ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
บทนำ
ในสังคมประชาธิปไตยร่วมสมัย “นักการเมือง” มิได้เป็นเพียงผู้ดำรงตำแหน่งในโครงสร้างรัฐทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ หากแต่เป็นตัวแสดงทางศีลธรรมและปัญญาที่มีบทบาทกำหนดทิศทางชีวิตร่วมของสังคม (collective life) อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ทางการเมืองของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า นักการเมืองมิได้ทำหน้าที่เช่นเดียวกันทั้งหมด บางคนทำหน้าที่นักออกแบบนโยบายสาธารณะโดยอิงความเป็นจริงเชิงโครงสร้าง ขณะที่บางคนมุ่งดำรงอยู่ในสนามการเมืองด้วยการบริหารกระแส และอำนาจเชิงยุทธศาสตร์
บทความนี้เสนอกรอบจำแนกนักการเมืองออกเป็นสองแบบอุดมคติ ได้แก่ Policy Maker และ Politic Player เพื่อทำความเข้าใจธรรมชาติของการเมืองไทยในระดับที่ลึกกว่าการวิพากษ์เชิงบุคคลหรือพรรคการเมือง โดยใช้กรอบคิดด้านปรัชญาการเมืองร่วมสมัย อาทิ แนวคิดว่าด้วยอำนาจ (power) ความชอบธรรม (legitimacy) เหตุผลสาธารณะ (public reason) และวัฒนธรรมการเมือง (political culture) บทความยังอภิปรายเงื่อนไขเชิงโครงสร้างของการเมืองไทยที่เอื้อต่อการผลิตนักการเมืองแบบ Politic Player มากกว่า Policy Maker และเสนอข้อพิจารณาเชิงปรัชญาว่า การเลือกตั้งมิใช่เพียงกลไกเชิงเทคนิคของประชาธิปไตย หากแต่เป็นกระจกสะท้อนระดับวุฒิภาวะทางศีลธรรมและปัญญาของสังคมการเมืองโดยรวม
กรอบแนวคิดเชิงปรัชญาการเมือง
- นักการเมืองในฐานะ Policy Maker
Policy Maker คือ นักการเมืองที่เป็นนักออกแบบนโยบาย นักการเมืองกลุ่มนี้มองอำนาจทางการเมืองเป็นเครื่องมือเพื่อจัดการปัญหาเชิงโครงสร้าง (structural problems) มากกว่าการครอบครองอำนาจในตัวมันเอง แนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญาการเมืองสายเหตุผลนิยม (rationalist political philosophy) และแนวคิดของ John Rawls เรื่อง public reason ซึ่งเน้นการให้เหตุผลเชิงสาธารณะที่ตรวจสอบได้และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
ลักษณะสำคัญของ Policy Maker ได้แก่
- การตัดสินใจบนฐานข้อมูล หลักฐาน และผลกระทบระยะยาว
- การยอมรับความซับซ้อนและความไม่แน่นอนของความจริงทางสังคม
- การจำกัดตนเองด้วยกรอบจริยธรรมและความรับผิดชอบเชิงสถาบัน
- การมองประชาชนเป็นผู้ร่วมออกแบบอนาคตมากกว่าฐานเสียง
