฉลาดในการคิดร่วมสมัยที่เราต้องพัฒนาทักษะก็คือ การยอมให้มีที่ว่างสำหรับการคิดในสิ่งที่ทั้งนิ่งและไหล ยิ่งถ้าเราต้องการสร้างทฤษฎีที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ได้ เราก็ต้องเข้าใจว่าทั้งนิ่งและไหลมีบทบาทร่วมกัน

จากมุมมองสมัยใหม่ นักคิดยุคคลาสสิคอย่างเพลโตรับแนวคิดเรื่องสิ่งที่เป็น โดยแยกโลกแห่งแบบ (Forms) ออกจากโลกแห่งการปรากฏ อริสโตเติลรับแนวคิดเรื่องสิ่งที่เป็น แต่ก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลงโดยการแถลงเรื่องรูปและสสาร (form and matter) ดังนั้นการศึกษาว่าด้วย Being จึงไม่ใช่ประวัติศาสตร์ความคิดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสืบค้นทวนความที่ยังดำเนินอยู่แม้ในปัจจุบัน

สองวาทกรรมที่ขัดกันแต่ก็ประสานกันได้สำหรับยุคสมัยนี้ ได้แก่

  • จากปาร์เมนิดิส “The thing that can be thought and that for the sake of which thought exists is the same; for you cannot find thought without something that is, as to which it is uttered.” วาทกรรมนี้ชี้ว่า ความคิดย่อมพึ่งพา being การสำรวจปรัชญาต้องเริ่มจากการยอมรับว่า must be something which is
  • จากเฮราไคลตุส “You cannot step twice into the same river; for fresh waters are ever flowing in upon you.” วาทกรรมนี้ชี้ว่า ทุกการมีอยู่มีองค์ประกอบแห่งการเปลี่ยนแปลง และความหมายของ being ต้องคำนึงถึงกระแสแห่งเวลา

การเข้าใจ Being มิได้มีเป้าหมายเพื่อชนะการโต้แย้ง หากเพื่อให้เราในยุคสมัยนี้ เป็นผู้อยู่ร่วมกับคำถามอย่างเป็นกลาง ให้เราใช้ทั้งกรอบความคิดถึงสิ่งนิ่งและสิ่งไหลในการไตร่ตรอง เพื่อการรู้ที่สมบูรณ์พร้อมต่อคำถามอันไม่สิ้นสุดว่า อะไรคือสิ่งที่เป็น? และด้วยใจเปิดกว้างและเป็นกลาง เราจะพบว่าคำสอนของทั้งสำนักอีเลียและสำนักไอโอเนียยังคงสนทนากันอยู่ในหัวใจของทุกคนที่ยังมีความอยากรู้ อยากฉลาด

อ้างอิง

Parmenides, Fragments, แปลและรวบรวม (Lexundria / online text).
Stanford Encyclopedia of Philosophy, entry “Parmenides.”
Fragments of Heraclitus (annotated / Wikisource and scholarly compilations).
Internet Encyclopedia of Philosophy — Presocratics / Thales / Ionian school.
Melissus of Samos — fragments and commentary.


Leave a comment