พ.อ. ดร.ไชยเดช แก่นแก้ว

การศึกษาเรื่องคุณค่าทางจริยศาสตร์อันเกี่ยวเนื่องกับการกระทำของมนุษย์นั้น สามารถพิจารณาตามขอบเขตของจริยศาสตร์ที่พยายามศึกษาหาคำตอบใน 3 ประเด็นนี้ คือ

1.   คุณค่าการกระทำของมนุษย์ คือ การศึกษาว่าคุณค่ามาจากไหน และมีความสำคัญอย่างไร คุณค่าการกระทำ ความประพฤติ พฤติกรรมของมนุษย์ที่ดี/ชั่ว ถูก/ผิด ควร/ไม่ควร เป็นแบบใด ดีชั่ว ถูกผิดคืออะไร สามารถนิยามได้หรือไม่ ถ้านิยามได้จะนิยามว่าอย่างไร ความดี ความชั่วมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคม และถ้าหากความดีชั่ว ถูกผิดมีอยู่จริงแล้วมีลักษณะเป็นอย่างไร

2.   เกณฑ์ตัดสินคุณค่าการกระทำของมนุษย์ เป็นการศึกษาหลักหรือมาตรการที่ใช้ตัดสินพฤติกรรม หรือการกระทำอย่างหนึ่งว่าดีชั่ว ถูกผิด อีกนัยหนึ่งคือ เป็นการศึกษาว่า เมื่อคน ๆ หนึ่งกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะใช้หลักหรือมาตรการอะไรมาตัดสินว่า  การกระทำนั้นถูกหรือผิด และมีเหตุผลอย่างไรที่ใช้หลัก หรือมาตรการนั้นมาตัดสิน อีกทั้ง มนุษย์นำสิ่งใดมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินความถูก ความผิด หากมิได้เอาความรู้สึกส่วนตัว กฎหมาย จารีต ประเพณี หรือความเชื่อมาตัดสิน แล้วมีเหตุผลอะไรมาเป็นมาตรฐานรองรับในการตัดสินในเรื่องนั้น ๆ ว่าดีชั่ว ถูกผิด และมีเกณฑ์ตัดสินคุณค่าที่แน่นอนตายตัวหรือไม่

3.   อุดมคติหรือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ การศึกษาว่า ชีวิตมนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร ชีวิตที่ดีหรือชีวิตที่ประเสริฐที่มนุษย์ควรแสวงหาควรเป็นชีวิตแบบใด มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไรจึงคุ้มค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์ อะไรคือความดีสูงสุด ซึ่งมนุษย์ควรประพฤติปฏิบัติ หรืออุดมคติอันสูงสุดของมนุษย์ควรเป็นเช่นไร และมนุษย์ควรจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะบรรลุถึงอุดมการณ์นั้นได้

มุมมองข้างต้นจะให้ทรรศนะในระดับหนึ่ง แต่เมื่อต้องการรู้รอบจะต้องศึกษาใน 7 องค์ประกอบ คือ ฐานนิยามตามหลักวิชาการ หากต้องการศึกษาอะไรให้ชัดเจนต้องเริ่มด้วยนิยามที่ชัดเจนและรัดกุม มิฉะนั้นยิ่งขยายความออกไปก็ยิ่งกว้างและจะเกิดความสับสน  ฐานประวัติศาสตร์ซึ่งจะกล่าวถึงความเป็นมาของความรู้เกี่ยวกับความประพฤตินั่นคือ ความเป็นมาของความประพฤตินั้นในประวัติศาสตร์นั่นเอง จากนั้นแยกเนื้อหาออกเป็น 5 ด้าน คือ  1) ปรัชญาจริยะ ความประพฤติที่ขึ้นกับความคิด 2) จิตวิทยาจริยะ ความประพฤติที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ 3) สังคมวิทยาจริยะ ความประพฤติที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจร่วมของสังคม 4) ศาสนาจริยะ (เทววิทยา) ความประพฤติตามหลักศาสนา และ 5) วิทยาศาสตร์จริยะ ความประพฤติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย ในฐานะ เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าใจหลักคุณธรรมและจริยธรรมได้อย่างลึกซื้ง  

องค์ประกอบของจริยศาสตร์ (วาดโดยผู้แต่ง)

