บทบรรยาย โดย ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ วันที่ 19 มีนาคม 2560

บทนำ

ปรัชญาตะวันตกในศตวรรษที่ 20–21 เผชิญกับภาวะวิกฤติของความรู้ ความหมาย และคุณค่าอย่างต่อเนื่อง กระบวนทรรศน์แบบนวยุค (Modernism) ที่ยึดมั่นในเหตุผลสากล ความจริงเชิงวัตถุ และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากกระแสหลังนวยุค (Postmodernism) ซึ่งชี้ให้เห็นถึงอำนาจแฝง วาทกรรม และโครงสร้างที่ครอบงำความรู้ อย่างไรก็ตาม หลังนวยุคในรูปแบบสุดโต่ง (extreme/radical) กลับนำไปสู่ภาวะปฏิเสธความจริง ความหมาย และบรรทัดฐานทางจริยธรรมโดยสิ้นเชิง

ในบริบทนี้ แนวคิดหลังนวยุคสายกลาง (moderate postmodernism) จึงปรากฏขึ้นในฐานะความพยายามหาทางออกเชิงปรัชญาที่ไม่ตกไปสู่สุดขั้วใดสุดขั้วหนึ่ง หากแต่เสนอการดำรงอยู่บนพื้นที่ระหว่างเหตุผลกับการวิพากษ์ ระหว่างความจริงกับความไม่แน่นอน และระหว่างเสรีภาพกับความรับผิดชอ

กระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลาง: การตั้งคำถามอย่างมีความรับผิดชอบ

    กระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลางมีจุดยืนสำคัญคือการก้าวข้าม (transcend) วิธีคิดแบบนวยุคโดยไม่ปฏิเสธคุณค่าของเหตุผล และในขณะเดียวกันก็ไม่รับเอาท่าทีแบบหลังนวยุคสุดโต่งที่มองว่าความจริงเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยวาทกรรมเท่านั้น

    หัวใจของแนวคิดนี้คือการตั้งคำถาม (questioning) อย่างมีวิจารณญาณ มนุษย์ไม่ควรเชื่อถือสิ่งใดโดยปราศจากการตรวจสอบ แต่ก็ไม่ควรปฏิเสธทุกสิ่งจนไม่เหลือหลักยึดทางปัญญา การวิพากษ์ในที่นี้จึงเป็นการวิพากษ์เชิงสร้างสรรค์ (constructive critique) ที่มุ่งเปิดพื้นที่ให้กับความเข้าใจใหม่ ๆ พร้อมทั้งตระหนักถึงผลกระทบของความคิดและการกระทำของตนเองต่อผู้อื่นและสังคม

    ในแง่นี้ หลังนวยุคสายกลางสอดคล้องกับแนวคิดปรัชญาปฏิบัติ (Pragmatism/Practical philosophy) ที่เห็นว่าความรู้ไม่อาจแยกขาดจากจริยธรรม และการคิดไม่อาจปลอดจากความรับผิดชอบทางสังคม

    ความสุขแท้กับความสุขเทียม: การวิพากษ์วัฒนธรรมบริโภคนิยม

      หนึ่งในประเด็นสำคัญที่แนวคิดหลังนวยุคสายกลางช่วยให้มองเห็นอย่างชัดเจน คือความแตกต่างระหว่างความสุขแท้ (authentic happiness) กับความสุขเทียม (pleasure) ในสังคมร่วมสมัย วัฒนธรรมบริโภคนิยมในโลกทุนนิยมดิจิทัลมักนิยามความสุขผ่านการครอบครองวัตถุ ชื่อเสียง หรือประสบการณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นความพึงพอใจระยะสั้น

      ความสุขในลักษณะนี้เป็นความสุขเทียม เพราะพึ่งพาปัจจัยภายนอกและไม่ยั่งยืน ตรงกันข้าม ความสุขแท้เกิดจากการเข้าใจอัตถะ (self) หรือสาระที่แท้จริง (essence) ของตนเอง การรู้จักขอบเขต ความหมาย และคุณค่าของชีวิต ซึ่งไม่อาจได้มาด้วยการบริโภค หากแต่ต้องอาศัยการพัฒนาปัญญา การใคร่ครวญตนเอง และการดำรงชีวิตอย่างสอดคล้องกับคุณค่าภายใน

      ในมุมมองปรัชญาตะวันตก แนวคิดนี้มีความใกล้เคียงกับจริยศาสตร์คุณธรรม (Virtue Ethics) ที่เน้นการพัฒนาลักษณะนิสัยและปัญญาเชิงปฏิบัติ มากกว่าการแสวงหาความพึงพอใจเฉพาะหน้า

      พลัง 4 ประการ: เครื่องมือเชิงปรัชญาสำหรับชีวิตร่วมสมัย

        เพื่อให้แนวคิดหลังนวยุคสายกลางไม่หยุดอยู่ในระดับนามธรรม จึงมีการเสนอ “พลัง 4 ประการ” เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิต ได้แก่

        1.พลังสร้างสรรค์ (Creativity)
        เป็นความสามารถในการคิดนอกกรอบ กล้าท้าทายสมมติฐานเดิม และสร้างความหมายใหม่ให้กับชีวิตและสังคม พลังนี้สะท้อนจิตวิญญาณของการไม่ยึดติดกับความจริงตายตัวแบบนวยุค

