ดร.พจนา มาโนช:

การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมเป็นวาระสำคัญของประเทศ โดยมีการกำหนดทิศทางในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมให้ครอบคลุมทั้งด้านหลักการคิด และวิธีการปฎิบัติที่ดีงาม ถูกต้อง ตามสภาพสังคม วัฒนธรรม มุ่งเน้นในการพัฒนาลักษณะพื้นฐานและองค์ประกอบทางจิตใจซึ่งจะนำไปสู่พฤติกรรมที่พึงปรารถนา เพื่อส่งเสริมให้บุคคลเป็นคนดีและคนเก่ง

การสอน  “คุณธรรม/จริยธรรม”  เป็นความต้องการที่คนรุ่นหนึ่งจะชี้นำคนอีกรุ่นหนึ่ง  โดยผู้สอนมีความเชื่อว่าประสบการณ์ของตนอาจสร้างความเข้าใจเรื่อง  คุณธรรม/จริยธรรม  (หรือความดี  ความถูกต้อง  ความเหมาะสม)  อย่างถ่องแท้ในระดับหนึ่งและต้องการให้เยาวชนเชื่อ โดยมองว่าดีและเหมาะสมกับเยาวชน การยึดหลักคุณธรรม/จริยธรรม จะทำให้มนุษย์มีความสุข โดยที่ความสุขนั้นควรเป็นความสุขแบบเรียบง่ายและยั่งยืน

               วิถีทางพัฒนาจริยธรรม

  1. การศึกษาเรียนรู้/อบรม บุคคลแสวงหาความรู้ การหาความรู้จากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาศาสนา  วรรณคดีที่มีคุณค่า    หนังสือเกี่ยวกับจริยธรรมทั่วไปและ จริยธรรมวิชาชีพ เข้าร่วมประชุมสัมมนา เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นและประสบการณ์เกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้งทั้งด้านเจตคติและทักษะการแก้ปัญหาเชิงจริยธรรม
  2. การวิเคราะห์ตนเอง บุคคลผู้มีความพร้อมจะพัฒนามีความตั้งใจและเห็นความสำคัญของการวิเคราะห์ตนเองเพื่อทำความรู้จักในตัวตนเองด้วยการพิจารณาเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมการแสดงออกของตนเอง  จะช่วยให้บุคคลตระหนักรู้คุณลักษณะของตนเอง  รู้จุดดีจุดด้อยของตน   รู้ว่าควรคงลักษณะใดไว้
  3. การฝึกตน เป็นการพัฒนาความสามารถของบุคคล   ในการควบคุมการประพฤติปฏิบัติของตนให้อยู่ในกรอบของพฤติกรรมที่พึงปรารถนาของสังคม  ทั้งในสภาพการณ์ปกติและเมื่อเผชิญปัญหาหรือขัดแย้ง

การศึกษาเรียนรู้และการอบรมคุณธรรมจริยธรรม

1.การส่งเสริมการอบรมหน้าที่พลเมือง (civic education)

การจัดการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง (Civic Education) โดยมีทรรศนะว่า พลเมืองที่มีความรับผิดชอบ และทุกคนมีหน้าที่ร่วมกันสร้างภาวะที่พลเมืองเป็นผู้มีอิสระเสรีภาพที่จะคิดเป็นและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ผ่านการการให้ความรู้ที่เป็นสาระและหลักการ กระตุ้นให้ประชาชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม การสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นพลเมืองที่จะเกิดได้ก็ต้องมีการรับรู้ข่าวสารข้อมูล สามารถคิดวิเคราะห์และแสดงออกทางคำพูดและการกระทำที่เหมาะสม สามารถติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมือง มีความรู้ในกระบวนการทางการเมืองการปกครอง เข้าใจและวิจารณ์นโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ได้ ความรู้เช่นนี้สำคัญและเป็นความรู้ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง

การอบรมต้องทำผ่านการไม่ชี้นำ เพราะเมื่อมีการชี้นำ ผู้เรียนจะเบื่อและไม่มีการแสดงความคิด ขาดเสรีภาพในการแสดงออก เมื่อผู้สอนพูดน้อยลง ผู้เรียนจะพูดมากขึ้น และต้องมีการปฏิบัติด้วย แม้ความคิดของผู้เรียนจะไม่เหมือนผู้สอน ก็ต้องไม่โกรธ ผิดถูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ต้องให้คิดเอง วิพากษ์วิจารณ์เป็น แล้วจึงจะเกิดการมีส่วนร่วมในสังคมนั้นๆ  สังคมต้องเคารพในความคิดของผู้อื่น แม้จะแตกต่าง เมื่อพลเมืองเข้าใจพื้นฐานเช่นนี้ ก็จะไม่ทะเลาะกันด้วยการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่จะช่วยกันคิด ฟัง และร่วมกันหาทางออกด้วยเหตุผล ด้วยข้อเท็จจริง และด้วยความรู้