เมื่อมนุษย์สามารถอยู่รอดเป็นชีวิตได้แล้ว ก็ย่อมต้อง อะไรมีเป้าหมายที่มาจากสัญชาตญาณคือ ไม่ได้คิดเองแต่ธรรมชาติผลักดันให้ทำเพราะมีเป้าหมายตามสัญชาตญาณเพื่อเอาตัวรอดและการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ มนุษย์ก็จะกระทำสิ่งนั้น อาจถูกผิด ดีชั่ว หรือไม่ยังไม่ต้องพิจารณาเพราะในระดับนี้ยังไม่มีปัญญาพิจารณาได้ มนุษย์ต้องเรียนรู้จนมีปัญญา เมื่อมีปัญญามนุษย์ก็จะมีเป้าหมายจากปัญญาของตนเองที่เข้าใจตนเองซึ่งจะแตกต่างกันไปตามบุคคล เมื่อมนุษย์รู้เป้าหมายแล้วไม่ว่าจะมาจากสัญชาตญาณหรือจากใจของตนเอง มนุษย์เรามีเสรีภาพตัดสินใจเลือกว่าจะเดินตามหรือไม่ก็ได้ เรียกว่า มีมโนธรรมประจำใจ มโนธรรมที่ดีต้องมีความรอบรู้และรู้จักมองอย่างรอบคอบ  

มนุษย์ใช้ปัญญาคิดแก้ไขปัญหาของตนเองในวิถีชีวิตประจำวัน เรียนรู้วิธีคิดและนำแนวคิดนั้นมาปฏิบัติให้เป็นวิถี (mean) และเป็นผล (end) จากแรงบันดาลใจของมนุษย์ที่จะแสวงหาความก้าวหน้าทางปัญญา ได้แก่ ความมักรู้ ความสุข และความมั่นใจ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจสำคัญกระตุ้นมนุษย์ให้พิชิตอวิชชา สืบรู้อดีตเพื่อเข้าใจปัจจุบันและมองสู่อนาคตต่อไป  

ศาสนาทั้งหลายล้วนมีคำสอนถึงความสุขแท้ และเสนอให้มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเชิงคุณธรรม (moral life) แม้ในผู้ไม่นับถือศาสนา ก็มีหลักจริยศาสตร์ที่เสนอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเชิงจริยธรรม (virtue life) ซึ่งทั้งสองแบบต่างก็เป็นการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขด้วยการทำดีตามคำสอนศาสนา คือ หลักศีลธรรมและหลักจริยธรรม โดยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของแต่ละคนในกระบวนทรรศน์ที่เขายึดถือเป็นหลักปฏิบัติด้วยมโนธรรมประจำใจ ซึ่งต้องพิจารณาให้เห็นแยบคาย ดังจะวิเคราะห์ต่อไป  

เมื่อคนปัจจุบันมองย้อนไปยังคนในยุคดึกดำบรรพ์ สิ่งที่เชื่อว่าจะเป็นในจิตสำนึกของคนยุคนั้น เรียกว่า dim of conscience  แววแห่งมโนธรรม (แสงสลัวๆ ไม่แจ่มชัด โง่ ๆ ทึม ๆ) โดยมีพื้นฐานความคิดว่า สัตว์ต่างๆ ก็มีการปฏิบัติดีตามสัญชาตญาณ แม้ไม่ต้องตรึกตรองล่วงหน้า แต่สัตว์ก็ฝืนสัญชาตญาณไม่ได้ ทั้งนี้ มนุษย์ก็น่าจะมีการปฏิบัติดีตามสัญชาตญาณซึ่งสอดคล้องกับหลักคุณธรรมจริยธรรมทั่วๆ ไปอยู่เช่นกัน

เมื่อรวมตัวเป็นสังคมโบราณ จึงมีกรอบขนบธรรมเนียมเป็นตัวเทียบ แววมโนธรรมจึงน่าจะมีอยู่เองในมนุษย์ ทั้งนี้ ได้มีการปรับให้เกิดธรรมเนียมที่ชัดเจนในระดับท้องถิ่นคือ การยึดประเพณี (custome attachment)  ทั้งนี้ ย่อมไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นกฎที่ผ่านการลองผิดลองถูกมาก่อนจนได้ยกเป็นประเพณีของหมู่คณะ เช่น ประเพณีแต่งงาน บวช ไหว้ครู เคารพกษัตริย์ ถ้ากรณีแวดล้อมเปลี่ยนไป การปฏิบัตินั้นก็จะมีการเลื่อนไป หากไม่ปรับเปลี่ยนก็จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาให้ก้าวหน้า ต่อมาเมื่อมีการขยายเป็นเมือง จึงมีการใช้กฎหมาย (law attachment) ยึดกฎหมายเนื่องจากสังคมเกิดการแบ่งกลุ่มย่อย มีการช่วยเหลือกัน ทำให้หวาดระแวง และไม่ไว้ใจกัน กฎหมายพัฒนามาจากกฎขนบธรรมเนียม ประเพณี แต่ต้องยึดถือเคร่งครัด ละเมิดจะถูกลงโทษ ยิ่งมีกฎหมายมาก ความปลีกย่อยก็ทำให้การปฏิบัติทำได้ยาก ไม่ไวต่อการเปลี่ยนแปลง

