อ.ดร.รวิช ตาแก้ว
มโนคติหลักที่เป็นแนวคิดทางปรัชญาในซีกโลกตะวันออกที่มีอิทธิพลต่อระบบความคิดและความเชื่อของสังคมไทยและวัฒนธรรมไทย สำหรับวางเป็นทิศทางเชิงความคิดบริบทวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมไทย (Thai Cultures) ได้อิทธิพลมาจากวัฒนธรรมอินเดียมาสั่งสมบ่มเพาะและก้าวหน้า (cultivation)
ดังนั้น การจะเข้าใจวัฒนธรรมไทยให้ลึกซึ้งจะต้องความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของสังคม ซึ่งได้รับมาจากวัฒนธรรมอินเดียเป็นส่วนมาก โดยแบ่งเป็นข้อย่อย 4 ข้อ ดังนี้
- แนวคิดหลักของปรัชญาอินเดีย
- แนวคิดจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
- แนวคิดจากพระพุทธศาสนา
- ปรัชญาลัทธิจารวาก
ในส่วนแรก มี 2 แนวคิดที่จะต้องศึกษาไว้ ได้แก่ แนวคิดหลักของปรัชญาอินเดีย และแนวคิดจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยมีรายละเอียดดังนี้
แนวคิดหลักของปรัชญาอินเดีย
ปรัชญาอินเดียวสามารถแยกศึกษาออกได้เป็น 2 ช่วง ได้แก่ ปรัชญาอินเดียโบราณ (Ancient Indian philosophy) คือ ปรัชญาอินเดียในช่วงสมัยอารยันซึ่งมีพื้นฐานอยู่ที่ศาสนา และปรัชญาอินเดียร่วมสมัย (Contemporary Indian philosophy) คือ ปรัชญาอินเดียในช่วงรอยต่อของสมัยมุสลิม (ราชวงศ์โมกุล) กับสมัยอาณานิคม (ภายใต้การปกครองของอังกฤษ) ซึ่งมีแรงจูงใจอยู่ที่สภาพสังคมและการเมืองของอินเดียในขณะนั้น
การจะเข้าใจวัฒนธรรมอินเดีย สามารถศึกษาความคิดได้จากคัมภีร์ทางศาสนาเช่น พระเวท สูตร มหากาพย์ และจากงานวรรณกรรม เช่น ธรรมศาสตร์ อรรถศาสตร์ กามสูตร อีกทั้งงานเขียนของนักปรัชญาอินเดียร่วมสมัย เช่น คีตาญชลี ของ รพินทรนาถ ฐากูร
ลักษณะทั่วไปของปรัชญาอินเดีย สำนักปรัชญาหลักของอินเดีย (Indian school of philosophy) มีทั้งหมด 9 สำนัก แต่ละสำนักนั้นมีความคิดเรื่องความจริง โลกและชีวิตแตกต่างกันออกไป แต่ยังมีลักษณะบางประการที่สำนักปรัชญาอินเดียเหล่านี้มีร่วมกัน ได้แก่ประเด็นต่อไปนี้
1) ความสำคัญของภาคปฏิบัติ ทุกสำนักมีร่วมกันคือ การให้ความสำคัญต่อภาคปฏิบัติ (practical necessity) สาเหตุที่ภาคปฏิบัติมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ก็เพราะปรัชญาอินเดียทุกสำนักพยายามที่จะค้นหาว่าชีวิตควรดำเนินไปอย่างไร ไม่ใช่เพียงหาความรู้เพื่อความพึงพอใจ แต่เป็นการแสวงหาหนทางหรือระเบียบของชีวิตที่จะนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่สูงสุดของชีวิต (ปุรุษารถะ)
