ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

บทนำ

ในสังคมร่วมสมัย การฟังมักถูกเข้าใจอย่างผิวเผินว่าเป็นภาวะเงียบและรับข้อมูล แต่ในความเป็นจริง การฟังได้กลายเป็นกระบวนการที่ถูกครอบงำด้วยวาระของผู้ฟังเอง ไม่ว่าจะเป็นความต้องการแสดงความรู้ ประสบการณ์ หรือความสามารถในการแก้ปัญหา ปรากฏการณ์นี้สะท้อนรูปแบบความสัมพันธ์ที่ความหมายถูกเร่งสรุป และประสบการณ์ของผู้อื่นถูกลดทอนให้เป็นเพียงวัตถุดิบสำหรับการตอบสนองของตนเอง

ในเชิงปรัชญา วิกฤตดังกล่าวไม่อาจอธิบายได้เพียงในระดับปัจเจก แต่ต้องมองผ่านโครงสร้างความคิดแบบสมัยใหม่ตอนปลาย (late modernism) ซึ่งเน้นประสิทธิภาพ ความเร็ว และการควบคุมความไม่แน่นอน การฟังจึงกลายเป็นเครื่องมือเชิงอำนาจทางวาทกรรม มากกว่าการเปิดพื้นที่ให้ผู้อื่นปรากฏในฐานะผู้มีความหมายในตัวเอง

การฟังกับโครงสร้างอัตตา

    หนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ร่วมสมัย คือความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการฟังในฐานะการปฏิบัติทางจริยศาสตร์และญาณวิทยา โดยบุคคลจำนวนมากมักสถาปนาตนเองว่าเป็นผู้ฟังที่ดี ทั้งที่ในความเป็นจริง การฟังดังกล่าวถูกกำกับด้วยเจตจำนงเชิงอัตตาและวาระที่ซ่อนเร้น (agenda-driven listening) การฟังจึงมิได้มุ่งไปสู่การทำความเข้าใจผู้อื่นในฐานะปัจเจกที่มีโลกความหมายของตนเอง (lifeworld) หากแต่เป็นกระบวนการรอคอยเชิงกลยุทธ์เพื่อแทรกการเล่าเรื่องของตน การยืนยันอัตลักษณ์ หรือการเร่งเข้าไปแก้ไขปัญหาแทนผู้พูด

    ในกรอบหลังสมัยใหม่ (postmodernism) นักคิดอย่างเลียวตาร์ด (Lyotard) และแดร์ริดา (Derrida) ได้ตั้งคำถามต่อเรื่องเล่าใหญ่ (grand narratives) และความเชื่อในความหมายที่มั่นคง การฟังในชีวิตประจำวันสะท้อนปัญหาเดียวกัน กล่าวคือ ผู้ฟังมักพยายามจัดระเบียบเรื่องราวของผู้อื่นให้เข้ากับกรอบอธิบายของตนเองอย่างรวดเร็ว

    รูปแบบการฟังที่ผิดพลาด เช่น The Editor หรือ “บรรณาธิการขี้บ่น” ผู้ที่ขัดจังหวะเพื่อแก้ไขรายละเอียดปลีกย่อย เช่น วันที่ ชื่อ หรือสถานที่ ซึ่งในเชิงปรัชญาภาษา การกระทำเช่นนี้คือการยึดติดกับความถูกต้องเชิงข้อเท็จจริง (propositional correctness) จนละเลยความหมายเชิงอารมณ์และอัตถิภาวะ (existential meaning) ของถ้อยคำ การฟังแบบ The Me-Tooer ผู้ที่รีบดึงเรื่องราวกลับมาหาตนเอง การฟังลักษณะนี้สะท้อนภาวะที่ไฮเดกเกอร์ (Heidegger) เรียกว่า fallenness คือการจมอยู่กับโลกของตนเองจนไม่สามารถเปิดพื้นที่ให้การดำรงอยู่ของผู้อื่นปรากฏอย่างเต็มที่ และ The Fixer ผู้ที่รีบเสนอทางออกด้วยเจตนาดี แต่กลับลดทอนความซับซ้อนของประสบการณ์ทุกข์ของผู้พูดให้เหลือเพียงปัญหาที่ต้องแก้ ซึ่งขัดกับมุมมองของนักอัตถิภาวนิยมที่เห็นว่าความทุกข์เป็นโครงสร้างพื้นฐานของการดำรงอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจัดการได้ด้วยเทคนิคเพียงอย่างเดียว การฟังทั้ง 3 รูปแบบข้างต้นสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นอาการของอัตตาผู้รู้ (epistemic ego) ที่ไม่สามารถทนต่อความคลุมเครือ ความเปราะบาง และความไม่เสร็จสมบูรณ์ของประสบการณ์มนุษย์ ปรากฎการณ์นี้สะท้อนตรรกะเชิงประสิทธิภาพและการครอบงำของอัตตา (ego-dominant rationality) อันเป็นลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมสมัยใหม่ตอนปลาย ซึ่งให้คุณค่ากับการแสดงออก การแข่งขันทางความหมาย และการครอบครองพื้นที่วาทกรรม ดังนั้นจึงเกิดการขัดจังหวะ การแย่งเล่า หรือการรีบแก้ปัญหา ซึ่งล้วนเป็นความพยายามปิดความหมาย (closure of meaning) ทั้งที่ความหมายของผู้พูดยังไม่ทันได้ก่อตัวอย่างเต็มที่

