อ.ดร.รวิช ตาแก้ว
ความเชื่อเรื่องความดีและความงามในบริบทของวัฒนธรรมไทยนั้นยอมรับว่าเป็นเรื่องเดียวกัน วัฒนธรรมไทยจึงเลือกใช้คำว่า “ดีงาม” เพื่อใช้อธิบายคุณค่าของความประพฤติของบุคคลว่าควรยอมรับหรือไม่ โดยเลือกใช้คำว่า “ดีงาม” เป็นเกณฑ์ตัดสินเชิงคุณค่า เมื่อวิเคราะห์ในรายละเอียดพบว่า เป็นแนวคิดทางปรัชญาที่เป็นกลาง กล่าวคือ เป็นแนวคิดที่ให้ข้อคิดอย่างที่ไม่ขาดและไม่เกิน (พอเพียง)
ดังนั้นการให้คำนิยามว่า “ดีงาม” ในสภาพที่เป็นกลางจึงหมายความพอดีที่กลมกลืนกันระหว่างความดีและความงาม ซึ่งอาจแสดงออกให้เห็นคุณสมบัติในเชิงกายภาพเพียงด้านหนึ่งด้านใดตามที่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัส ซึ่งอาจเรียกว่า “สิ่งงาม” หรือ “สิ่งดี” ก็ได้ แต่เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติภายในของสิ่งนั้นก็พบว่ามี “สิ่งดี” หรือ “สิ่งงาม” อีกส่วนหนึ่งแฝงอยู่ภายใน
ข้อยืนยันเชิงคุณค่า “ความดีงาม” ที่เป็นปรวิสัย ทรรศนะนี้เป็นความคิดและความเชื่อที่มีสภาพเป็นกลางและเป็นมาตรการจริยะที่ใช้ในการวัดอาจจะเป็นผลอสัมพัทธ์ (absolute) หรือปรวิสัย (objective) ก็ได้
ข้อยืนยันเชิงคุณค่า “ความดีงาม” ที่เป็นอัตวิสัย ทรรศนะนี้เป็นความคิดและความเชื่อที่มีสภาพเป็นกลางซึ่งอาจจะเป็นผลสัมพัทธ์ (relative) หรืออัตวิสัย (subjective) ก็ได้
ข้อยืนยันเชิงคุณค่า “ความดีงาม” ไม่เป็นทั้งปรวิสัยและอัตวิสัย ทรรศนะนี้หากยึดถือว่าเป็นความคิดและความเชื่อที่มีสภาพเป็นกลางเมื่อมีทรรศนะต่อคำว่า “ดีงาม” เป็นคำที่มีสภาพเป็นกลาง สามารถนำคำว่า “ดีงาม” ไปประยุกต์ใช้กับแนวคิดทางปรัชญาอื่นได้อย่างมีคุณค่าที่ชัดเจน ในแต่ละทรรศนะได้ดังนี้
1) คำว่า “ดีงาม” กับสมรรถภาพคิดของคานท์ คานท์ (Immanuel Kant 1724 – 1804) ได้สรุปสมรรถภาพคิดของปัญญาไว้ 3 ระดับ คือ 1) เหตุผลบริสุทธิ์ (Pure reason) สำหรับรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 2) เหตุผลปฏิบัติ (Practical reason) สำหรับใช้ในการนำไปสู่การประพฤติตน 3) เหตุผลการตัดสิน (Judgement reason) ใช้สำหรับการตัดสินเชิงคุณค่าที่ผลต่อจิตใจหรือต่อพฤติกรรมที่ต้องการแสดงออก
ความดีงามตามบริบทวัฒนธรรมไทย เมื่อนำมาเทียบเคียงกับสมรรถภาพคิดของคานท์พบว่า ความดีงามเป็นเหตุผลบริสุทธิ์ ความดีงามเป็นเหตุผลปฏิบัติ และเหตุผลการตัดสิน ความดีงามเป็นเหตุผลปฏิบัติเพราะในสังคมไทยใช้เป็นควบคุมความประพฤติของบุคคล นอกจากใช้เป็นมาตรการควบคุมความประพฤติแล้ว เมื่อใดที่เห็นว่าใครก็ตามที่มีความประพฤติปฏิบัติได้ตามเกณฑ์ ก็ใช้เป็นเกณฑ์ความดีงามสำหรับเป็นเกณฑ์การตัดสินด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของคานท์ที่มีทรรศนะว่า