ในเชิงปรัชญา Policy Maker ทำงานกับสิ่งที่อาจเรียกว่าความจริงของระบบ (systemic truth) ซึ่งมักไม่สอดคล้องกับอารมณ์หมู่หรือความต้องการเฉพาะหน้า
2. นักการเมืองในฐานะ Politic Player
Politic Player คือ นักการเมืองที่เป็นนักเล่นเกมการเมือง นักการเมืองกลุ่มนี้มองการเมืองเป็นสนามแข่งขันของอำนาจ (power game) มากกว่าพื้นที่ของเหตุผลสาธารณะ นักการเมืองประเภทนี้สอดคล้องกับการวิเคราะห์อำนาจแบบ Machiavellian และแนวคิดเรื่องการเมืองเชิงยุทธศาสตร์ (strategic politics)
ลักษณะสำคัญของ Politic Player ได้แก่
- การให้ความสำคัญกับชัยชนะทางการเมืองและการรักษาฐานเสียง
- การใช้วาทกรรม คลื่นอารมณ์ ความกลัว และศัตรูทางการเมืองเป็นเครื่องมือ
- มีความยืดหยุ่นทางศีลธรรมตามสถานการณ์
- การลดทอนความจริงให้เหลือเพียงภาพขาว–ดำ เพื่อการสื่อสารที่ง่ายและรวดเร็ว
ในมุมมองเชิงปรัชญา Politic Player ทำงานกับพลวัตอารมณ์ของสนามการเมือง (emotional dynamics of the political arena) มากกว่าความจริงเชิงโครงสร้างของประเทศ
| มิติ | Policy Maker (นักออกแบบนโยบาย) | Politic Player (นักเล่นเกมการเมือง) |
|---|---|---|
| เป้าหมายหลัก | แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว | ชนะอำนาจเฉพาะหน้า รักษาฐานเสียง |
| คำถามที่ใช้คิด | “อะไรทำให้ระบบดีขึ้นจริง?” | “ทำอย่างไรให้ได้เปรียบทางการเมือง?” |
| วิธีตัดสินใจ | อิงข้อมูล หลักฐาน ผลกระทบระยะยาว | อิงกระแส คลื่นอารมณ์ ความนิยมระยะสั้น |
| ภาษา/วาทกรรม | ชัดเจน มีตัวชี้วัด ตรวจสอบได้ | คลุมเครือ สร้างภาพ สร้างศัตรู |
| ความสัมพันธ์กับประชาชน | ประชาชนคือ ผู้ร่วมออกแบบอนาคต | ประชาชนคือ ฐานเสียง/เครื่องมือ |
| ท่าทีต่อความจริง | ยอมรับความซับซ้อน ความไม่แน่นอน | ลดทอนความจริงให้เป็นขาว–ดำ |
| จริยธรรม | จำกัดตนเองด้วยหลักการ | ยืดหยุ่นศีลธรรมตามสถานการณ์ |
การเมืองไทยผลิตนักการเมืองประเภทใด
1. โครงสร้างการเลือกตั้งและแรงจูงใจของระบบเลือกตั้ง
การเมืองไทยอยู่ภายใต้แรงกดดันของการแข่งขันเชิงอำนาจสูง การเลือกตั้งจึงให้รางวัลกับนักการเมืองที่สามารถชนะ “เร็ว” มากกว่าผู้ที่อธิบายปัญหาเชิงระบบอย่างลุ่มลึก หรือเน้นนโยบายเชิงโครงสร้างซึ่งต้องการเวลาและความอดทน นักการเมืองเชิงออกแบบนโยบายจึงเสียเปรียบโดยธรรมชาติ เนื่องจากนโยบายเชิงโครงสร้างนั้นอธิบายยาก–เห็นผลช้า จึงมักแพ้ทางกับการเมืองเชิงวาทกรรมที่ง่าย–ไว–แรง
