ผศ. (พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
สงครามเป็นความเป็นจริงหนึ่งที่สามารถดำรงอยู่ในโลกได้ในฐานะปรากฏการณ์ที่มีความชอบธรรมในสายตามนุษย์ และเหตุใดหลายสังคมจึงเชื่อในสงคราม และมีพฤติกรรมราวกับเป็นศาสนาอีกแบบหนึ่ง เป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า เมื่อวิเคราะห์ผ่านองค์ประกอบศาสนาและเทววิทยา เราสามารถเข้าใจและอธิบายเชิงวิเคราะห์ถึงสภาวะของสงครามได้ลึกซึ้งขึ้น และหากเราอยู่ในภาวะสงคราม จะดำรงตนอย่างไร จึงจะปกป้องบ้านเกิดได้ด้วย ในบทความนี้จะวิเคราะห์ผ่านมิติต่าง ๆ เพื่อให้ภาพของสงครามมีความชัดเจนขึ้นและเสนอวิธีการในการปฏิบัติของเราในภาวะสงครามได้อย่างพอประมาณได้ด้วย
มิติพิธีกรรม
สงครามมีพิธีกรรมของตนเอง แต่โบราณมีพิธีที่ให้ความหมายและสร้างพลังศรัทธาในหมู่ผู้เข้าร่วม เช่น พิธีสวนสนาม การชักธงชาติ การสาบานตนของทหาร ล้วนเป็นพิธีกรรมที่ทำให้การใช้ความรุนแรง ไม่ใช่ความรุนแรงธรรมดา แต่เป็นความรุนแรงที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์
พิธีฝึกทหาร เช่น การฝึกแบบโหดหรือตัดขาดจากชีวิตเดิม ก็เสมือนกับพิธีเปลี่ยนสถานะ (rite of passage) จากพลเรือนสู่ผู้ถืออาวุธ การประกาศสงคราม การเชิญประชุมฉุกเฉิน การลงนามคำสั่งยิง คือ พิธีกรรมของชนชั้นนำในการให้ความหมายแก่การฆ่า พิธีศพทหาร เช่น การวางพวงหรีด การยิงสลุต การกล่าวสดุดี คือพิธีกรรมที่ทำให้ความตายมีเกียรติ
พิธีเหล่านี้สร้างกรอบให้มนุษย์รู้สึกว่า การสังหารศัตรูเป็นหนึ่งในหน้าที่อันสูงส่ง มากกว่าจะเป็นอาชญากรรมจนถึงกับรู้สึกว่าไม่ใช่อาชญากรรม พิธีกรรมในสงครามยังทำให้ผู้คนยอมรับโครงสร้างอำนาจ และมอบความชอบธรรมให้คำสั่งจากรัฐ เมื่อรวมพลังกัน พิธีกรรมทำให้สงครามกลายเป็นสิ่งที่ดูยิ่งใหญ่และหลีกเลี่ยงไม่ได้ มากกว่าการใช้กำลังแบบไร้ความหมาย สงครามจึงดำรงด้วยพลังพิธี ไม่ต่างจากศาสนาแต่อย่างใด
มิติเรื่องเล่า
สงครามดำรงอยู่ได้เพราะได้รับการเล่าเรื่องในรูปแบบตำนานวีรบุรุษ กู้ชาติ ผู้พิทักษ์เสรีภาพ ผู้กอบกู้แผ่นดิน เหล่านี้คือ บทบาทที่เติมความถูกต้อง ชอบธรรม ความเป็นวีรบุรุษให้แก่การฆ่า เรื่องเล่าแบบคู่ตรงข้าม“เรา-เขา” “คนดี-คนชั่ว” “ผู้รุกราน-ผู้ถูกกระทำ”สร้างโลกทัศน์แบบสองขั้วที่หล่อเลี้ยงสงคราม และศัตรูถูกสร้างเป็นอมนุษย์ (dehumanization) เพื่อลดความรู้สึกผิดในการสังหาร