ความเป็นจริงเฉพาะหน่วยเป็นความจริงที่ได้จากประสบการณ์ ซึ่งคานท์มองว่าเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นสำหรับมนุษย์ หากยึดถือว่าเป็นความเป็นจริงอาจมีความผิดพลาด เพราะประสบการณ์ในแต่ละอาจไม่เหมือนกัน อีกเหตุการณ์ที่ได้ประสบนั้นอาจไม่ใช่ความเป็นจริง เพราะระยะทางและเวลาเป็นเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ สิ่งที่เห็นด้วยสายตาอาจไม่ใช่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็เป็นไปได้ ดังนั้นเหตุผลที่ได้จากข้อมูลตามกรอบความคิดของมนุษย์น่าเป็นเหตุผลที่ดีกว่า กล่าวคือ มีความเป็นจริงมากกว่า ดังที่สมองของแต่ละคนได้ยอมรับว่าเป็นความจริง จึงสื่อสารออกเป็นสัญญะหรือภาษาเพื่อส่งต่อความคิดนั้น ด้วยเหตุนี้คำว่า “ดีงาม” ในบริบทวัฒนธรรมไทยจึงเป็นเหตุผลบริสุทธิ์ตามแนวคิดคานท์ เพราะเกิดจากเหตุผลเชิงการคิดที่บริสุทธิ์
2) คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดโครงสร้างทางภาษาของโซสซืร์ โซสซืร์ (Ferdinand de Saussure, 1857 – 1913) ให้แนวคิดว่า ภาษาไม่ได้เกิดจากหน่วยย่อยของสังคม แต่ภาษาเป็นความต้องการของสังคม สังคมต้องการใช้เครื่องมือในการสื่อสารความหมาย จึงมีการลองผิดลองถูกเพื่อสื่อสารให้ได้ความหมายตามที่ต้องการในแต่ละครั้ง
คำว่า “ดีงาม” เมื่อนำแนวคิดของโซสซืร์มาขยายความพบว่าสอดคล้องกัน เพราะคำว่า “ดีงาม” ไม่ได้เกิดจากหน่วยย่อยของสังคม แต่เป็นคำที่เกิดจากความต้องการของสังคมที่ต้องการใช้เกณฑ์การตัดสินความประพฤติของผู้คนในสังคมว่าควรประกอบด้วยคุณค่าสองส่วน คือ ความดีและความงาม จึงเลือกใช้คำว่า “ดีงาม” เป็นเครื่องมือในการสื่อสารความหมายและความต้องการของสังคม ซึ่งการสื่อสารนั้นเป็นการลองผิดลองถูกเพื่อการสร้างความเข้าใจในสารที่ต้องการให้ตรงกันทั้งนี้เพื่อพัฒนาคุณภาพที่ชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามข้อพิดพลาดในการตีความที่เกิดขึ้นนั้น เพราะแต่ละคนต่างมีประสบการณ์และข้อมูลพื้นฐานที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้แต่ละคนจึงตีความตามประสบการณ์และข้อมูลของตน ความเข้าใจเรื่อง “ความดีงาม” จึงแตกต่างกันออกไป
3) คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดการตีความตามหลักวงจรอรรถปริวรรตของดิลเธย์ ดิลเธย์ (Willhelh Dilthey, 1833 – 1911) ได้ให้แนวคิดว่า การตีความตามกรอบความคิดของมนุษยศาสตร์แตกต่างกับวิธีการวิทยาศาสตร์ และการตีความตามกรอบความคิดของมนุษยศาสตร์ควรตีความตามหลักวงจรอรรถปริวรรต (hermeneutics) ตามแนวคิดปรัชญาวิเคราะห์ (ดูปรัชญาวิเคราะห์ หน้า 48) ซึ่งใช้กรอบความคิดแบบสังคมศาสตร์ พบว่าแนวคิดวิธีการสอดคล้องตามแนวคิดของดิลเธย์
แนวคิดของดิลเธย์ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ของทุกคน ซึ่งยืนยันว่า เหตุผลใช้ในการดำรงชีวิตของมนุษย์มีอยู่สองส่วนคือ เหตุผลที่มาจากความรู้ที่ได้จากการคิดเชิงวิชาการตามแนวคิดของคานท์และอีกส่วนหนึ่งคือเหตุผลที่ได้จากความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก เหตุผลที่มาจากการคิดในส่วนนี้ไม่ต้องการข้อชี้แจง แต่แสดงออกมาทันทีตามความรู้สึกที่รับรู้ได้ซึ่งความรู้ส่วนนี้เป็นเรื่องของความดีและความงาม ซึ่งในบางครั้งสัมผัสได้โดยไม่ต้องมีเหตุผลอธิบาย คำว่า “ดีงาม” ตามบริบทวัฒนธรรมไทยสอดคล้องกับแนวคิดนี้
4) คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดความเป็นกลางของฮุสเซิร์ล ฮุสเซิร์ล (Edmund Husserl, 1859 – 1938) ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ผู้สังเกตการณ์ควรระงับการแยกผู้คิดจากสิ่งที่ถูกคิด (subject and object) เพื่อดูว่า โลกปรากฏแก่เราอย่างไร
หากมองว่า คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดความเป็นกลางของฮุสเซิร์ล (Husserl) พบว่า คำว่า “ดีงาม” อยู่ท่ามกลางระหว่างความดีและความงาม ซึ่งเป็นความพอดีที่ต้องการอธิบายว่า เมื่อดีต้องงามและเมื่องามก็ต้องดีด้วย ดังนั้นแม้ว่า ข้อสรุปในบริบทวัฒนธรรมไทยใช้คำว่า “ดีงาม” เพื่ออธิบายเกณฑ์เชิงคุณค่าของความประพฤติสามารถประยุกต์ใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินความงามได้ แนวคิดในการยืนยันความคิดและประยุกต์ใช้และการพิสูจน์เชิงคุณค่าในข้อ 6 นี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามแนวคิดของฮุสเซิร์ล กล่าวคือ สมมุติว่า คำว่า “ดีงาม” มีค่าเป็นกลางไม่เป็นทั้ง ปรวิสัยและอัตวิสัย ซึ่งได้ขยายความไว้ในแต่ละประเด็น
5) คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดความจริงสัมพัทธ์ของฮายเดกเกอร์ ฮายเดกเกอร์ (Martin Heidegger, 1889 – 1976) มีความคิดว่า มนุษย์เป็นอยู่ได้ในฐานะมนุษย์ก็โดยการตีความหมาย ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นความจริงสัมพัทธ์ (relativistic hermeneutics) ระหว่างภาวะต่าง ๆ ในโลก ภาวะที่ว่านี้มีกัมมันตภาพแสวงหาความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวเองและโลก
หากมองว่า คำว่า “ดีงาม” กับความจริงสัมพัทธ์ตามทรรศนะของฮายเดอเกอร์ เป็นการมองในทรรศนะอภิปรัชญา ซึ่งเป็นการค้นหาความเป็นจริงที่เป็นอยู่ เพราะมนุษย์ดำรงตนอยู่ในโลกนี้ด้วยการตีความตามทรรศนะของแต่ละบุคคล
ความจริงสัมพัทธ์ในทรรศนะของฮายเดอเกอร์ (Heidegger) ต้องการอธิบายถึงความหมายของชีวิตที่ปฏิสัมพันธ์กับสภาวะแวดล้อมรอบ ๆ ตนเอง ด้วยเหตุที่มนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้และจดจำ ภาวะต่าง ๆ ในโลก จึงสรุปเป็นองค์ความรู้ต่าง ๆ โดยเชื่อว่า สิ่งที่มนุษย์ได้สรุปไว้นั้นเป็นความเป็นจริงที่เกี่ยวกับตนเองและโลก ผู้วิจัยได้ใช้แนวคิดนี้ขยายความให้เห็นความเหมือนและความต่างของทรรศนะเรื่อง ปรวิสัยและอัตวิสัย
6) คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดหลัก 3 กล้าของซาร์ต แนวคิดของซาร์ต (Jean-Paul Sartre, 1905 – 1980) เป็นส่วนหนึ่งปรัชญาหลังนวยุค สายกลาง ที่ยึดถือคุณค่าของความเป็นมนุษย์ โดยการใช้หลัก 3 กล้า คือ 1) กล้าเผชิญปัญหา 2) กล้าประเมินวิธีปฏิบัติ 3) กล้าลงมือทำการด้วยความรับผิดชอบ
คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดของซาร์ต (Sartre) เมื่อนำหลัก 3 กล้ามาประยุกต์ใช้พบว่า เหมาะสม เพราะเป็นความดีงามที่ กล้าเผชิญปัญหา กล้าประเมินวิธีปฏิบัติและกล้าลงมือทำการด้วยความรับผิดชอบ ซึ่งหากนำแนวความคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับวิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้ทุกคนมีชีวิตที่กล้าสู่กับปัญหา ซึ่งเป็นความกล้าที่เกิดจากปัญญา กล่าวคือ ต้องใช้ความรอบรู้ รอบคอบเข้าแก้ปัญหา และกล้าลงมือปฏิบัติตามข้อสรุปที่ตนเองเห็นว่า ดีงาม โดยไม่เกิดผลร้ายต่อตนเองและผู้อื่น หากเกิดผลกระทบที่ไม่ดีก็ยอมรับการกระทำด้วยความรับผิดชอบที่ตนเองกระทำ
7) คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดเกมภาษาของวิทเกินชทายน์ วิทเกินชทาย์น (Ludwig Wittgenstein, 1889 – 1951) ได้เสนอแนวคิดเกมภาษาซึ่งเป็นแนวคิดปรัชญาวิเคราะห์ เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับความหมายซึ่งมี 4 กลุ่มทฤษฎี คือ
ก) คำว่า “ดีงาม” กับทฤษฎีอ้างอิง (Referential Theory) เป็นกลุ่มที่เชื่อว่าความหมายของภาษาคือสิ่งที่หน่วยภาษานั้นบ่งถึง ซึ่งจะเป็นประโยคหรือข้อความก็ได้ การอ้างอิงมี 2 แบบ คือ การอ้างอิงแบบสัจนิยม (Realistic referential Theory) ถือว่าความเป็นจริงเป็นความหมายของคำ ฉะนั้นคำทุกคำตอบสนองต่อสิ่งที่อาจมีอยู่จริง ซึ่งเกิดจากปัญญาของมนุษย์ที่ปะติดปะต่อกันจากสิ่งที่มีอยู่จริง คุณค่าต่าง ๆ จึงมีมาตรจริงตามปรวิสัย เช่น มาตรการความดีงามมีอยู่จริงสำหรับการตัดสินว่า “เป็นสิ่งที่ดีงาม”
การอ้างอิงแบบทฤษฎีภาพ (Picture Theory) ถือว่าประโยคที่จะจริงได้ต้องเป็นประเภทข้อตัดสินข้อเท็จจริง (fact judgement) คือตัดสินว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร (What is the case) เพราะฉะนั้นประโยคตัดสินคุณค่า (What ought to be case) คือตัดสินว่าควรเป็นอย่างไร คำว่า “ดีงาม” เมื่อนำทฤษฎีนี้ พบว่าเป็นประโยคที่ตัดสินข้อเท็จจริง ที่ว่า ถ้า “ดี” ก็ ต้อง “งาม” ด้วย ซึ่งเป็นการตัดสินว่า “ดี” ควรเป็นอย่างไร ซึ่งให้คำตอบว่า ถ้า “ดี” ก็ต้อง “งาม” ด้วย
ข) คำว่า “ดีงาม” กับทฤษฎีพิสูจน์ (Verificational Theory) เป็นทฤษฎีของสำนักปฏิฐานนิยมเชิงตรรกะ (logical positivism) ใช้เป็นมาตรการตัดสินว่าคำใดมีความหมายหรือไม่ ถ้ามีก็จะรับไว้สำหรับค้นคว้าทางวิชาการ ถ้าไม่มีก็จะตัดไป จึงถือเป็นสูตรตามตัวอักษรว่า ข้อความใดจะถือได้ว่ามีความหมายตามตัวอักษรก็รับเป็นข้อความวิเคราะห์ ซึ่งถือเป็นมาตรการตัดสินการมีความหมาย