2) ทรรศนะที่มองโลกในแง่ร้าย หรือ ทุนิยม (Pessimism) ทุกสำนักของปรัชญาอินเดียมีความเห็นว่าโลกหรือชีวิตนั้นมีความทุกข์ ทรรศนะเช่นนี้มิใช่การมองโลกในแง่ร้ายแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นการมองโลกตามความเป็นจริง โดยมองว่าโลกและชีวิตเริ่มต้นที่ความทุกข์ แต่ก็ไม่ได้กล่าวว่าชีวิตนั้นจะต้องจบลงด้วยความทุกข์ นักปรัชญาอินเดียพยายามที่จะแสวงหาทางออกจากความทุกข์ และไม่มีแนวความคิดที่ว่ามนุษย์ไม่สามารถพ้นจากความทุกข์ได้ ดังนั้นจึงเป็นการมองในเชิงบวกอยู่ด้วย (Optimism)
3) ความเชื่อเรื่องสังสารวัฏ (Samsara, Reincarnation) และกฎแห่งกรรม (Law of Karma) สำนักปรัชญาอินเดียทุกสำนักมีความเชื่อว่าสังสารวัฎและชีวะหรืออาตมันไม่มีจุดเริ่มต้น (ทฤษฎีอนาทิตาวะ) ไม่มีพระเจ้า (ศิวะ: ชีวะ: ชีวิต) ที่เป็นจุดเริ่มต้น (ab initio; initial; Emergence) ของเอกภพหรือสังสารวัฏ และความเชื่อเรื่องพระเป็นเจ้า ยังมีปรากฏอยู่ในปรัชญาอินเดียหลายสำนัก ยกเว้นสำนักปรัชญาจารวากที่เน้นสสารนิยม
4) ทรรศนะเรื่องเป้าหมายของชีวิต (ปุรุษารถะ) ปรัชญาอินเดียมุ่งเน้นการปฏิบัติเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเป้าหมายของชีวิตโดยทั่วไปจึงหมายถึง บางสิ่งที่มนุษย์พยายามที่จะปฏิบัติ แสวงหาเพื่อให้ได้มาหรือพยายามที่จะบรรลุถึง ซึ่งเป็นคุณค่าที่มนุษย์ยึดมั่น สามารถกล่าวได้ว่าทรรศนะเรื่องเป้าหมายของชีวิตหรือปุรุษารถะนี้ถือเป็นทฤษฎีคุณค่า (theory of values) ในปรัชญาอินเดียมี 4 ประการ คือ อรรถะ กามะ ธรรมะ และโมกษะ
- อรรถะ หมายถึง ความร่ำรวย หรือความสมบูรณ์พร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ หรือความมั่งคั่งทางวัตถุ (ในความหมายกว้างอาจขยายความถึงความรู้ด้วยก็ได้)
- กามะ ตามตัวอักษรหมายถึงความปรารถนา (desire) ในปุรุษารถะ หมายถึง ความเพลิดเพลินทางประสาทสัมผัส หรือความพึงพอใจที่เกิดจากการได้สนองตอบความต้องการหรือแรงปรารถนา
- ธรรมะ หมายถึง การถึงพร้อมด้วยคุณธรรม ความดี
- โมกษะ หมายถึง การหลุดพ้นที่เป็นหนึ่งเดียวกับปรมาตมัน หรือการหลุดพ้นจากความทุกข์หรือสังสารวัฏโดยสิ้นเชิง
ปรัชญาอินเดีย แบ่งออกได้ 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1) อาสติกะ (Orthodox systems) คือ ปรัชญาฝ่ายฮินดู 6 สำนักหรือที่เรียกว่า สัฑทรรศนะ อันได้แก่ นยายะ ไวเศษิกะ สางขยะ โยคะ มีมามสาและเวทานตะ ปรัชญาที่ทั้ง 6 ระบบเสนอแนวคิดที่อ้างถึงคำสอนในพระเวทมากน้อยแตกต่างกันออกไป
- สำนักนยายะ ให้ความสำคัญกับเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ (ประมาณะ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรรกวิทยา “นยายะสูตร” เคาตมะ ผู้ก่อตั้งสำนักเป็นผู้รจนา
- สำนักไวเศษิกะ วิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ และเสนอทฤษฎีพหุนิยม (ปทารถะ) “ไวเศษิกสูตร” กณาทะ ผู้ก่อตั้งสำนักเป็นผู้รจนา