สงครามถูกเล่าเป็นชะตากรรมประวัติศาสตร์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหตุการณ์ที่ชาติจะถูกทดสอบ สังคมยังสร้างตำนานการเสียสละ เพื่อเปลี่ยนความสูญเสียให้เป็นความหมาย ประวัติศาสตร์ถูกเลือกบางส่วนมาเล่า เพื่อสร้างภาพว่า ชาติถูกทำร้ายหรือถูกคุกคาม สิ่งนี้ทำหน้าที่เหมือนตำนานศาสนาที่ปกป้องความเชื่อ เมื่อเรื่องเล่าแข็งแรงเพียงพอ คนจำนวนมากจะยอมตายเพื่อปกป้องตำนาน ไม่ต่างจากผู้ศรัทธาในศาสนา ดังนั้น สงครามจึงดำรงอยู่เหนือความจริง เพราะอาศัยเรื่องเล่ามากกว่าข้อเท็จจริง
มิติหลักคำสอน
สงครามมีหลักคำสอนของตัวเอง เช่นเดียวกับศาสนา คำสอนเหล่านี้มักมาในรูปของอุดมการณ์ ชาตินิยม ความมั่นคงของรัฐ อุดมการณ์การปกป้องศาสนา และปฏิบัติการเชิงศีลธรรม (moral intervention) จึงเกิดแนวคิดสงครามเพื่อสันติภาพ
หลักคำสอนเหล่านี้สร้างกรอบความคิดให้ประชาชนเชื่อว่าความรุนแรงเป็นสิ่งจำเป็น หลักคำสอนเชิงสงครามมักอ้างความจริงระดับสูง เช่น เราต้องรักษาอารยธรรม หรือเราปกป้องสิทธิของมนุษย์ เมื่ออุดมการณ์ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ย่อมจะกลายเป็นกฎศีลธรรมที่เหนือกว่าชีวิตคน หลักคำสอนยังสร้างความชอบธรรมเชิงศีลธรรมให้การฆ่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เช่น ทฤษฎีสงครามยุติธรรม (Just War Theory)
ในระดับรัฐ หลักคำสอนคือ เครื่องมือระดมสังคมให้เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาล ในระดับจิตวิทยา หลักคำสอนช่วยให้มนุษย์อธิบายการใช้ความรุนแรงของตัวเองได้โดยไม่รู้สึกผิด ดังนั้น สงครามจึงตั้งอยู่บนหลักคำสอน มีความเชื่อ มีเหตุผลเชิงศีลธรรม และมีภารกิจทางอุดมการณ์
มิติจริยธรรม
การสงครามมีจริยธรรมเป็นของตนเอง นั่นคือ มีศีลธรรมของทหาร เช่น ความจงรักภักดี ความกล้าหาญ ความรับผิดชอบต่อคำสั่ง การปกป้องผองเพื่อน สิ่งเหล่านี้ถูกทำให้มีคุณค่าเหนือการนำเสนอความรุนแรง การไม่ยอมทำสงครามในบางสังคมกลับถูกมองว่า ผิดศีลธรรมเพราะเป็นการทรยศชาติหรือเพื่อนร่วมรบ
สงครามยังมีกฎหมาย และประมวลจริยธรรมของตัวเอง เช่น ข้อห้ามฆ่าพลเรือน การต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดน นี่คือความย้อนแย้งที่ผู้สร้างความรุนแรงพยายามสร้างกรอบศีลธรรมเพื่อทำให้ความรุนแรงของตนดูสะอาด จริยธรรมเชิงสงครามทำให้ทหารรู้สึกว่าตนกำลังทำสิ่งที่สูงส่ง ไม่ใช่การฆ่าตามสัญชาตญาณ
จริยธรรมเหล่านี้สร้างทั้งความเป็นหนึ่งเดียวและความกำกวมร่วมของสังคม จึงมักจะเห็นสงครามที่ดำเนินอยู่ได้ด้วยศีลธรรมในเชิงโครงสร้าง แม้จะขัดแย้งกับศีลธรรมพื้นฐาน