    การฟังในลักษณะดังกล่าวยังไม่อาจนับเป็นการเปิดรับประสบการณ์ของผู้อื่น (openness to the Other) ได้อย่างแท้จริง เนื่องจากผู้ฟังไม่สามารถระงับหรือพักแขวนสมมติฐาน ความเชื่อ และกรอบการตีความของตนเองลงชั่วคราว จึงไม่อาจเข้าถึงโลกชีวิตของผู้พูดได้อย่างไม่บิดเบือน การฟังจึงกลายเป็นเพียงกลไกทางภาษาและสังคมที่ถูกใช้เพื่อยืนยันตน (self-affirmation) มากกว่าการก่อรูปพื้นที่เชิงจริยธรรมที่ความหมายของผู้อื่นสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ถูกลดทอนหรือยึดครอง

    Reflective Pause: การหยุดในฐานะการกระทำทางปรัชญา

      แนวคิด reflective pause เสนอให้การหยุดคิดไม่ถูกมองว่าเป็นความว่างเปล่า แต่เป็นการกระทำเชิงปรัชญาที่สำคัญ โดยเป็นการกระทำเชิงลึกที่เปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ระงับการตอบสนองอัตโนมัติ (automatic reaction) และพักแขวนกรอบอธิบายของตนเอง การหยุดนี้มีลักษณะคล้ายกับ epoché ในปรากฏการณ์วิทยาของฮุสเซิร์ล (Husserl) คือการแขวนการตัดสินและกรอบอธิบายเดิม เพื่อเปิดพื้นที่ให้ปรากฏการณ์เผยตัวเอง

      ในบริบทของการฟัง Reflective pause ช่วยให้ผู้ฟังระงับแรงกระตุ้นที่จะตอบโต้ แก้ไข หรือแทรกแซง และยอมอยู่กับความไม่รู้ (not-knowing) อย่างมีสติ ความเงียบจึงไม่ใช่ช่องว่างที่ต้องรีบเติม แต่เป็นพื้นที่ที่มีคุณค่า เพราะมันเปิดให้เสียงของผู้อื่นดำรงอยู่โดยไม่ถูกเร่งสรุปหรือทำให้เชื่อง และเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เอื้อให้ผู้พูดสามารถสำรวจและเรียบเรียงความคิดที่ซับซ้อนของตนเองได้

      Afterthought: การทบทวนคิดในฐานะจริยศาสตร์แห่งการฟัง

        Afterthought ในกรอบหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) มิได้หมายถึงความคิดที่ตกหล่นหรือรองลงมา หรือความคิดที่ตามมาล่าช้าอย่างไร้ระบบ แต่คือการทบทวนซ้ำเชิงวิพากษ์หลังประสบการณ์ได้ผ่านพ้นไป (retrospective reflection) การคิดเช่นนี้เปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้มองเห็นช่องว่าง และตระหนักถึงสิ่งที่ตนพลาด สิ่งที่ไม่ได้ยิน สิ่งที่ถูกละเลย และสิ่งที่ถูกอัตตาของตนบดบังในขณะสนทนา

        ในโลกที่อุดมไปด้วยข้อมูล (information-rich world) นี้ Afterthought ทำหน้าที่ต่อต้านความเร่งรีบของการตัดสิน และช่วยฟื้นคืนมิติของความลึก (depth) ให้กับการรับรู้และการตีความ จึงทำให้การฟังไม่สิ้นสุดลงพร้อมบทสนทนา แต่ขยายต่อไปในมิติของความรับผิดชอบ การฟังไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ชั่วคราว หากเป็นกระบวนการที่ความหมายยังคงก่อตัว เปลี่ยนแปลง และเปิดรับการตีความใหม่อย่างต่อเนื่อง

        Active Listening ในฐานะหมอตำแยทางความคิด

          เมื่อ reflective pause และ afterthought ทำงานร่วมกัน การฟังจึงกลายเป็นกระบวนการแบบไม่เป็นเส้นตรง (non-linear process) สอดคล้องกับตรรกะหลังสมัยใหม่ที่ปฏิเสธความจริงหนึ่งเดียวและบทสรุปสุดท้าย ความหมายไม่ได้ถูกผลิตขึ้นทันทีในขณะสนทนา แต่ค่อย ๆ ก่อตัวผ่านการหยุด ฟัง ทบทวน และเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม กระบวนการนี้ทำให้ผู้ฟังตระหนักว่า ความเข้าใจมิได้เป็นการครอบครองความหมายของผู้อื่น หากแต่เป็นการอยู่ร่วมกับความไม่แน่นอนของความหมายอย่างมีความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม

          แก่นแท้ของการฟังเชิงรุก (Active Listening) จึงไม่ใช่การนิ่งเงียบหรือการรอพูด แต่เป็นกระบวนการที่กระตือรือร้นและต้องใช้พลังทางจริยธรรมอย่างสูง แนวคิดการฟังเชิงรุกสามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งผ่านอุปมาของ “หมอตำแยทางความคิด” (intellectual midwife) ซึ่งมีรากจากแนวคิดของโสกราติส (Socrates) หน้าที่ของผู้ฟังมิใช่การใส่คำตอบหรือความหมายของตนเอง แต่คือการช่วยประคับประคองให้ผู้พูดสามารถ “คลอด” ความคิดและความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ การฟังเช่นนี้ตั้งอยู่บนจริยศาสตร์ของความสัมพันธ์แบบ I–Thou ตามมาร์ติน บูเบอร์ (Martin Buber) คือการยอมรับผู้อื่นในฐานะปัจเจกที่สมบูรณ์ มิใช่วัตถุให้วิเคราะห์หรือแก้ไข

          เทคนิคต่าง ๆ เช่น Validation ซึ่งเป็นการยืนยันความรู้สึก ซึ่งเป็นการรับรองความชอบธรรมของประสบการณ์ภายในของผู้อื่น โดยไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด Open-ended Questions การใช้คำถามปลายเปิด ซึ่งไม่ใช่เครื่องมือควบคุมคำตอบ แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้พูดได้สำรวจโครงสร้างภายในของประสบการณ์ตนเองอย่างลึกซึ้ง Reflecting ผู้ฟังทำหน้าที่คล้ายกระจกเชิงปรากฏการณ์วิทยา ช่วยให้ผู้พูดได้ยินตัวเองอย่างชัดเจนขึ้น และ Silence ที่ผู้ฟังมีสถานะเป็นพื้นที่เชิงจริยธรรม เปิดโอกาสให้ความหมายที่ยังไม่ตกผลึกได้ค่อย ๆ ปรากฏ โดยไม่ถูกเร่งเร้าด้วยอัตตาของผู้ฟัง เทคนิคเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับจริยศาสตร์แบบเลวินาส (Levinasian) ที่ให้ความสำคัญกับการรับผิดชอบต่อใบหน้าของผู้อื่น (the face of the Other) ก่อนความต้องการจะเข้าใจหรือควบคุมเขา

          การฟังเชิงรุกในฐานะการเมืองของความรู้

            เมื่อมองผ่านกรอบ postmodern การฟังเชิงรุกไม่ใช่เพียงทักษะส่วนบุคคล มิใช่ทักษะการสื่อสาร แต่เป็นการกระทำเชิงจริยธรรมที่สะท้อนความรักและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเป็นการปฏิบัติการเชิงการเมืองของความรู้ (politics of knowledge) ที่ต่อต้านการลดทอนมนุษย์ให้เหลือเพียงปัญหาที่ต้องแก้หรือข้อมูลที่ต้องจัดการ การฟังเชิงรุกที่เริ่มจากการมีสติ (self-awareness) ว่าเรากำลังจะกลายเป็นผู้ฟังแบบใด การเปลี่ยนจากการให้คำแนะนำเป็นการยืนยันความรู้สึก การใช้คำถามที่ขุดลึกเชิงอารมณ์ การอดทนกับความเงียบ และการตั้งเจตนาล่วงหน้าว่าเป้าหมายคือการรับฟัง มิใช่แก้ไข การฟังจึงจะมีท่าทีทางปรัชญาต่อผู้พูดและต่อความเป็นมนุษย์ร่วมกันในโลกที่ซับซ้อนและเปราะบางร่วมกัน การฟังเช่นนี้จะช่วยเปิดพื้นที่ให้เสียงชายขอบ ความเปราะบาง และความหมายที่ยังไม่ถูกตั้งชื่อสามารถดำรงอยู่ได้

            สรุป

              การฟังในโลกหลังสมัยใหม่ คือการฝึกวางอัตตา ยอมรับความไม่แน่นอน และให้คุณค่ากับความเงียบ การผสาน reflective pause และ afterthought ทำให้การฟังกลายเป็นกระบวนการเชิงจริยศาสตร์ที่ลึกซึ้ง ต่อต้านการลดทอนความซับซ้อนของมนุษย์ การฟังในลักษณะนี้สร้างพื้นที่ให้เสียงชายขอบ ความทรงจำที่ถูกกดทับ และความหมายที่ยังไม่ถูกตั้งชื่อสามารถปรากฏขึ้นได้ เป้าหมายสูงสุดของการฟังจึงมิใช่การแก้ปัญหา หากแต่คือการทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า ถูกรับฟังและไม่โดดเดี่ยว การฟังจึงกลายเป็นการกระทำที่มีมิติทั้งเชิงญาณวิทยาและจริยศาสตร์ ซึ่งช่วยให้มนุษย์ร่วมสมัยดำรงอยู่ในโลกที่แตกกระจายของความหมาย โดยไม่ต้องเร่งบูรณาการทุกสิ่งให้ลงรอย แต่ยอมรับความหลากหลาย ความคลุมเครือ และความไม่สมบูรณ์ในฐานะเงื่อนไขพื้นฐานของการเข้าใจผู้อื่นและตนเอง


              Leave a comment