2. วัฒนธรรมการเมืองแบบอุปถัมภ์
ความสัมพันธ์ทางการเมืองในประเทศไทยยังวางอยู่บนฐานการเมืองเชิงพื้นที่ มีลักษณะบ้านใหญ่ นั่นคือ ยังตั้งอยู่บนบุคคล ความจงรักภักดี และบุญคุณ มากกว่าคุณภาพของนโยบายของพรรคการเมือง ส่งผลให้ Politic Player ซึ่งเชี่ยวชาญการสร้างเครือข่ายอำนาจมีความได้เปรียบเหนือ Policy Maker ในการเลือกตั้งแบบเขต ซึ่ง Policy Maker ที่เป็น technocrat ก็มักผันตัวไปเป็นนักการเมืองในบัญชีรายชื่อแทน หรือยอมไปอยู่เป็นฝ่ายเบื้องหลังแทน
3. สื่อและการเมืองแห่งอารมณ์
สื่อสมัยใหม่และแพลตฟอร์มดิจิทัลมีแนวโน้มเรียกความนิยมผ่านอัลกอริทึมซึ่งเน้นความซ้ำของผู้ชม ทำให้เกิดกระบวนการขยายเนื้อหาหรือเรื่องความขัดแย้ง ความโกรธ และความกลัวซึ่งเรียกคลื่น-กระแสความสนใจได้ง่าย การดำเนินการนี้สอดคล้อง-สนับสนุนวิธีทำงานของ Politic Player ผ่านความเป็นข่าวที่ต่อเนื่อง ในขณะที่นักการเมืองเชิงนโยบายนั้นสื่อจะสนใจน้อย และมักมีสัมภาษณ์ในลักษณะของข่าวเศรษฐกิจ-สังคมซึ่งเสนอเป็นครั้ง ๆ ไป
4. ระบบราชการและโครงสร้างของรัฐ
ในทางปฏิบัติ เมื่อมี policy maker เข้ามาทำงาน แม้จะได้รับบทบาทหน้าที่ในฝ่ายบริหาร แต่ก็ยังมี “แรงเสียดทานเชิงสถาบัน” จากข้าราชการลูกหม้อของกระทรวงนั้น ๆ ที่เห็นค้าน หรือจากกลุ่มเครือข่ายอำนาจ-รัฐ-การเมืองเดิม ที่เข้ามาแทรกแซง ทำให้นโยบายที่เสนอไว้ไม่อาจเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ประชาชนรู้สึกว่า Policy Maker ดีแต่พูด ทำจริงไม่สำเร็จ และส่งผลเสียต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งถัดไป คนที่อยู่รอดจึงต้องมีความเป็นนักเล่นเกมการเมืองด้วย
ความเป็นไปได้ของ Policy Maker ในบริบทสังคมการเมืองไทย
ในเชิงปรัชญาการเมือง การเลือกตั้งไม่ใช่กลไกอัตโนมัติที่จะผลิต Policy Maker หากแต่เป็นกลไกสะท้อนระดับวุฒิภาวะของสังคมการเมืองโดยรวม ซึ่งพิจารณาผ่านกรอบคิดเชิงเงื่อนไขอันได้แก่ เงื่อนไขเชิงโครงสร้างและเงื่อนไขภายในของตัวนักการเมืองเอง ซึ่งในทางปรัชญาจะเริ่มจากคำถาม และกระบวนการเปลี่ยนผ่าน ได้แก่
- กรอบคำถามเชิงปรัชญาที่ถูกต้อง
ในความมุ่งหมายนี้ คำถามที่แท้จริงไม่ใช่การถามว่า Politic player จะกลายเป็น policy maker ได้ไหม?
แต่คำถามที่เหมาะสมคือ ภายใต้เงื่อนไขแบบใด การเล่นเกมอำนาจจะถูกบังคับให้รับใช้ ความจริงเชิงนโยบาย?