ในยุคกลาง กฎหมายบังคับได้ไม่เต็มที่ เพราะสังคมอยู่ในระบบอุปถัมภ์ และระบบศักดินา ทำให้เกิดการยึดเจ้าลัทธิ (Person attachment) มีผู้มาสอนให้คิด วางวิถีเพื่อไปสู่เป้าหมายในชีวิต กฎหมายปรับตามวิถี และการละเมิดกฎหมายเป็นบาป หากกฎหมายไม่ปรับตัวให้เข้ากับลัทธิ ก็จะต้องละเมิดกฎหมาย เพื่อไม่ให้บาป

ยุคสมัยใหม่เริ่มด้วยการย้อมถามหาเหตุผลเกิดการยึดเหตุผล (reason attachment) มโนธรรมต้องมีเหตุผล และมีมาตรการความประพฤติเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ สังคมพยายามหามาตรการที่เป็นกลางกับทุกศาสนา คือ มาตรการสากล ปฏิบัติตามกฎศาสนาที่ตรงกับเหตุผลที่เราเชื่อ ปฏิบัติตามกฎหมายที่มีเหตุผลว่าควรปฏิบัติ ถ้ากฎหมายไม่ตรง ก็ให้ดื้อแพ่ง (disobedience) ถ้าเหตุผลเปลี่ยนก็ต้องปฏิรูป (reformation)

ยุคปัจจุบันเห็นว่ากฎหมายมีปัญหา กฎศาสนาก็มีปัญหา การใช้เหตุผลก็มีปัญหา จึงเน้นการวิจารณญาณ (critical mind) เพราะคุณค่าจริยะไม่มีจริง เป็นเพียงความเข้าใจผิดจากการใช้ภาษา “ดี” จาก “คำบรรยาย” ถูกทำให้กลายเป็น “คำสั่ง” มนุษย์พึงตัดสินใจกระทำตามสิ่งเฉพาะหน้า

จากกระบวนทรรศน์ทั้ง 5 ทำให้เห็นความเป็นมาของชีวิตเชิงศีลธรรมของยุค ทั้งนี้ อภิจริยศาสตร์ชี้ว่า “มีคุณค่าจริยะอยู่จริง” แต่ต้องใช้วิจารณญาณคิดวิเคราะห์และตัดสินใจเป็นกรณีๆ ไป สร้างมโนธรรมที่ตัดสินใจเลือกอย่างมีวิจารณญาณ ในขณะเดียวกันก็ยอมรับความสุขแท้ตามหลักศาสนา เพราะว่า มนุษย์ทุกคนต่างก็ยังต้องพบเจออุปสรรค ปัญหา ความทุกข์ ความสุข ความทุกข์ดำรงอยู่ เพราะวิธีที่เรารับรู้สิ่งต่าง ๆ ในช่วงเวลาอันจำเพาะและจากทรรศนะอันจำเพาะ สิ่งสำคัญก็คือ ธรรมชาติแห่งความสุข ถ้าเข้าใจได้ว่ามันไม่เที่ยงแท้ และต้นเหตุของมันคือ ความยึดมั่นถือมั่น โดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง (self-centered/ I-centered) ทำให้เกิดคำสอนศาสนาที่เน้นการลดตัวตน (selflessness) การเข้าใจเรื่องความสุข-ความทุกข์ของทุกศาสนาก็เน้นการดำรงตนโดยลดตัวตนด้วยหลักการและวิธีการต่าง ๆ ตามความนิยมของคณะหรือนิกายนั้น ๆ