คำว่า “ดีงาม” มีความหมายดังที่ได้อธิบายไว้แล้วในทุกแง่มุม (ดูบทที่ 3 ข้อ 4.5.1 และ ข้อ 4.5.2 หน้า 125 – 130) ความดีและความงามถือเป็นความรู้จากประสบการณ์ที่ทุกคนสามารถมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ก็รับรู้ได้ตามประสบการณ์ของแต่ละคน เมื่อทุกคนรับรู้ก็มีความสุข และจึงถือได้ว่าประสบการณ์ที่ได้จากประโยชน์จากความดีงามนั้นเป็นความสุขในขั้นตาเห็น ซึ่งถือได้เป็นประสบการณ์ที่รับรู้ได้จากความดีงาม
ค) คำว่า “ดีงาม” กับทฤษฎีจิตวิทยา (Psychological Theory) นักปรัชญาที่ยึดถือทฤษฎีนี้เชื่อว่าความหมายคือความพร้อมของภาษาที่จะก่อให้เกิดกระบวนการทางจิตวิทยา ซึ่งจะเกิดขึ้นในตัวผู้สื่อสาร หรือในตัวผู้รับสาร ภาษาจึงสื่อความได้สองความหมาย คือ ความหมายของผู้สื่อสารและความหมายของผู้รับสาร
ง) คำว่า “ดีงาม” กับทฤษฎีเครื่องมือ (Tool Theory) มีหลายแนวคิด สำหรับแนวคิดทฤษฎีที่วิทเกินชทาย์นได้เสนอไว้ว่า ภาษานั้นมีหลายแบบเปรียบเสมือนเครื่องมือช่าง ที่เครื่องมือแต่ละชิ้นนำไปใช้งานได้ต่าง ๆ กัน คำหรือประโยค แต่ละหน่วยมีวิธีการใช้และใช้ได้ต่าง ๆ กัน ดังนั้นการวิเคราะห์ความหมายควรวิเคราะห์การใช้ภาษาตามแบบเกมภาษา โดยมีทรรศนะว่า การพูดภาษาเป็นหนึ่งของกิจกรรมชีวิต คำว่า “ดีงาม”
เมื่อพิจารณาตามกรอบความคิดทั้ง 4 ทฤษฎีแล้วพบว่า สามารถยืนยันได้ว่า “ดีงาม” มีคุณค่าพอสำหรับใช้เป็นเกณฑ์สำหรับการตัดสินเชิงคุณค่า สรุปได้ว่าวัฒนธรรมไทยเลือกใช้คำได้เหมาะสมตามบริบทวัฒนธรรมและใช้แง่มุมตามความหมายของผู้ใช้และผู้รับ (ผู้รับสารที่มีแนวคิดบนกรอบพื้นฐานความคิดในช่วงรอยต่อระหว่างเวลาการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนจากวัดเข้าสู่โรงเรียน)
8) คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดกระแสพหุนิยมของกาดาเมอร์ กาดาเมอร์ (Hans Georg Gadamer, 1900 – 2002) ได้ให้แนวคิดว่า ในกระแสพหุนิยมการตีความเรื่องเดียวกันสามารถตีความได้หลายมุมมอง การใช้ภาษาเป็นสื่อเพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนะกัน เพื่อขยายขอบฟ้าของกันและกัน
คำว่า “ดีงาม” กับทรรศนะของกาดาเมอร์ นับว่าเป็นแนวคิดที่ขยายขอบฟ้าของกันและกันได้ชัดเจนมาก เพราะทำให้เกิดแนวความคิดได้ว่า เกณฑ์ความประพฤติซึ่งเป็นความดีนั้นในบางครั้งอาจมองได้หลายแง่มุม ซึ่งอาจเป็นทั้งดีและงาม หรือจะใช้เฉพาะความงามก็ได้ เพราะถ้ายอมรับว่า ดีและงามเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อนำแนวคิดเรื่องความดีและความงามทั้งตะวันออกและตะวันตกมาเทียบเคียงกัน ทำให้เห็นมุมมองที่แตกต่างกัน และส่งเสริมกันอย่างเป็นระบบ ทรรศนะต่างที่เสริมกัน อาทิ ทรรศนะเรื่องปรวิสัยและอัตวิสัย
9) คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดกรอบสัญญะของเกิทช์ เกิทช์ (Clifford Geertz, 1926 – 2006) ได้ให้แนวคิดในการตีความวัฒนธรรมไว้ว่า วัฒนธรรมเป็นสัญญะชุดหนึ่งที่กำหนดกรอบชีวิตที่สังคมนั้นพอใจร่วมกัน (sign human-made, arbitrary, convention and shared)