และสะท้อนว่า มนุษย์สามารถสร้างศีลธรรมเพื่อชอบธรรมในความรุนแรงได้ เหมือนศาสนาใช้ศีลธรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ความดี
มิติประสบการณ์
สงครามก่อให้เกิดประสบการณ์ภายในที่มีพลังระดับศาสนา ผู้คนจึงเชื่อในสงครามเพราะพวกเขารู้สึกบางสิ่งบางอย่างได้ เช่น ความเป็นหนึ่งเดียวในชาติ ความฮึกเหิม ความหมายในการเสียสละ ความกล้าหาญที่เหนือกว่าตนเอง ความเป็นพวกพ้องเดียวกัน (camaraderie) คนจำนวนมากอาจค้นพบอัตลักษณ์ตัวตนใหม่ภายในสนามรบ
ในบางราย สงครามทำให้เกิดสภาวะเหมือนการข้ามพ้น (transcendence) เช่น การกลัวตาย การกลัวลำบาก นอกจากนี้ ความตื่นเต้นของความเสี่ยงตายทำให้เกิดภาวะทางจิตลึก (peak experience) ซึ่งบางคนติดใจจนไม่อาจใช้ชีวิตแบบปกติได้อีก และเป็นเหตุผลเชิงจิตวิทยาว่า ทำไมบางคนต้องการกลับไปรบอีกครั้ง แม้สงครามจะทำร้ายจิตใจของเขา แต่บางคนก็ประสบกับประสบการณ์ความโหดร้ายของสงครามจนเกิดเป็นบาดแผลในใจ (trauma) ซึ่งรับรู้ได้เฉพาะผู้ประสบ
สิ่งเหล่านี้คือ ประสบการณ์ที่ทรงพลังมากพอจะสร้างความศรัทธาในสงครามหรือความจำเป็นของสงคราม มนุษย์จึงอยู่กับสงครามทั้งเพราะกลัวและเพราะมีความหมายภายในที่สงครามสร้างขึ้น
มิติสถาบัน–สังคม
รัฐคือศูนย์กลางของสงคราม ไม่ใช่พื้นที่ชายแดน และทหารคือ สมาชิกสำคัญในระบบสถาบัน โดยกองทัพคือ สถาบันที่ผูกขาดอำนาจในการใช้ความรุนแรง
รัฐผลิตอุดมการณ์ กระจายคำสอน และสร้างพิธีกรรมเพื่อทำให้สังคมหนุนสงคราม สื่อทำหน้าที่เหมือนผู้ส่งต่อเรื่องเล่าอย่างเป็นระบบ ระบบการศึกษาปลูกฝังความรักชาติ และทำให้สงครามดูเป็นเรื่องธรรมชาติ (ผ่านแนวคิดอาชีพในฝัน)
โครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรมอาวุธ ก็เป็นสถาบันสนับสนุนสงครามในระดับวัตถุ ในเชิงสังคม คนที่ไม่เห็นด้วยกับสงครามอาจถูกกีดกัน ถูกใส่ร้าย หรือถูกผลักออกจาก ชุมชนที่เห็นชอบในการสงครามนั้น ๆ
สถาบันทั้งหมดนี้ช่วยสร้างระบบความหมายที่ทำให้สงครามถูกต้องตามกฎหมาย และถูกต้องทางศีลธรรม สงครามจึงดำรงอยู่ได้เพราะมีสถาบันรองรับในทุกมิติ
มิติศิลปะ–สัญลักษณ์
สงครามมีสัญลักษณ์ที่ทรงพลังมาก เช่น ธง เครื่องแบบ อนุสาวรีย์วีรชน เหรียญกล้าหาญ ในขณะที่ภาพศัตรูที่ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ สิ่งเหล่านี้คือ ไอคอนที่สร้างทั้งอารมณ์และความศรัทธา สัญลักษณ์ของสงครามช่วยให้ความรุนแรงถูกสวยงามขึ้น ถูกทำให้มีเกียรติ
