อ.ดร.สิริกร อมฤตวาริน

บทนำ

ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกเป็นความสัมพันธ์แรกเริ่มของมนุษย์ และเป็นต้นกำเนิดทางจริยธรรมของมนุษย์ในแทบทุกอารยธรรม ก่อนจะมีรัฐ ก่อนจะมีสัญญาประชาคม ก่อนจะมีปรัชญาอย่างเป็นระบบ มนุษย์รู้จักความรัก ความกลัว การพึ่งพา และการก่อรูปของความดีครั้งแรกจากอ้อมแขนของผู้ให้กำเนิด ทุกอารยธรรม เช่น จีน อินเดีย กรีก อียิปต์ เมโสโปเตเมีย ตลอดจนศาสนาใหญ่ต่าง ๆ ล้วนมีคำตอบของตนเองว่า ลูกควรมีหน้าที่อะไรต่อพ่อแม่

บทความนี้จึงย้อนกลับไปค้นรากเหง้าจากอารยธรรมโบราณ แล้วนำมาประมวลเข้ากับงานวิเคราะห์ร่วมสมัย เพื่อทำความเข้าใจว่าเหตุใดความสัมพันธ์พ่อแม่–ลูกยังเป็นพื้นที่ที่ความคิดทางจริยศาสตร์เติบโตไม่รู้จบ

กำเนิดแห่งกตัญญู

ในอารยธรรมจีน ความสัมพันธ์พ่อแม่–ลูกไม่ได้เป็นเพียงเรื่องครอบครัว แต่เป็นรากฐานของระเบียบจักรวาล แนวคิด 孝 (xiao) หรือความกตัญญู เป็นรากลึกของสังคมจีน โดยถือว่า พ่อแม่คือ ต้นธาตุแห่งชีวิต และลูกมีหน้าที่ตอบแทนอย่างไม่มีเงื่อนไข มนุษย์ที่ดีเริ่มจากการเคารพบิดามารดา เพราะครอบครัวเป็นแบบจำลองของรัฐ หากลูกไม่กตัญญู รัฐย่อมล่ม การเมืองจึงขึ้นอยู่กับศีลธรรมในบ้าน ลัทธิที่มีบทบาทในเรื่องนี้คือ ลัทธิขงจื้อ (Confucian) ซึ่งมีคำสอนกึ่งศาสนา–สังคม เน้นความซาบซึ้งต่อพระคุณ และมองว่าเป็นหน้าที่ทางคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่

อารยธรรมอินเดีย คำว่า pitru-rin (หนี้ต่อบรรพชน) ปรากฏในคัมภีร์ฮินดู เช่นคัมภีร์พราหมณะและคัมภีร์ธรรมศาสตร์ ซึ่งวางอยู่บนแนวคิดของกรรม มองว่า มนุษย์เกิดมาพร้อม สามหนี้ คือ หนี้ต่อเทพ หนี้ต่อครู และหนี้ต่อพ่อแม่ การมีลูกเอง การทำพิธี การดูแลบิดามารดา คือการชำระหนี้กรรมที่สืบต่อทางสายตระกูล

พุทธศาสนาก็รับแนวคิดนี้บางส่วน โดยปรับหลักการเป็นเชิงคุณธรรม-บารมี นั่นคือ
ลูกมีหน้าที่ตอบแทนพระคุณด้วยการดูแลพ่อแม่ แต่ไม่ใช่การชดใช้ตามสัดส่วนหนี้ หากเป็นการทำเพื่อยกระดับพ่อแม่ให้ถึงธรรมะ

อารยธรรมอียิปต์–เมโสโปเตเมีย

    อียิปต์โบราณเชื่อว่าความผูกพันสายเลือดเป็นส่วนหนึ่งของมาอัต (Maat) คือ ระเบียบแห่งสากล ลูกต้องเชิดชูชื่อพ่อแม่ผ่านการกระทำที่ดี ถือเป็นการรักษาความสมดุลของโลก ส่วนเมโสโปเตเมียมีประมวลกฎหมาย เช่น กฎหมายฮัมมูราบีที่ยืนยันว่า ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามชรา มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษทางสังคม

    คุณธรรมว่าด้วยความกตัญญู

    สมัยกรีก แม้สังคมกรีกจะเน้นเสรีภาพของปัจเจก แต่ก็มีแนวคิด timē (เกียรติ) ที่ลูกต้องให้กับพ่อแม่ เพลโตมองว่าความสัมพันธ์ครอบครัวเป็นสถาบันจริยธรรมมากกว่าเรื่องเศรษฐศาสตร์ ลูกต้องปฏิบัติดีเสมือนปฏิบัติต่อเทพ อริสโตเติลเองก็มองว่าลูกเป็นหนี้บุญคุณอย่างลึกซึ้ง แต่ติดปัญหาสำคัญคือ ความดีที่พ่อแม่ทำยิ่งใหญ่เกินจะแทนคุณได้ ดังนั้นลูกไม่สามารถชำระหนี้ได้สมบูรณ์
    สมัยโรมัน ชาวโรมันถือ pietas เป็นหน้าที่สูงสุดของพลเมืองดี การดูแลพ่อแม่ไม่ใช่เพียงความรัก แต่เป็นหน้าที่สาธารณะ ลูกที่ไม่ดูแลพ่อแม่ถือว่าทำลายศีลธรรมของรัฐ

      กตัญญูในฐานะศีลธรรมสากล
      คริสต์ศาสนา มีบัญญัติ “จงให้เกียรติบิดามารดาของท่าน” ความสัมพันธ์นี้ถูกยกระดับเป็นศีลธรรมสากล แบบคุณธรรมเทวบัญชา

      ศาสนาอิสลาม มีคำสั่งให้ดูแลพ่อแม่ปรากฏหลายครั้งในกุรอาน โดยเฉพาะกรณีแม่ที่อุ้มท้องและคลอดลูก มองได้ว่าหน้าที่มาจากความเมตตาที่ตอบกลับความเมตตา

      พุทธศาสนา มองว่าพ่อแม่คือ พระอรหันต์ของลูก เพราะให้ชีวิต ลูกต้องตอบสนองด้วยจิตกตัญญูและการประพฤติดี กตัญญูเป็นต้นแบบของกุศลธรรม

      ยุคสมัยใหม่

      เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ (Modern Era) ปรัชญาตะวันตกเริ่มมองความสัมพันธ์พ่อแม่–ลูกด้วยภาษา สัญญา สิทธิ เสรีภาพ และเหตุผล เกิดทฤษฎีดังนี้

      1) Debt Theory (ลูกติดหนี้พ่อแม่) ลูกติดหนี้ (debt) กับพ่อแม่เพราะพ่อแม่ลงทุนทรัพยากร (เงิน เวลา แรง ฯลฯ) เพื่อเลี้ยงดูลูก ดังนั้นลูกจึงควรชดใช้หนี้นั้น เช่น Jan Narveson เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ Debt Theory ไว้ในบทความ On Honouring Our Parents (1987) จุดวิพากษ์ของแนวคิดนี้ คือการเทียบความสัมพันธ์พ่อ-ลูกกับหนี้ทางเศรษฐกิจอาจไม่เหมาะ (parent-child ≠ creditor-debtor) เพราะลดความสัมพันธ์ครอบครัวเป็นการเงิน นอกจากนี้ ทฤษฎีนี้ไม่สนใจสภาพปัจจุบันของความสัมพันธ์ (relationship) มากนัก แต่มองเฉพาะส่วนการลงทุนในอดีต และไม่ครอบคลุมกรณีพ่อแม่ไม่ได้ทำดี ไม่บอกว่าหนี้มีสัดส่วนเท่าไร