- สำนักสางขยะ เป็นทวินิยมที่พยายามอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวตนของมนุษย์ (ปุรุษะ) กับโลกภายนอก (ประกฤติ) และอธิบายวิวัฒนาการของโลก “สางขยสูตร” กปิละ ผู้ก่อตั้งสำนักเป็นผู้รจนา (แต่สูญหายไปแล้ว มีตำราสำคัญที่เก่าแก่ที่สุดของสำนักนี้ คือ “สางขยการิกา” อีศวรกฤษณะเป็นผู้รจนา)
- สำนักโยคะ วิเคราะห์ธรรมชาติของมนุษย์และอธิบายวิถีทางในการเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ “โยคะสูตร” ปตัญชลีเป็นผู้รจนา
- สำนักมีนามสา อธิบายความและให้ความสนใจในพระเวท ทั้งพยายามนำเสนอและพิสูจน์ความจริงในพระเวท “มีมามสาสูตร” ไชมิมนิเป็นผู้รจนา
- สำนักเวทานตะ ให้ความสำคัญกับคัมภีร์อุปนิษัทโดยการอธิบายและแสดงความสมเหตุสมผลของคำสอนในอุปนิษัท “พรหมสูตร” หรือ “เวทานตะสูตร” พารายณะเป็นผู้รจนา
2) นาสติกะ (Unorthodox systems) เป็นกลุ่มที่ไม่เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ ที่จารึกไว้ในคัมภีร์พระเวทนั้นเป็นความจริงและเป็นที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หรือท้าทาย จึงไม่อ้างถึงคัมภีร์พระเวท ได้แก่ พุทธ เชนและจารวาก
แนวคิดจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในสมัยโบราณ เรียกว่า สนาตนธรรม ซึ่งหมายถึง คำสั่งสอนของพระวิษณุเป็นเจ้า ในสมัยต่อมาเรียกว่า ไวทิกธรรม คือ ธรรมที่ได้มาจากพระเวท ซึ่งหมายถึง คำสอนของพระวิษณุเป็นเจ้า ต่อมาจึงเรียกว่า พราหมณธรรม ซึ่งแปลว่า คำสั่งสอนของพราหมณ์ ต่อมาเรียกชื่อใหม่ว่า หินทูธรรม ซึ่งแปลตามหลักไวยากรณ์ภาษาสันสกฤต แปลว่า “ผู้ละเว้นหิงสากรรม” คือ อหิงสก
หินทูธรรม หรือ ฮินดูธรรม จึงแปลว่า ธรรมะที่สอนอหิงสา จุดมุ่งหมายของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู จึงเป็นการสอนเพื่อนำบุคคลไปสู่ความหลุดพ้น ความหลุดพ้นในที่นี้หมายถึง หลุดพ้นจากกองกิเลสและกองทุกข์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหลุดพ้นไปแล้วก็จะกลายเป็นเอกภาวะ มีภาวะเป็นอันหนึ่งอันเดียวไปกับปรมาตมันด้วย ภาวะหนทางหรือความเป็นไปเช่นนี้ เรียกว่า “โมกฺษคติ” หรือ “พรหมมารฺค”
โมกฺษ คือ ความหลุดพ้น ส่วนคติ คือทาง ทางไป หรือทางดำเนิน เพราะฉะนั้น เมื่อรวมกันเข้าแล้วจึงหมายความว่า ทางไปสู่ความหลุดพ้น หรือทางแห่งความหลุดพ้นนั่นเอง บุคคลใดก็ตามเมื่อบรรลุสภาพแห่งความหลุดพ้นเช่นนี้แล้ว บุคคลนั้นก็เป็นอันว่า ไม่มีที่จะต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป โมกฺษในคติพราหมณ์ – ฮินดู ถือว่า “มีสภาพไปกลมกลืนรวมอยู่กับปรมาตมัน”