จากแนวคิดดังกล่าว คำว่า “ดีงาม” ที่วัฒนธรรมไทยเลือกนำเสนอ จึงเป็นสัญญะชุดหนึ่งของสังคมไทยที่พอใจร่วมกันในกลุ่มชน ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับวัดความประพฤติของบุคคลที่ต้องการยกย่องให้เป็นแบบอย่างของผู้คนในสังคม ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวความคิดของเกิทช์ เพราะคำว่า “ดีงาม” สังคมไทยพอใจร่วมกันที่จะกำหนดกรอบเช่นนั้น
เนื่องจากกรอบความคิดของเกิทช์เป็นกรอบความคิดเบื้องต้นที่ผู้วิจัยได้ใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวความคิดในการตีความ เพราะเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้สามารถตีความได้ถูกต้องตามบริบทที่ต้องการ กล่าวคือเป็นการตีความตามบริบทวัฒนธรรม ดังนั้นเมื่อนำตรวจสอบย้อนกลับเพื่อยืนยันเชิงคุณค่าจึงสอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว
10) คำว่า “ดีงาม” กับแนวคิดปรัชญาหลังนวยุค สายกลาง แนวคิดปรัชญาหลังนวยุค สายกลาง เชื่อว่า แต่ละคนมีระบบเครือข่ายของตนเองในแต่ละคนโดยมีวิจารณญาณเป็นของตนเอง ซึ่งกระบวนการวิจารณญาณ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การวิเคราะห์แยกประเด็น การประเมินค่าแต่ละประเด็น และการเลือกเก็บส่วนที่มีคุณค่า ทั้งนี้เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับวิถีชีวิตประจำวันและเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
คำว่า “ดีงาม” ในบริบทวัฒนธรรมไทยจึงเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับมาตรการความดีที่สามารถอนุมานได้ว่ามีการเข้าถึงได้ 4 วิธี คือ การหยั่งรู้ การใช้เหตุผล การใช้ประสบการณ์ และการเลือกใช้จากทุกทาง ความรู้ที่ได้จากทั้ง 4 แนวทางนำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับเป็นกรอบในการตัดสินใจเพื่อการทำดี และเป็นแนวทางสำหรับกรอบการประพฤติดี ซึ่งกรอบแนวทางทั้งสองนี้ต้องใช้ควบคู่กันจะใช้เฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ เพราะความรู้ทั้งสองเป็นพื้นฐานของมาตรการจริยะที่ต้องการพัฒนาควบคู่กันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตจะแตกต่างกันตามสิทธิและความคิดเสรีของแต่ละคน แต่ละลัทธิปรัชญา ซึ่งแนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง เลือกใช้แนวคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยประยุกต์ใช้และพัฒนาจากทุกส่วนของแนวคิดเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดำเนินอยู่ในขณะปัจจุบันให้ได้ประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าที่สุด
ส่วนหนึ่งจาก รวิช ตาแก้ว. (2557). ความหมายของคำ “ดีงาม” ในบริบทวัฒนธรรมไทย : การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์ และวิธาน. วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต. กรุงเทพฯ . มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา.