        2.พลังปรับตัว (Adaptability)
        โลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วต้องการมนุษย์ที่ยืดหยุ่น พร้อมเรียนรู้และปรับเปลี่ยนตนเองโดยไม่สูญเสียแก่นคุณค่า

        3.พลังร่วมมือ (Cooperation)
        การดำรงอยู่แบบปัจเจกนิยมสุดโต่งไม่อาจตอบโจทย์ปัญหาสังคมร่วมสมัย พลังร่วมมือจึงเป็นการยอมรับความสัมพันธ์เชิงพึ่งพาและจริยธรรมแห่งความเอื้ออาทร

        4.พลังแสวงหา (Seeking the better)
        คือท่าทีของผู้ใฝ่รู้ตลอดชีวิต ยอมรับว่าความรู้ไม่สมบูรณ์และเปิดรับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

        พลังทั้ง 4 นี้สะท้อนภาพของมนุษย์หลังนวยุคสายกลางที่ไม่หยุดนิ่งทางปัญญา แต่ก็ไม่หลงทางในความไร้ทิศทาง

        จริยธรรมในยุคดิจิทัล: จากกฎสู่สำนึกรับผิดชอบ

          ในยุคดิจิทัล จริยธรรมไม่อาจจำกัดอยู่เพียงกฎระเบียบหรือข้อบังคับทางกฎหมาย การกระทำทางออนไลน์จำนวนมากอยู่พ้นจากการควบคุมโดยตรงของสถาบัน จึงต้องอาศัย “สำนึกรับผิดชอบ” ของปัจเจกเป็นสำคัญ

          แนวคิดหลังนวยุคสายกลางเสนอว่าจริยธรรมที่แท้จริงต้องเกิดจากเจตนาที่มุ่งสร้างสังคมที่สงบสุขและเกื้อกูล ไม่ใช่เพียงการทำตามกฎอย่างไร้การใคร่ครวญ จริยธรรมจึงเป็นการผสานระหว่างเสรีภาพในการกระทำกับความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้อื่น

          Key Insight (ข้อคิดสำคัญ)
          “อย่าเชื่อเพราะเขาบอกว่าจริง แต่จงเชื่อเมื่อพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์” หลักการสำคัญของหลังนวยุคสายกลาง คือการใช้ปัญญาตรวจสอบความจริง หากสิ่งใดนำไปปฏิบัติแล้วเกิดผลดีต่อตนเองและส่วนรวม สิ่งนั้นจึงนับว่า “จริง” ในบริบทนั้น

          “ชีวิตที่มีคุณภาพ คือชีวิตที่กล้าเปลี่ยน” แนวคิดนี้มองว่า ความมั่นคงไม่ได้เกิดจากการยึดเกาะสิ่งเดิม แต่เกิดจากความสามารถในการ “ปรับตัวและเรียนรู้” อยู่เสมอ

          “อิสรภาพต้องมาคู่กับความรับผิดชอบ” เป็นหลักปรัชญาที่มองว่า เรามีเสรีภาพที่จะคิดต่างหรือทำอะไรก็ได้ แต่ต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับสังคมด้วย

          Action Plan (แนวทางปฏิบัติ)
          1. ฝึกคิดวิพากษ์ (Critical Thinking) เมื่อได้รับข้อมูลข่าวสาร อย่าเพิ่งรีบเชื่อหรือรีบปฏิเสธ ให้ลองตั้งคำถามว่า “สิ่งนี้มีที่มาอย่างไร?” และ “ถ้าทำตามแล้วจะเกิดผลดี/ผลเสียอะไร?”

          2. ใช้ชีวิตแบบ “Smart & Ethical”: ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและความรู้ใหม่ๆ (Smart) โดยไม่ละทิ้งคุณธรรมน้ำใจ (Ethical) เช่น การใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ ไม่เบียดเบียนใคร

          3. พัฒนาตนเองด้วย “4 พลัง” ได้แก่ ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ (สร้างสรรค์) ฝึกยอมรับความเปลี่ยนแปลงเมื่อเจอปัญหา (ปรับตัว) หาโอกาสทำงานอาสาหรือช่วยเพื่อนร่วมงาน (ร่วมมือ) และอ่านหนังสือหรือเรียนรู้ทักษะใหม่ทุกสัปดาห์ (แสวงหา)

          ปรัชญาเปรียบเสมือน “ยาขม” ที่อาจฟังยากในตอนแรก แต่เป็น “ยาดี” ที่ช่วยกระตุ้นปัญญาให้ตื่นรู้

          บทสรุป

          กระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลางเป็นความพยายามเชิงปรัชญาที่สำคัญในการหาจุดสมดุลระหว่างเหตุผลกับการวิพากษ์ ระหว่างความจริงกับความไม่แน่นอน และระหว่างเสรีภาพกับจริยธรรม เมื่อเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องความสุขแท้ พลังการพัฒนาชีวิต และจริยธรรมดิจิทัล จะเห็นได้ว่าแนวคิดนี้มิได้เป็นเพียงกรอบทฤษฎี หากแต่เป็นแนวทางการดำรงชีวิตอย่างมีสติ ปัญญา และความรับผิดชอบในโลกสมัยใหม่


          Leave a comment