2. การอบรมหลักเหตุผล (Rational Training)

การอบรมหลักเหตุผล มาจากคำว่า “rationalism” มีรากศัพท์จากภาษาละตินคำว่า “ratio” ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “reason” และหมายความถึง “เหตุผล”   เหตุผลนิยมเป็นทัศนะทางปรัชญาที่ให้ความสำคัญกับสมรรถนะทางความคิดของมนุษย์ในการได้มาซึ่งความรู้ ได้แก่ การใช้เหตุผลแบบก่อนประสบการณ์ (a priori reason) ซึ่งเนื้อหาของความรู้จากเหตุผลจะแสดงออกมาในรูปประโยควิเคราะห์ (analytic statement) และวิธีการเข้าถึงพื้นฐานแห่งความรู้ของนักคิดกลุ่มนี้ก็จะยึดถือวิธีการนิรนัย (deduction) เป็นสำคัญ ภาพความเข้าใจกว้างๆก็คือ เป็นทัศนะที่เน้นบทบาทหรือความสำคัญของเหตุผล รวมไปถึงอัชฌัตติกญาณ (intuition) ในฐานะที่เป็นแหล่งที่มาของความรู้

นักปรัชญาในอดีตที่มีทัศนะในทำนองนี้มีอยู่มากพอควร คนเด่นๆเช่น พาร์มินิเดส (Parmenides) เซโนแห่งเอเลีย (Zeno of Elea) เพลโต (Plato) เซนต์ออกัสติน (St. Augustine) แต่เมื่อกล่าวถึงนักเหตุผลนิยมแล้ว จะละเลยไม่พูดถึงนักปรัชญากลุ่มนี้ไม่ได้เด็ดขาด นั่นก็คือ “นักเหตุผลนิยมภาคพื้นทวีปยุโรป” (continental rationalists) ประกอบไปด้วย เรอเน เดส์การ์ต (Rene Descartes 1596-1650) เบนเนดิค เดอ สปิโนซา (Benedict de Spinoza 1632-1677) และก็อตฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ (Gottfried Wilhelm Leibniz 1646-1716) ซึ่งมีอิทธิพลและบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานสำคัญให้กับแนวคิดแบบเหตุผลนิยม

เดส์การ์ตส์ได้แบ่งความคิด (ideas) หรือมโนทัศน์ (concepts) ของมนุษย์ออกเป็นสามประเภท คือความคิดจากภายนอก (adventitious ideas) ความคิดจากการสร้าง (factitious ideas) และความคิดแบบที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด (innate ideas) เดส์การ์ตส์อธิบายว่าความคิดแบบแรกได้จากประสบการณ์กับโลกภายนอก ความคิดแบบที่สองสร้างขึ้นด้วยจินตนาการ และความคิดแบบที่สามมีอยู่กับตัวเรามาแต่ดั้งเดิม โดยได้รับมาจากพระเจ้า ความคิดสองประเภทแรกอาจขาดความแจ่มแจ้งและชัดเจน (clear and distinct) หรือขาดความเที่ยงตรงในการแสดงถึงความเป็นจริง ต่างจากความคิดแบบติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งมีความบริสุทธิ์ ไม่ขึ้นกับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและไม่อาจคิดจินตนาการขึ้นเองได้ ความคิดที่ติดตัวมาแต่กำเนิดจะมีปรากฏอย่างแยกไม่ออกอยู่ในการคิดใช้เหตุผลของจิต และความจริงในตนเอง (self-evident truth) ของความคิดแบบนี้รู้ได้ก็ด้วยเหตุผล ตัวอย่างที่สำคัญของความคิดที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เช่น รูปทรงเรขาคณิตที่สมบูรณ์แบบ หรือความคิดเรื่องพระเจ้าที่ทรงไว้ซึ่งความสมบูรณ์แบบ เนื่องจากความสมบูรณ์แบบไม่อาจหาได้ในโลก จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าความคิดเกี่ยวกับรูปทรงเรขาคณิต หรือความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าได้มาจากประสบการณ์หรือการคิดจินตนาการบนพื้นฐานประสบการณ์อันจำกัดของมนุษย์