      2) Gratitude Theory (ลูกตอบแทนด้วยความกตัญญู) ลูกรู้สึกกตัญญู (gratitude) ต่อพ่อแม่ที่ให้ความดี (benevolence) พ่อแม่ทำเพื่อประโยชน์ของลูก (เลี้ยงดู ฯลฯ) ลูกควรแสดงความขอบคุณและตอบแทนในทางจริยธรรม มีนักปรัชญาหลายคนพูดถึงในมุมมองนี้โดยให้ความสำคัญกับคุณธรรมในใจ (attitude) มากกว่าแค่การจ่ายหนี้ อย่างไรก็ตามข้อวิพากษ์สำคัญ ก็คือ ทฤษฎีนี้ไม่ชี้ชัดว่าลูกต้องทำอะไรอย่างชัดเจน (action-guiding principle) ว่าต้องตอบแทนอย่างไรจึงจะเรียกว่ากตัญญู

      3) Friendship Theory (ความสัมพันธ์แบบเพื่อน) ลูกควรทำเพื่อพ่อแม่อย่างที่เพื่อนทำให้กัน ความสัมพันธ์ควรเป็นความสัมพันธ์สมัครใจ มีความรัก ความห่วงใย ไม่ควรเหมือน หนี้ เช่น Jane English เสนอเป็น Friendship Theory โดยเฉพาะในเรื่อง obligation ระหว่างลูกกับพ่อแม่ (ช่วงปลายศตวรรษ 20) และถูกพัฒนาต่อโดยนักปรัชญา เช่น Nicholas Dixon อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้มีจุดวิพากษ์คือ ความสัมพันธ์พ่อ-ลูกนั้นย่อมไม่เหมือนเพื่อน เนื่องจากมีความไม่เท่าเทียมกันในความสัมพันธ์นั้น ไม่สมจริงในบริบทหลายวัฒนธรรม

      แนวคิดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน (normative ethics) ในปรัชญตะวันตก โดยเฉพาะการปฏิบัติตามหน้าที่ (duty) และความสัมพันธ์ทางจริยธรรม (relationship ethics) โดยมีจุดเชื่อมกับแนวคิด จริยศาสตร์เชิงบทบาท (role ethics ) ที่มองถึงบทบาทลูก-พ่อแม่ ลูกอาจมีบทบาททางจริยธรรมเฉพาะ ซึ่งในปรัชญาตะวันออก หรือในขนบขงจื้อก็มีแนวคิดใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ Gratitude Theory อาจเกี่ยวข้องกับปรัชญาคุณธรรม (virtue ethics) ด้วย เพราะพูดถึงคุณธรรมกตัญญู (gratitude) ในจิตใจและท่าทีปฏิบัติ

      ต้นศตวรรษที่ 21 เกิดประเด็นเชิงนโยบายและเชิงวัฒนธรรมที่เป็นประเด็นถกเถียงคือ สังคมสูงวัย และระบบสวัสดิการ คำถามว่าหน้าที่ดูแลพ่อแม่ควรเป็นภาระของครอบครัวหรือรัฐ ทำให้บทสนทนาทางปรัชญาต้องเชื่อมกับนโยบายสาธารณะ (filial laws, long-term care policy) งานวิชาการใหม่ๆ เน้นว่าคำตอบเชิงจริยธรรมต้องคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจและความเป็นไปได้จริง ความแตกต่างทางวัฒนธรรม แนวคิดขงจื้อยังคงมีอิทธิพลในเอเชีย และงานเปรียบเทียบชี้ว่าทฤษฎีตะวันตกบางอย่างต้องปรับเพื่อใช้เฉพาะในบริบทที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบเชิงครอบครัวมากกว่า นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องสิทธิและการ ออกจากความสัมพันธ์ การอภิปรายเรื่องว่า เด็กผู้ใหญ่สามารถถอนตัว (divorce) จากความสัมพันธ์พ่อ-แม่ได้หรือไม่ กลายเป็นประเด็นใหม่ที่ท้าทาย debt theory และ friendship model ในสมัยใหม่

      งานวิจัยหลังปี 2000 แจึงมุ่งไปที่การ (1) ตรวจสอบว่าพ่อ-ลูกเป็นหนี้ หรือเป็นความสัมพันธ์พิเศษ และ (2) พยายามให้ทฤษฎีมีความเป็นคู่มือการปฏิบัติ (action-guiding) ในบริบทสังคมสูงวัยและความเปลี่ยนแปลงทางครอบครัวในโลกสมัยใหม่ งานสำคัญที่เป็นศูนย์กลางการอภิปรายคือ บทความของ Simon Keller (2006) ที่สรุป/วางกรอบสามทฤษฎีข้างต้นไว้และส่งเสริมการสร้างแนวคิดใหม่เพิ่มขึ้นมา ได้แก่