ในทางปรัชญาการเมือง Politic player ไม่ใช่คนเลว (bad guy) แต่คือ ตัวแสดงที่ปรับตัวตามแรงจูงใจของสนามอำนาจ ดังนั้น หากสนามเปลี่ยน วิธีเล่นก็เปลี่ยน
- การเปลี่ยนผ่านที่เป็นไปได้จริง
ระดับที่ 1 จาก Pure Politic Player ไปเป็น Strategic Policy Maker
ระดับนี้พบได้มากที่สุด โดยนักการเมืองเริ่มทำงานนโยบายจริง เพราะพบว่า การอยู่รอดทางการเมืองระยะยาว ต้องอิงความสามารถเชิงนโยบายด้วย
เงื่อนไขที่ทำให้เกิดคือ วิกฤตเชิงระบบ เช่น ด้านเศรษฐกิจ พลังงาน สาธารณสุข อำนาจรัฐ ซึ่งทำให้การเล่นเกมแบบเดิมเริ่มไม่พอต่อการรักษาอำนาจ นี่คือจุดที่ policy กลายเป็น เครื่องมือใหม่ของเกมการเมือง
ข้อจำกัด คือ นักการเมืองยังคงคิดแบบนักเล่นเกมการเมือง นโยบายเพียงแค่ถูกใช้ตราบเท่าที่คุ้มค่าเชิงอำนาจ
ระดับที่ 2 จาก Strategic Policy Maker ไปเป็น Institutional Policy Maker
ในระดับนี้ มักจะเกิดเมื่อนักการเมืองเริ่มเข้าใจว่า อำนาจส่วนบุคคลไม่มั่นคงเท่าอำนาจของระบบที่ดี ลักษณะสำคัญคือ ในสังคมสมัยใหม่ต้องการความเป็นสถาบัน การลงทุนสร้างสถาบัน จึงไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ แม้พรรคการเมืองจะจัดตั้งได้ง่าย แต่สถาบันพรรคการเมืองที่คนยอมรับไม่ได้มีมากเช่นนั้น และพรรคการเมืองที่มีความเป็นสถาบันที่ดีจะต้องยอมรับการตรวจสอบ แม้เสียอำนาจบางส่วน เริ่มพูดความจริงที่ไม่ถูกใจฐานเสียง
เงื่อนไขสำคัญคือ มีพรรคหรือทีม policy ที่แข็งแรง มีพลเมืองกลุ่มหนึ่งให้รางวัลกับความซื่อสัตย์เชิงระบบ คือ พรรคได้รับเลือกตั้งในแบบเขตหรือบัญชีรายชื่อบ้าง นอกจากนี้สื่อและข้าราชการจะต้องไม่ทำลายคนที่พูดความจริง
ข้อจำกัดคือ ถ้าสังคมยังไม่รับหรือไม่รู้จักให้รางวัล สุดท้ายคนกลุ่มนี้จะตายทางการเมือง
ระดับที่ 3 การเปลี่ยนเชิงจริยธรรมในอาชีพนักการเมือง
ระดับนี้ เป็นระบบที่เกิดได้ยาก ยากที่ politic player จะกลายเป็น policy maker จริง ๆ แต่ก็อาจเกิดได้จากประสบการณ์ความล้มเหลวทางศีลธรรม มีการเผชิญผลลัพธ์จริงของนโยบายที่ตนเคยบิดเบือน หรือการตระหนักว่าอำนาจไม่สามารถทดแทนความหมายชีวิต ในมุมนี้ Max Weber มองว่าคือ การเปลี่ยนจาก Ethics of Conviction หรือ Ethics of Success ไปเป็น Ethics of Responsibility นักการเมืองเช่นนี้ถือเป็นฮีโร่ในระบบอาชีพนักการเมืองอย่างแท้จริง ดังเช่น โฮเซ่ อัลแบร์โต มูฮิกา กอร์ดาโน ประธานาธิบดีแห่งอุรุกวัย (2010-2015)
โดยภาพรวมนั้นเงื่อนไขที่ทำให้ Policy Maker เกิดขึ้นได้นั้นมีอยู่และเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่โดยบังเอิญ และไม่ใช่จากการเลือกตั้งลำพัง โดยมีเงื่อนไขสำคัญ (Necessary Conditions) ได้แก่