ไลบ์นิซก็มีความคิดเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเช่นกัน ไลบ์นิซโต้แย้งฝ่ายประสบการณ์นิยมที่เห็นว่าพื้นฐานความรู้ทั้งมวลคือประสบการณ์ เนื่องจากเห็นว่าความรูปแบบก่อนประสบการณ์ (a priori) ไม่อาจอธิบายได้อย่างเพียงพอ ถ้าถือว่าการให้เหตุผลสนับสนุน (justification) ว่าสิ่งหนึ่งๆ เป็นความรู้นั้น จะต้องอาศัยข้อมูลจากประสาทสัมผัสเท่านั้น ไลบ์นิซเห็นว่าในอันที่จะเข้าใจความรู้ประเภทนี้ได้ ควรยอมรับว่ามีมโนทัศน์และประพจน์บางอย่างที่มีอยู่ภายในจิตของมนุษย์อยู่แล้ว นอกจากนี้ไลบ์นิซยังแบ่งความจริงออกเป็นสองประเภทคือ ความจริงจากเหตุผล (truth of reason) และความจริงจากข้อเท็จจริง (truth of fact) ไลบ์นิซเห็นว่าความจริงจากเหตุผลเป็นความจริงที่แน่นอนตายตัวเกี่ยวกับความเป็นจริงในโลกภายนอก การปฏิเสธความจริงแห่งเหตุผลจะนำมาซึ่งความขัดแย้งในตัวเอง (contradiction) ตัวอย่างของความจริงประเภทนี้ที่ยกกันบ่อยคือกฎทางตรรกวิทยา เช่น กฎแห่งเอกลักษณ์ (law of identity) ส่วนความจริงจากข้อเท็จจริงเป็นความจริงที่ได้จากประสบการณ์ สามารถปฏิเสธได้โดยไม่นำมาซึ่งความขัดแย้งในตัวเอง ความจริงเช่นนี้ไม่เป็นสากล เป็นจริงได้ด้วยความบังเอิญ และเป็นจริงกับบางสิ่งในควาเป็นจริงของโลกภายนอกเท่านั้น

สำหรับสปิโนซ่า เขาได้แบ่งความรู้ของมนุษย์ออกเป็นสามระดับคือ ความเห็น (opinion) เหตุผล (reason) และอัชฌัตติกญาณ (intuition) ความรู้ระดับความเห็นนั้นได้มาจากการสังเกตข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ซึ่งสปิโนซ่าเห็นว่าไม่น่าเชื่อถือและมีโอกาสผิดพลาดได้มาก ความรู้ระดับเหตุผลได้มาจากการพิสูจน์ประพจน์ด้วยวิธีการแบบเรขาคณิต หรือได้มาจากข้อสรุปที่อนุมานเชิงนิรนัยมาจากข้ออ้างในการอ้างเหตุผลแบบจัดประเภท (syllogism) ความรู้ระดับที่สามคืออัชฌัตติกญาณ ได้มาจากการเข้าถึงสารัตถะของสิ่งต่างๆ โดยความรู้เกี่ยวกับสารัตถะของสิ่งต่างๆ นั้นเริ่มต้นจากความรู้เกี่ยวกับสารัตถะของพระเจ้า สปิโนซ่าเห็นว่าความรู้จากเหตุผลและความรู้จากอัชฌัตติกญาณต่างก็น่าเชื่อถือ แต่ความรู้จากอัชฌัตติกญาณจะสูงส่งกว่าเนื่องจากมิได้จำกัดอยู่กับเรื่องเฉพาะอันเป็นผลการพิสูจน์หรือนิรนัยเป็นเรื่องๆ ไปแบบความรู้จากเหตุผล แต่เป็นความรู้ในระดับสารัตถะอันเป็นสากล อีกทั้งยังเชื่อมโยงสู่พระเจ้าอีกด้วย ทำให้รู้ถึงสาเหตุของสิ่งต่างๆ อีกด้วย

การอบรมหลักเหตุผลจะช่วยพัฒนาความเป็นประชาธิปไตยให้กับผู้เรียน เน้นกระบวนการกลุ่มและฝึกฝนให้นักเรียนเกิดทักษะที่เป็นพื้นฐานของการรับฟังผู้อื่น การเคารพผู้อื่นว่าเสมอกับตนเอง การเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง การคิดวิเคราะห์เชื่อมโยงปัญหาและเชื่อมโยงตนเองกับปัญหาสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น โดยแยกแยะ “ข้อเท็จจริง” ที่เป็นวัตถุวิสัย (objective) กับ “ความคิดเห็น” ที่เป็นอัตวิสัย (subjective) มีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น คำนึงถึงส่วนรวม มีความรับผิดชอบต่อตนเองต่อผู้อื่น และต่อสังคม