      1) Contextual / Pluralist Models (ตัวแบบบริบท-หลากหลาย) นักปรัชญาร่วมสมัยจำนวนมากเสนอว่า ไม่มีทฤษฎีเดียวที่เพียงพอ ต้องอาศัยโมเดลแบบผสมและให้ความสำคัญกับบริบท เช่น ครอบครัว ประวัติชีวิต บริบทสังคม/กฎหมาย Anders Schinkel (2012) เสนอโมเดลเชิงบริบท/พหุปริภูมิ ซึ่งชี้ว่า ความกตัญญูขึ้นกับประวัติสัมพันธ์ (history) คุณภาพสัมพันธ์ (quality) และบริบทสังคม (social context)
      2) ทฤษฎีพิเศษ (Special-Goods / Gratitude-for-Special-Goods / Blended theories) งานที่พัฒนาเพิ่มเป็นทฤษฎีผสม เช่น Brynn F. Welch (2012) และงานอื่นๆ ที่พยายามรวมข้อดีของ gratitude กับ special-goods (สิ่งดีพิเศษที่พ่อแม่ให้) มองว่า พ่อแม่ให้สิ่งดีพิเศษที่ไม่มีใครให้อีกได้ เช่น การให้กำเนิด การดูแลเฉพาะตัว การสร้างสภาวะแรกของชีวิต ลูกตอบแทนไม่ใช่เพราะหนี้ แต่เพราะความสัมพันธ์ก่อคุณค่าเฉพาะ แนวคิดนี้เน้นการให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติที่มากขึ้น

      สรุป

      ศตวรรษที่ 21 มองว่า ความสัมพันธ์พ่อแม่–ลูกไม่เคยเป็นเพียงภาระหรือสัญญา หากเป็น รากของมนุษยชาติที่มีหลายมิติที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีทฤษฎีเดียวอธิบายได้หมด เพราะความเป็นมนุษย์เองมีหลายชั้น หลายเหตุ หลายอารมณ์ จึงยอมรับในแนวคิดว่า ความกตัญญูไม่มีทฤษฎีเดียวที่ตอบทุกสถานการณ์ แนวทางเชิงบริบท (contextual pluralism) และทฤษฎีผสมได้รับความนิยมเพราะให้ทั้งความยืดหยุ่นและแนวทางปฏิบัติ งานวิจัยร่วมสมัยที่เชื่อมทฤษฎีกับข้อมูลเชิงสังคมศาสตร์และนโยบายสาธารณะ เช่น สวัสดิการรัฐ ค่าดูแลสูงวัย ครอบครัวเดี่ยว ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ข้อเสนอเชิงปรัชญาสอดคล้องกับปัจจัยเชิงบริบท เช่น เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เพศ มากขึ้น ส่วนที่ยังดำเนินอยู่ก็คือ ความพยายามและการป้องกันแนวคิด debt theory การปรับปรุง friendship model และการพัฒนาทฤษฎี gratitude/special-goods เพื่อเติมช่องว่างเชิงปฏิบัติ สำหรับแนวทางสายกลางก็มองเสริม contextual pluralism ได้ว่า ความสัมพันธ์พ่อแม่–ลูกอาจไม่ใช่ทั้งหนี้ มิตรภาพ หรือความกตัญญูเพียงอย่างหนึ่งอย่างใด แต่เป็นสนามแห่งการสร้างคุณธรรมที่ไม่หยุดนิ่ง และเป็นพื้นที่ซึ่งมนุษย์เรียนรู้ที่จะผสมผสานประวัติ ความรัก ความเจ็บปวด และการเลือกในแบบที่สอดคล้องกับชีวิตจริงเพื่อตอบต่อสัญญาตญาณปัญญาและแสวงหาความสุขแท้ตามความเป็นจริงของแต่ละคนนั่นเอง


      Leave a comment