การสร้างอนุสรณ์สถานช่วยให้สังคมไม่ลืมความสูญเสีย แต่ก็ไม่ลืมความชอบธรรมของสงครามด้วย สัญลักษณ์ทางสงครามจึงเป็นภาษาวัตถุของอุดมการณ์ และตีตราความหมายลงบนพื้นที่จริงของชีวิต ผู้คนรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชาติผ่านสัญลักษณ์ที่จับต้องได้ของสงครามนี้
เทววิทยาของสงคราม
สงครามจึงถูกยกขึ้นสู่สถานะศักดิ์สิทธิ์ แม้มิได้มีเทพองค์ใดรับผิดชอบ สงครามดำรงอยู่ในฐานะศาสนาเงาที่ถูกยอมรับทั่วโลก และมีโครงสร้างลึกเทียบเท่าศาสนาดั้งเดิมทุกประการ
ชาติทำหน้าที่แทนเทพเจ้า คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่นอกเหนือมนุษย์ ใหญ่กว่ามนุษย์ และต้องการการปกป้องไม่รู้จบ ในขณะที่ความกลัวตายของชาติ (imagined death) กลายเป็นเทวกำเนิดของความรุนแรงที่นำไปสู่สงคราม สงครามจึงถือกำเนิดเพื่อรักษาเทพเจ้าที่ชื่อว่า ชาติ
ทหารที่กล้าหาญยอมตาย ไม่ใช่แค่ปกป้องดินแดน แต่เสมือนได้ทำพิธี “เสียสละ” เพื่อถวายแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สังคมเชื่อถือ คือ รัฐในฐานะเทพเจ้า เลือดของผู้ตายในสงครามจะถูกกล่าวถึงในฐานะเลือดแห่งอิสรภาพ เลือดของวีรชน เลือดของผู้เสียสละ (sacralization of blood) เหมือนพิธีกรรมโบราณที่ทุกหยดโลหิตมีความหมาย นี่คือการเปลี่ยนความตายให้กลายเป็นศีล และเปลี่ยนการฆ่าให้เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
ในปัจจุบันไม่ยอมรับผู้ก่อสงคราม ดังนั้นการสงครามต้องสร้างผู้แบกบาป เพื่อวางเหตุแห่งความทุกข์ไว้ที่ฝ่ายตรงข้าม โดยอาจมีประเด็นสำคัญ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา อุดมการณ์ เป็นลักษณะของเทววิทยาของการโยนบาป (scapegoat theology) มนุษย์กลัวความว่างเปล่าในตนเอง จึงต้องมีศัตรู เพื่อให้รู้สึกว่าตนดีและบริสุทธิ์ ศัตรูกลายเป็นปีศาจ เราเป็นนักบุญ ความรุนแรงจึงมีความชอบธรรมทางศีลธรรม
สงครามมีเหตุผลอ้างของการเกิดขึ้นได้หลายประการ เช่น ปกป้องเสรีภาพ ปกป้องความดี ปราบความชั่ว ทำให้โลกมีระบบระเบียบ นี่คือ แนวคิดของการให้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือของธรรมะ เรียกว่า เทววิทยาแห่งดาบ (theology of swords) ที่ปรากฏทั้งในวัฒนธรรมตะวันตก–ตะวันออก เมื่อดาบถูกยกขึ้นเพื่อความดี มนุษย์จะยอมรับการฆ่าเสมอ เพราะเชื่อว่ากำลังทำงานในนามของเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม
สงครามสร้างความเป็นเรา แต่เป็นเราที่ต้องปกป้องตนเองด้วยเลือด ในห้วงสงคราม
