อ.ดร.รวิช ตาแก้ว บทบรรยาย เมื่อ 24 มีนาคม 2561
“การวิเคราะห์มโนทัศน์ ปรัชญาภาษา และพลวัตของความหมายในบริบทสังคม”
บทนำ
หากการวิจัยเชิงปรัชญาในส่วนแรกมุ่งเน้นการทำความเข้าใจ “กระบวนทรรศน์” (paradigm) ในฐานะรากฐานของการวิจัย ส่วนที่สองนี้ขยายขอบเขตการวิเคราะห์ไปสู่ระดับที่ลึกยิ่งขึ้น นั่นคือ ระดับของ มโนทัศน์ (concepts) และ ภาษา (language) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดขอบฟ้าของความคิด ความรู้ และความจริงในสังคมมนุษย์
ในธรรมเนียมของปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่และร่วมสมัย ตั้งแต่วิตเกนสไตน์ เซอซูร์ ไปจนถึงฟูโกต์และแดร์ริดา ภาษาไม่ถูกมองว่าเป็นเพียงสื่อกลางที่สะท้อนความจริง หากแต่เป็น “พื้นที่แห่งการผลิตความหมาย” และเป็นกลไกที่ทำให้ความจริงบางรูปแบบสามารถดำรงอยู่ได้ การวิจัยเชิงปรัชญาจึงอยู่ในฐานะ “การวิเคราะห์” โครงสร้างของความหมายและอำนาจที่แฝงอยู่ในภาษาและมโนทัศน์อีกด้วย
การวิเคราะห์มโนทัศน์พื้นฐาน: รากฐานทางความคิดและวิวัฒนาการของความหมาย
การวิเคราะห์มโนทัศน์ (Conceptual Analysis) เป็นหัวใจของการวิจัยเชิงปรัชญา โดยมุ่งตรวจสอบรากฐานทางความคิด (foundational assumptions) ที่หล่อหลอมคำหรือแนวคิดหนึ่ง ๆ เช่น อารยธรรม, เสรีภาพ, หรือมิตรภาพ
การวิเคราะห์เชิงปรัชญาแตกต่างจากการอธิบายเชิงพจนานุกรมอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ มิได้หยุดอยู่ที่ความหมายเชิงนิยาม แต่ตั้งคำถามต่อว่า
- มโนทัศน์นี้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์แบบใด?
- สะท้อนคุณค่าและอุดมการณ์ของยุคสมัยใด?
- และเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรมแปรเปลี่ยน?
ในความหมายนี้ มโนทัศน์จึงมิใช่สิ่งคงที่ หากเป็นโครงสร้างที่มีพลวัต และการวิจัยเชิงปรัชญาทำหน้าที่เปิดให้เห็นความไม่เป็นกลางของแนวคิดที่มักถูกเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติ (ทั่วไป) หรือเป็นสากล
กระบวนการ “สุนทรียสนทนากับวาทกรรม” : ความรู้กับอำนาจ
หนึ่งในประเด็นสำคัญของปรัชญาภาษาและสังคมร่วมสมัย คือการแยกแยะระหว่าง Dialogue และ Discourse ซึ่งมีนัยต่อจริยธรรมของการวิจัยอย่างลึกซึ้ง
สุนทรียสนทนา (Dialogue) หมายถึง กระบวนการทางวิภาษวิธี (dialectics) ที่เปิดพื้นที่ให้ชุดความคิดที่แตกต่างได้ปะทะ สะท้อน และหลอมรวมกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อแสวงหา ความจริงร่วม (common truth) มากกว่าชัยชนะทางความคิด ลักษณะสำคัญของ Dialogue คือ ความเปิดกว้าง การฟังอย่างลึกซึ้ง และการยอมรับความไม่สมบูรณ์ของตนเอง
ในทางตรงกันข้าม วาทกรรม (Discourse) ในความหมายเชิงวิพากษ์ หมายถึง กระบวนการสื่อสารที่ทำหน้าที่ “สถาปนา” ความจริงแบบหนึ่ง ให้กลายเป็นความจริงที่ครอบงำ โดยเชื่อมโยงกับอำนาจ อุดมการณ์ และโครงสร้างสถาบัน วาทกรรมจึงมุ่งไปที่การชักจูง ครอบงำ หรือจัดระเบียบความคิด มากกว่าการแสวงหาสัจธรรมร่วมกัน