แม้ว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จะสั่งสอนหรือเน้นซึ่งหลักการแห่ง “โมกฺษคติ” หรือ ทางแห่งความหลุดพ้นไว้เช่นนี้แล้วก็ตาม แต่ใช่ว่าจะปล่อยให้เป็นภาระแก่เทพ หรืออาศัยแต่เทพเป็นที่พึ่งอยู่แต่ฝ่ายเดียวก็หาไม่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูยังเน้นการอาศัยกรรมของตนอยู่
คัมภีร์พระเวทจึงได้สอนไว้ว่า มนุษยชาติทั้งหลายควรปฏิบัติตามคติ 4 ประการ คือ ธรรมะ อรรถะ กามะ และ โมกษะ พระคัมภีร์ของสนาตนธรรมก็คือ พระเวท ซึ่งมีความหมายกว้างขวางมาก และไม่ง่ายแก่การทำความเข้าใจนัก ถ้าต้องการให้เข้าใจดีก็พึงจะต้องศึกษาศาสตร์ 6 แขนง ที่เรียกว่า เวทางคศาสตร์ คือ ความรู้อันเกี่ยวข้องกันและนับเนื่องกันส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันเข้าเป็นพระเวท
ศาสตร์ 6 ประการนั้น ได้แก่
ศึกษาศาสตร์ สอนการอ่านทำนองของพระเวท ว่าจะอ่านได้อย่างไรบ้าง- กัลปศาสตร์ สอนว่าพระเวทหรือคำแต่ละคำของพระเวทและมนตร์ต่าง ๆ นั้นจะมีวิธีนำเอาไปใช้ที่ไหน และอย่างไร
- ไวยากรณศาสตร์ สอนว่าคำแต่ละคำของพระเวท พระมนตร์ อุบัติขึ้นมาอย่างไร และ ออกเสียงอย่างไร
- นิรุกติศาสตร์ สอนเรื่องคำพูด หรือภาษา ความเข้าใจในภาษาและการรู้จักใช้ถ้อยคำให้ผู้อื่นเข้าใจ การศึกษาถึงที่มาของคำแต่ละคำว่ามีอะไร มาประกอบกันเข้าบ้าง จึงสำเร็จเป็นคำ ได้รูปคำอย่างนี้
- ฉันทศาสตร์ หรือกาพยศาสตร์ สอนว่ามนตร์แต่ละมนตร์ของพระเวทอ่านทำนองอย่างไร และมีวิธีการประพันธ์แต่ละกาพย์แต่ละฉันท์อย่างไรบ้าง
- โชยติษศาตร์ หรือโหราศาสตร์ ได้แก่ ดาราศาสตร์ สอนถึงคติทางโคจรของดวงดาราทั้งหลายในท้องฟ้า สำหรับบอกเวลาได้ถูกต้อง รวมถึงอุตุนิยมวิทยาด้วย
ผู้ใดมีความรู้เรื่องศาสตร์ทั้ง 6 นี้แล้ว ผู้นั้นก็จะสามารถเข้าใจความหมายของพระเวทได้ดี แต่ทว่ามีบุคคลเพียงส่วนน้อยที่จะสามารถเรียนให้ครบศาสตร์ทั้ง 6 แขนงดังกล่าว และเรียนพระเวทอื่นๆ ต่อไปอีกด้วย เพราะขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของตน อันจำกัดและสิ่งแวดล้อมทางสังคม
ต่อมา มหาฤษีไทวปายนวยาสมุนี (ฤษีวยาสะ) จึงแบ่งการศึกษาพระเวทออกกไปเป็น 4 เล่ม คือ ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท และอถรฺวเวท ทั้งนี้ ยังมีการแยกออกไปอีก 4 เล่มเรียกการแยกเป็นคัมภีร์นี้ว่า อุปเวท ดังมีรายละเอียด ได้แก่
ฤคเวท แสดงประวัติศาสตร์ของโลก อันได้แก่ เทวโลก มนุษย์โลก หรือเคราะหโลกต่าง ๆ ที่มีอยู่ในห้วงอวกาศ อุปเวทของฤคเวทคือ อายุรเวท ได้แก่ วิชาแพทยศาสตร์สามเวท แสดงกลศาสตร์หรือศิลปะศาสตร์ต่าง ๆ รวมทั้งสังคีตศาสตร์ อุปเวทของสามเวทคือ คนฺธรฺวเวท หรือคันธรรพเวท ได้แก่ วิธีใช้ศิลปะแห่งการดนตรีเข้าช่วยให้ตั้งเป็นสมาธิยชุรเวท แสดงพิธีบูชาบวงสรวงต่างๆ ที่เรียกว่า ยชฺญกรรม หรือยัญญกรรม อุปเวทของยชุรเวทคือ ธนุรเวท ได้แก่ วิธีการสร้างอาวุธต่าง ๆอาถรรพเวท แสดงการใช้เวทมนตร์เพื่อให้เกิดผลดีหรือผลร้ายขึ้น อุปเวทของอาถรรพเวทคือ ศิลปะเวท ได้แก่ วิชาศิลปะต่าง ๆ