ฮุสเซิล (Edmund Husserl 1859-1938) ได้เสนอมาตรการรับรู้ความจริงด้วยการวางใจเป็นกลาง[1] เมื่อวางใจเป็นกลางแล้วย่อมได้ความจริงตามความเป็นจริง แม้แต่ภาษาก็จะสามารถตีความหมายได้ตรงตามความเป็นจริงด้วย  การวางใจเป็นกลางต้องฝึกฝนให้เกิดภาวะว่างเปล่า (emptiness) ด้วยการปล่อยใจว่าง ให้ความหมายบ่งบอกความเป็นไป โลกเข้าใจคำนี้หรือสิ่งนี้ว่าเป็นอย่างไร ก็ปล่อยให้โลกเข้าใจอย่างนั้น สิ่งที่ปรากฏย่อมมีความหมายในตัวของมันเองอย่างนั้น เมื่อนึกถึงสิ่งนั้นแล้วค่อยเติมส่วนหรือค่าลงไปจนรวมกันเกิดเป็นสิ่งนั้น สิ่งที่ปรากฏชัดที่สุดคือ สิ่งที่เปิดเผย เป็นปรากฏการณ์วิทยาที่เกิดขึ้นครั้งต่อครั้ง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกครั้ง มองครั้งหนึ่งความจริงจะเปิดเผยออกมาส่วนหนึ่ง เมื่อมองหลาย ๆ ครั้งความจริงจะเปิดเผยเพิ่มขึ้น จนในที่สุดความจริงจะเปิดเผยออกมาทั้งหมดจนเห็นความเป็นจริง สำหรับฮายเด็กเกอร์ (Martin Heidegger 1889-1976) บอกว่าการทำใจเป็นกลางโดยทำใจให้ว่างเปล่านั้นทำได้ เพราะปกติมนุษย์มีอคติและความโน้มเอียงไปตามประสบการณ์ของตนเอง  การทำใจเป็นกลางต้องทำใจเป็นกลางระดับปกติและเข้าใจตามปรากฏการณ์ การเข้าถึงความเป็นจริงของสิ่งที่สนใจโดยให้ความหมายในสิ่งที่เห็นเป็นสิ่งแรกของสิ่ง ๆ นั้น โดยไม่นำเอาอคติมาเจือปน ภาพแรกที่เห็นคืออะไร ให้เริ่มที่ภาพนั้น เป็นภาพที่ยังไม่มีอคติเจือปน เป็นภาพที่ปรากฏขึ้นเป็นภาพแรก เป็นปรากฏการณ์เพียงชั่วขณะเดียวนั้น หลังจากนั้นใจจะเริ่มมีอคติมีความโน้มเอียงไปตามประสบการณ์ ดังนั้น ให้ยึดถือภาพแรกไว้ว่านั้นแหละคือ ภาวะที่ใจเป็นกลางมากที่สุด แล้วให้ทำซ้ำ ๆ จนสามารถรู้ความเป็นจริงตรงตามสารัตถะนั้น พยายามฝึกใจให้เป็นกลาง แล้วเฝ้าดูว่าอะไรเปิดเผยตัวเองออกมา ก็ย่อมจะเป็นความจริงในตัวของมันเองอยู่แล้ว

ปรัชญาที่วางตัวเป็นกลางเรียกอีกอย่างว่า มัธยคตินิยม จึงเน้นการพิจารณาประเด็นทั้งหลายอย่างรอบคอบ ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เข้าถึงเหตุผลของทุกคำตอบด้วยความเป็นธรรม เมื่อมองรอบคอบแล้วก็ตัดสินใจโดยเลือกเอาส่วนดีจากทุกทาง สังเคราะห์ส่วนดีต่าง ๆ ให้เข้ากันเป็นระบบใหม่ของตนเอง นำไปปฏิบัติโดยยึดทางสายกลาง (golden mean/middle way) ไว้เสมอ แต่เป็นทางสายกลางที่ยกระดับสูงกว่าสายที่ลำเอียง ทั้งนี้จะต้องไม่สับสนกับ มัธยคตินิยม[2]ในทางศาสนา ที่เป็นทางสายกลางในการปฏิบัติ แม้หลักการจะใกล้เคียงกันแต่การขยายความเพื่อการปฏิบัตินั้นแตกต่างกัน

ส่วนหนึ่งจาก ไชยเดช แก่นแก้ว, เอนก สุวรรณบัณฑิต. (2565). ความพอใจในตนเอง. กรุงเทพฯ. ปิสเปส.


[1] Equanimity การทำใจเป็นกลาง มีความเท่าเทียมกันในการให้ความสำคัญของทุกฝ่าย

[2] Middle way การปฏิบัติที่เป็นกลาง ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป  


Leave a comment