3. การอบรมบ่มนิสัย (character education)

การอบมรมบ่มนิสัยเป็นแนวทางการฟื้นคืนจริยศาสตร์เชิงคุณธรรม ผ่านการอบรมเน้นส่งเสริมให้มีทัศนคติที่ถูกต้อง  และการศึกษาตลอดชีวิตที่มุ่งสร้างพื้นฐานชีวิต หรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง เรียกอีกอย่างว่า การศึกษาทางด้านการสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม  สิ่งเหล่านี้เป็นค่านิยมอยู่ในใจผู้คนและตระหนักกันอยู่แล้วว่าเมื่อมีลูกมีเยาวชนต่อไปข้างหน้า หากไม่มีบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงามแล้วก็จะเป็นปัญหาต่อบ้านเมือง

บุคลิก หรือ Character คือ การผสมผสานของคุณลักษณะในบุคคลที่แตกต่างจากคนอื่น    คนที่มี Character คือ คนที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม มีบุคลิกลักษณะของความมุ่งมั่นในชีวิต มีความสุภาพ และมีความสามารถในการต่อสู้อย่างดีกับสิ่งที่เป็นลบในชีวิต  ฉะนั้น การมีบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม จึงมีความหมายที่กว้าง  โดยมุ่งให้มนุษย์เป็นคนที่มีความดีงามในตัวเอง ยึดจริยธรรมในการนำชีวิต มีความซื่อสัตย์ในตนเองและผู้อื่น มีความมุ่งมั่นบากบั่น  ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ไม่โลเล มีความรับผิดชอบ โดยเกิดเป็นบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงามที่คนรุ่นใหม่จะต้องมี เพราะเป็นบุคลิกที่มีความสำคัญมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดขึ้นจากการหล่อหลอมบ่มเพาะข้ามระยะเวลา

คนเรามีบุคลิกและอุปนิสัยอย่างไร ก็เจอชะตากรรมแบบนั้น เพราะเมื่อเรามีนิสัยอย่างไร  ก็จะนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตเข้าไปในการทำงาน ฉะนั้น ถ้าเรามีบุคลิกลักษณะนิสัยใจแคบ เห็นแก่ตัว ไม่มุ่งมั่น ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ทำอะไรจริงจัง ขี้ขลาด ก็นำเอาบุคลิกอันนั้นเข้าไปในการทำงานของตัวเอง ซึ่งจะทำให้ไปไกลแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับบุคลิกลักษณะส่วนตัวของตัวเอง

วิธีสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม  ไม่ขึ้นกับความรู้ แม้มีความรู้มากแต่ไม่ไปไหน เพราะว่าไม่จริงจัง โลเล ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น ไม่จริงใจ ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่  แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้มีชะตากรรมแบบนี้  แต่ให้บุคลิกที่ดีงามฉุดไปสู่ชะตากรรมหรือโชคชะตาที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม  นั่นคือ การอบรมบ่มนิสัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใส่เข้าไปในใจของพ่อแม่ และระบบการศึกษาทุกระดับ  

วิธีของการสอนเรื่องบุคลิกและอุปนิสัย อาจใช้การอบรม การท่องจำ การสอนเหตุผล หรือการอบรมคุณธรรมจริยธรรม เพื่อซึมซาบเข้าไปในใจอย่างต่อเนื่อง จนมีความศรัทธาต่อความดีงาม เกิดการซึมซาบไปโดยไม่รู้ตัว  รู้สึกอยากทำอะไรดี ๆ เพิ่มขึ้นเท่านันเอง  เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่ายกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ สอนให้เด็กเป็นคนดีโดยไม่ได้ละเลยความรู้ แต่ตั้งเป้าหมายความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  โดยเชื่อมั่นว่า สิ่งเหล่านี้จะนำพาเด็กเยาวชน คนรุ่นใหม่ไปสู่ความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตและเป็นประโยชน์ต่อสังคม

ส่วหนึ่งจาก พจนา มาโนช. (2562). มรดกเชิงพลวัตผ่านกระบวนทรรศน์ทั้งห้ากับการแก้ไขทุจริต: การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์ และวิธาน. วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. กรุงเทพฯ, มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา.


Leave a comment