นอกจากนี้ก็ยังมีคัมภีร์อุปนิษัทอีกจำนวนหนึ่งที่รจนาขึ้นเพื่อบรรยายความหมายของพระเวท ต่อมา ฤษีวยาสมุนีได้ตระหนักว่ายังมีคนอีกนับจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถจะตีความหมายในพระเวทให้เข้าใจได้ จึงได้รจนาคัมภีร์ปุราณะขึ้นอีก 18 เล่ม และคัมภีร์อุปปุราณอีก 18 เล่ม เพื่อบรรยายหรืออธิบายข้อความและความหมายของคัมภีร์พระเวทที่ยังยากแก่ความเข้าใจ โดยยกเอาเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์หรือเหตุการณ์ร่วมสมัยมากล่าวเป็นตัวอย่าง ประกอบคำอธิบายและใช้นิทานเรื่องต่าง ๆ เข้ามาสาธกด้วยเพื่อเป็นอุทธาหรณ์ประกอบให้เข้าใจชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์อื่น ๆ ที่เป็นทำนองอรรถาธิบายคัมภีร์พระเวทอีก เช่น คัมภีร์สังหิตา คัมภีร์พระพรหมครันถ์ เป็นต้น รวมหลายพันเล่ม
คัมภีร์ที่นับว่าเป็นสาระแห่งพระคัมภีร์ทั้งหลายยังมีอีก 2 เล่ม คือ คัมภีร์มหาภารต ในคัมภีร์เล่มนี้มีอยู่ตอนหนึ่งชื่อ ศรีมัทภควัทคีตา นับว่าเป็นตอนที่สำคัญที่สุด เป็นที่ยอมรับของนักคิด นักการศาสนา และนักปรัชญาทุกระบบ หลักธรรมคำสอนในภควัทคีตามีที่มาจากแหล่งคัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของคัมภีร์พระเวท จึงสรรเสริญภควทคีตา เป็นนิตย์
ในคัมภีร์อุปนิษัทมีทรรศนะเรื่องเป้าหมายของชีวิตหรือปุรุษารถะ อันถือเป็นทฤษฎีคุณค่าของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อันเกี่ยวข้องกับกามะ หมายถึง ความปรารถนาของบุคคลที่มีความเพลิดเพลินทางประสาทสัมผัส อันเป็นความพึงพอใจที่เกิดจากการได้สนองตอบต่อความต้องการหรือแรงปรารถนานั้น ๆ
ปรัชญาอินเดียวได้วางระบบคุณค่านี้ไว้เป็นทฤษฎีระสา (Theory of Rasa) มีความดังนี้
ระสา (Rasa) รส (flavor) หมายถึง ความงาม (beauty) เป็นคุณค่าของสุนทรียภาพ หรือแก่นสาระที่เป็นเนื้อในอันเป็นหมายหลักของการเรียนรู้ในประสบการณ์สุนทรียภาพระสาวัต (Rasavat) สิ่งที่มีรส (having Rasa) หรือสุนทรียวัตถุ (Rasa) ที่มีค่าของรส ได้แก่ วัตถุตามธรรมชาติหรือศิลปะวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นระสิกขา (Rasa) ผู้ที่มีศักยภาพพอเพียงในการรับรู้รส (one competent to the tasting of Rasa) หมายถึง ผู้ชื่มชมกับรส อาจเป็นผู้รักชอบคุณค่าสุนทรียะ (Aesthetics) หรือนักวิจารณ์ศิลปะที่แท้จริง (the true critic)ระสาวัฒนะ (Rasavadana) ตัวสุนทรียรส หรือตัวคุณค่าของรส ซึ่งเป็นคุณค่าทางความงาม (quality of beauty) นั้นคือ คุณค่าของสุนทรียภาพ (Aesthetic quality) ที่ปลุกเร้าความรู้สึกให้ขจร (pervasion) ขึ้นในตัวคนขณะที่กำลังรับรู้