- พลเมืองเปลี่ยนบทบาทจากผู้เสพ/รับผลงานจากนโยบาย ไปเป็นผู้ตั้งคำถามเชิงระบบที่มีความสามารถตั้งคำถามเชิงนโยบายได้ ไม่เน้นการตอบสนองต่ออารมณ์ชอบ-ไม่ชอบ เน้นคำถามที่ว่า “งบประมาณมาจากไหน ผลข้างเคียงคืออะไร ใครเสียประโยชน์ และไม่ให้รางวัลกับคำสัญญาที่ไม่มีแผนงานชัดเจน
- พรรคการเมืองที่ทำหน้าที่เป็นสถาบันนโยบาย ไม่ใช่เพียงเครื่องมือเลือกตั้ง มี think tank จริง ไม่ใช่แค่ทีมสื่อ พร้อมทั้งคัดคนด้วยความสามารถเชิงนโยบาย ไม่ใช่เพียงการมี/เคยมีชื่อเสียง
- สื่อและพื้นที่สาธารณะเอื้อต่อความซับซ้อนและการถกเถียงเชิงเหตุผล ผ่านการจัดดีเบตเชิงนโยบายขึ้น โดยลดการทำให้การเมืองเป็น “ละครฮีโร่–วายร้าย”
- ความอดทนของสังคมต่อการเมืองที่ “ไม่เร้าใจ” แต่รับผิดชอบ เพราะนโยบายนั้นฟังยากและต้องรอผลหลายปี แต่ถ้าเราไม่อดทนกับความน่าเบื่อของความจริงนี้ เราจะได้แต่การเมืองที่ตื่นเต้น นโยบายประชานิยม แต่ไม่พาประเทศ เศรษฐกิจ สังคม ไปในทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืน
ภาวะก้ำกึ่งที่พบได้บ่อยในการเมืองไทย
ปรากฎการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ที่ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเลือกตั้ง และมีอคติต่อนักการเมือง ก็คือ การมีนักการเมืองที่พูดแบบ policy maker แต่เล่นการเมืองแบบ politic player นั่นคือ นักการเมืองที่สามารถใช้ภาษานโยบาย แต่ในเวลาทำงานจริงกลับตัดสินใจตามกระแส แม้มีข้อมูล-เอกสารดี แต่ไม่ยอมเสียคะแนนเสียงเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้สิ่งที่ถูกต้องไม่ถูกปฏิบัติ ภาวะนี้พบมาก เพราะวัฒนธรรมการเมืองมักให้รางวัลกับการแสดงออกมากกว่าความรับผิดชอบ คนพูดจริงแพ้ในขณะที่คนสร้างศัตรูชนะ นักการเมืองที่จริงใจ จะถูกมองว่า “อ่อน” และระบบพรรคมักจะพลาดที่ไม่ปกป้องคนที่ไม่เล่นเกมสกปรก politic player ที่จะอยู่รอดก็เลยมักจะจำเป็นต้องกลายเป็น policy maker แม้จะไม่เต็มใจในตอนแรกก็ตาม
สรุป
ความแตกต่างระหว่าง Policy Maker และ Politic Player มิใช่เพียงความต่างเชิงบุคลิก หากแต่เป็นความต่างเชิงปรัชญาการเมืองว่าด้วยความหมายของอำนาจและความรับผิดชอบ การที่สังคมการเมืองไทยจะมีนักการเมืองแบบใด มิได้ขึ้นอยู่กับนักการเมืองฝ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับพลเมือง สื่อ พรรคการเมือง และวัฒนธรรมทางการเมืองโดยรวม
กล่าวในเชิงปรัชญา การเลือกตั้งไม่ใช่เครื่องจักรผลิต policy maker อัตโนมัติ แต่คือ กระจกเงาที่สะท้อนระดับวุฒิภาวะของสังคมการเมือง ไม่ใช่โรงงานผลิตคุณธรรม และตราบใดที่สังคมยังให้รางวัลกับการเมืองแห่งอารมณ์ (ความโกรธ ศัตรูในจินตนาการ และคำสัญญาที่ไม่ต้องรับผิดชอบ) มากกว่าการเมืองแห่งเหตุผล Politic Player จะยังคงครองสนามการเมืองต่อไป ดังนั้น เราไม่ควรรอ “คนดีโดยกำเนิด” แต่ควรออกแบบสนามที่ทำให้แม้คนเล่นเกม ก็ต้องเล่นเพื่อสาธารณะ