อัตลักษณ์รายบุคคลหลอมละลาย เหลือเพียงจิตวิญญาณของหมู่คณะ ผู้คนรู้สึกเข้มแข็งเพราะไม่อยู่ลำพัง มนุษย์จึงยอมให้สงครามนิยามความเป็นตัวตน
ทุกสงครามต้องมีคำพยากรณ์ว่าถ้าไม่สู้ จะเกิดความหายนะ ถ้าสู้ จะเข้าสู่ยุคใหม่ นี่คือ เทววิทยาว่าด้วยวาระสุดท้าย (eschatology) ทำให้สงครามมีโครงเรื่องแบบศาสนา
ผู้คนจึงรู้สึกว่า ถ้าไม่รบ เราจะสูญสิ้นเผ่าพันธ์ุ สงครามจึงเป็นพิธีกรรมเพื่อหลบเลี่ยงหายนะในจินตนาการนี้
ผู้นำการเมืองทำหน้าที่เหมือนที่ปรึกษา พวกเขามักจะปรากฎตนเพื่อประกาศว่า นี่คือสงครามที่จำเป็น นี่คือสงครามเพื่อคุณธรรม นี่คือสงครามที่เราต้องชนะเพื่ออนาคต เมื่อคำประกาศของผู้มีอำนาจถูกสังคมศรัทธา สงครามก็มีเครื่องหมายของความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต่างจากศาสนพิธีที่ประกอบโดยนักบวช
การปกป้องบ้านเกิด
ในความเป็นจริงของสังคมโลก เมื่อเกิดความรุนแรงขึ้น มีความขัดแย้งกัน การปะทะกันย่อมนำไปสู่สงครามได้ การปกป้องบ้านเกิดเป็นสิ่งที่ไม่มีภววิทยาใดจะกำหนดว่าไม่ถูกต้อง แต่เราจะรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ท่ามกลางสงครามอย่างไร
แยกการปกป้องออกจากความเกลียด ผู้รุกรานอาจถืออาวุธ แต่ความเกลียดในใจเราคืออาวุธที่แทงเราเองก่อนใคร สงครามภายนอกเริ่มจากความโลภและอัตตา สงครามภายในเริ่มจากความเกลียดชัง การปกป้องตนเองไม่จำเป็นต้องเกลียดผู้ที่รุกราน เกลียดศัตรูคือการให้ศัตรูเข้ามาอยู่ในใจ เต็มพื้นที่ภายในจนเราตายก่อนสู้กันจริง ๆ
ปกป้องชีวิตมากกว่าปกป้องอัตลักษณ์ การปกป้องดินแดนอย่างแท้จริง คือการรักษาชีวิตผู้คน ไม่ใช่รักษาความภาคภูมิใจทางชาติพันธุ์ เมื่อการปกป้องมีเป้าคือชีวิต สงครามจะไม่สามารถแปรเราเป็นทาสของมันได้ ผู้ที่ยึดดินแดนมากกว่าชีวิต คือผู้ที่สูญเสียทั้งสองอย่างเสมอ
รักษาสติ ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของโฆษณาชวนเชื่อ ในสงครามทั้ง 2 ฝ่าย ต่างมีข่าวลวง อารมณ์หมู่ ความกลัวที่ถูกขยาย ความชอบธรรมที่ถูกประดิษฐ์ เพราะสงครามต้องการฝูงชนที่ตื่นตระหนกเพื่อขับเคลื่อน แต่เราสามารถเป็นพลเมืองที่ตั้งมั่นในคลื่นอารมณ์ของสังคม เราพึงดำรงอยู่ด้วยสติ คือ ฟังช้าๆ ไตร่ตรองช้าๆ ไม่แชร์เร็ว ไม่สรุปเร็ว รักษาปัญญาไว้เหนือความกลัว เราจึงจะไม่ตกเป็นเหยื่อของเจตจำนงแห่งสงครามอย่างแท้จริง
ปกป้องบ้านแบบมีพลัง เราแต่ละคนมีพลังปกป้อง พิทักษ์อารักษ์ ด้วยความรักต่อสรรพชีวิตได้ จิตแบบนี้ทำให้เราปกป้องโดยไม่หลงอัตตา โดยไม่ฉีกศีลธรรมตนเอง และไม่กลายเป็นเงาของศัตรูเสียเอง