ทฤษฎีระสาเป็นทฤษฎีตามนาฏยศาสตร์สูตร ซึ่งมีทรรศนะของรสทางอารมณ์ความรู้สึกและเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามประสบการณ์ของมนุษย์ อันมีส่วนประกอบจากรสของอารมณ์ต่าง ๆ 10 รส ได้แก่ ความยินดี พอใจ (shringara) ที่นำไปสู่ความรัก (rati) ความกรุณา (Jugupsa) ความสนุกสนาน (Hasya) ความเศร้าโศก (Soka) ความโกรธ (Krodha) ความกล้าหาญ (Utsaha) ความกลัว (Bhaya) ความสงสัย (Vismaya) และความสันติสุข (Shanta) ซึ่งถือว่าเป็นอารมณ์พื้นฐานที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความรู้สึกของอารมณ์อื่น ๆ ที่ทับซ้อนกันยิ่งขึ้น
จากแนวคิดพราหมณ์อุปนิษัทที่จำแนกประเภทและแสดงความมีเหตุมีผล เกิดเป็นทรรศนะที่แตกต่างกับแนวคิดทางตะวันตก นั่นคือ มองว่าคุณค่าของอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์เป็นสิ่งที่เกิดจากการสัมผัส ดังนั้น ทฤษฎีของรส (Rasa) นั้นครอบคลุมคุณค่าลักษณะที่มาจาก รูป รส กลิ่น เสียง ด้วยการสัมผัสผ่านตา จมูก ลิ้น กายและใจ ซึ่งเป็นสุนทรียศาสตร์เชิงรส รสเกิดจากการปรุงแต่งให้เกิดคุณค่า ถ้าไม่กลั่นกรองจากปรากฏการณ์ที่เป็นจริงก็เป็นสัญลักษณ์ผ่านจินตนาการ หรือผสมผสานกันเป็นคุณค่ารสที่งดงามผสมผสานกับความดีผ่านความสำนึกสู่ความปิติซาบซ่านของจิตในจุดที่เรียกว่า ความงามกับจริยธรรม มุมมองของวัฒนธรรมตะวันออกจึงเน้นวัฒนธรรมทางวิญญาณ
สำหรับในทรรศนะที่เกี่ยวข้องกับความดี ปรัชญาอินเดียจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูถือการปฏิบัติตามพิธีกรรมของแต่กลุ่มคนที่เกิดมาทำหน้าที่ตามชาติกำเนิดของตน เป็นมาตรการความประพฤติของแต่ละกลุ่ม ซึ่งระบุไว้เป็นข้อปฏิบัติของแต่ละวรรณะ โดยมี ศรีมัทภควัทคีตา ของมหาภารต อันเป็นการตอบคำถามของพระกฤษณะ เนื้อความเน้นความการปฏิบัติที่เหมาะสมตามธรรมอันเป็นวิถีทางไปสู่พระผู้เป็นเจ้าอันสูงสุด และคัมภีร์รามายณะ อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระรามแห่งนครอโยธา เป็นอุทาหรณ์แห่งการปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์ผู้อุดมคุณธรรมอันดีงาม (การปฏิบัติมนุษยธรรม) ในทุก ๆ ด้าน และทุกแง่ทุกมุม เป็นอุดมเลิศบุรุษ เป็นตัวอย่าง ในการบำเพ็ญชีวิตของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
กล่าวโดยสรุป แนวคิดของปรัชญาอินเดีย และศาสนาพราหมณ์-ฮินดูถือว่า เรื่อง ความดีและความงาม เป็นเรื่องเดียวกัน
ส่วนหนึ่งจาก รวิช ตาแก้ว. (2557). ความหมายของคำ “ดีงาม” ในบริบทวัฒนธรรมไทย: การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์ และวิธาน. วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา.