การตระหนักถึงความแตกต่างนี้จะช่วยให้นักวิจัยสามารถแยกแยะได้ว่า งานวิจัยของตนกำลังเคลื่อนอยู่ในพื้นที่ของการแสวงหาความรู้ หรือกำลังผลิตซ้ำอำนาจเชิงอุดมการณ์โดยไม่รู้ตัว
ภาษา สัญญะ และการสร้างความหมาย: ความจริงในฐานะข้อตกลงทางสังคม
ในกรอบของสัญศาสตร์ (Semiotics) ภาษาเป็นระบบของสัญญะ (signs) ที่ประกอบด้วย รูปสัญญะ (signifier) และความหมาย (signified) ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมิได้เป็นธรรมชาติ หากแต่เกิดจากข้อตกลงร่วมกันของสังคมและวัฒนธรรม (เกมภาษา)
ปรัชญาภาษาโดยเฉพาะในสายโครงสร้างนิยมและหลังโครงสร้างนิยม ชี้ให้เห็นว่า “ความจริง” ที่ดำรงอยู่ภายใต้ภาษามีลักษณะเป็นความจริงเชิงสัมพัทธ์ (relative truth) ซึ่งขึ้นอยู่กับบริบททางประวัติศาสตร์ อำนาจ และระบบความหมายที่ครอบงำในขณะนั้น
ในมุมมองนี้ การวิจัยเชิงปรัชญามิได้ปฏิเสธความจริง หากแต่ตั้งคำถามต่อเงื่อนไขที่ทำให้ความจริงแบบหนึ่งถูกยอมรับ (presence) ขณะที่ความจริงอีกแบบหนึ่งถูกทำให้เงียบงันหรือมองไม่เห็น (absence)
ภาษาในฐานะกลไกการสร้างความจริงทางสังคม
จากบทบรรยาย สามารถสรุปสารัตถะสำคัญของการวิจัยเชิงปรัชญาในส่วนนี้ได้ 3 ประการ คือ
ประการแรก ภาษาไม่ใช่เพียงเครื่องมือสื่อสาร แต่เป็นโครงสร้างที่นิยามความจริงและกำกับการรับรู้ของมนุษย์ นักวิจัยจึงจำเป็นต้องรู้เท่าทันอำนาจของภาษา
ประการที่สอง การตระหนักถึงวาทกรรมครอบงำช่วยให้นักวิจัยสามารถรักษาพื้นที่ของความรู้เชิงวิชาการให้แตกต่างจากการโฆษณาชวนเชื่อหรือการผลิตซ้ำอุดมการณ์ได้
ประการที่สาม ความหมายเชิงปรัชญามีลักษณะลื่นไหล ไม่หยุดนิ่ง การวิจัยจึงต้องพิจารณาบริบททางสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ด้วยเสมอ
แนวทางปฏิบัติเชิงวิชาการ: จากการตั้งคำถามสู่การสะท้อนตนเอง
ในเชิงปฏิบัติ การวิจัยเชิงปรัชญาควรเริ่มจากการนิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ โดยศึกษารากเหง้าและพัฒนาการของมโนทัศน์หลัก เพื่อสร้างความชัดเจนก่อนเข้าสู่การวิเคราะห์เชิงประจักษ์
นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เช่น การวิเคราะห์เนื้อหาและการวิเคราะห์วาทกรรม จะช่วยให้เข้าใจเจตจำนงและอำนาจที่แฝงอยู่ในตัวบทหรือการสนทนาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ประการสำคัญ นักวิจัยควรสร้างพื้นที่สำหรับกระบวนการวิภาษวิธี ทั้งในงานเขียนและเวทีวิชาการ เพื่อให้ความรู้ใหม่เกิดจากการปะทะกันของความคิดที่หลากหลาย พร้อมกับการใช้การวิพากษ์ตนเอง (critical reflection) เพื่อตรวจสอบอคติและสมมติฐานเบื้องต้นของตนอย่างต่อเนื่อง
สรุป
การวิจัยเชิงปรัชญาในระดับการวิเคราะห์มโนทัศน์และภาษา คือการวิจัยที่ทำงานอยู่กับ “รากของความหมาย” มากกว่าผลลัพธ์ที่วัดได้โดยตรง ภายใต้โลกที่ความจริงมีความซับซ้อนและถูกต่อรองอยู่ตลอดเวลา บทบาทของนักวิจัยเชิงปรัชญาจึงมิใช่เพียงผู้ค้นพบคำตอบ หากแต่เป็นผู้ตั้งคำถามต่อกรอบความคิดที่ทำให้คำตอบบางชุดดูสมเหตุสมผล