ใช้พลังการรวมหมู่ เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านมนุษยธรรม ในสงครามที่เกิดขึ้นนั้น สิ่งที่ปกป้องดินแดนได้ดีที่สุดคือ เครือข่ายของมนุษย์ที่ช่วยกันประคับประคองกัน การช่วยเหลือผู้ลี้ภัย การแบ่งปันทรัพยากร การป้องกันจิตใจผู้คนไม่ให้แตกสลาย การประคับประคองผู้บาดเจ็บ การดูแลผู้ที่สูญเสีย ด้วยความกรุณา เราจึงจะมีพลังที่ไม่ต้องเอาชนะใครเพื่อให้เกิดความดี
ไม่ยอมให้ความกลัวกดทับเสรีภาพภายใน สิ่งที่สงครามกระทบเรามากที่สุดคือ ใจที่ยอมแพ้ก่อนเหตุการณ์จริง การปกป้องอย่างมีศักดิ์ศรีคือ การรักษาเสรีภาพภายใน แม้เสรีภาพภายนอกจะถูกคุกคาม เรายังมีใจยังคิดได้ ยังหวังได้ ยังรักได้ ยังกรุณาได้ และยังเชื่อในความดีได้ ดังนั้น ตราบใดที่เสรีภาพภายในยังอยู่ สงครามไม่อาจชนะตัวตนที่แท้จริงของเราได้
วางรากฐานไว้กับความจริง ไม่ใช่วาทกรรม การปกป้องดินแดนไม่อาจตั้งอยู่บนความเกลียดชาติอื่น ความหลงตัวเอง ความภูมิใจแบบไม่ใคร่ครวญ และความกลัวที่ไร้เหตุผล เราต้องยอมรับว่า ทุกชีวิตมีค่า ทุกความสูญเสียคือความเจ็บ ไม่ทำให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์อีกฝั่งหนึ่งไม่มีค่า และไม่ปล่อยให้สงครามสร้าง ความคิดสุดโต่งในใจของเรา
สรุป
สงครามมีลักษณะประหนึ่งศาสนาสำหรับมนุษย์ และมีกลไกที่ยกระดับในระดับศาสนา สงครามให้ความหมายแก่ชีวิต ให้ภารกิจ ให้ตัวตน ให้ความเป็นผู้กล้า สงครามทำการแทนที่ความว่างภายใจตนของมนุษย์ด้วยความรุนแรง ก่อเกิดเทวภาพประการหนึ่ง และสงครามดำรงอยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ เพราะสงครามนั้นตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณ หลักศาสนาสงครามและเทววิทยาสงครามนี้อธิบายการดำรงอยู่และวิถีของสงครามในสังคมมนุษย์ และสำหรับผู้มีอำนาจในระบบสถาบันทั้งหลายย่อมเห็นจุดสำคัญที่สงครามจะถูกช่วงใช้เพื่อควบคุมมนุษย์ด้วยเช่นกัน
เมื่อเข้าใจภววิทยาของสงคราม ที่มีลักษณะในระดับสถาบันศาสนา และมีกระบวนการเทววิทยาสงครามอยู่ในบริบท แต่สงครามมีอยู่จริง เราก็มีหน้าที่ปกป้องบ้านเกิดได้เช่นกัน แต่ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นเชื้อไฟของสงครามนั้น เราสามารถยืนหยัดโดยไม่เกลียด ปกป้องโดยไม่สูญเสียศีลธรรม ร่วมแรงกันโดยไม่ถูกชักใยด้วยความกลัว เดินอยู่ท่ามกลางไฟโดยไม่ให้ไฟเข้าไปในหัวใจ นี่คือหนทางของเราที่จะไม่ยอมให้สงครามกลายเป็นความสุดโต่งและชิงเอาความเป็นมนุษย์ไปจากเรา

