อ.ดร.สิริกร อมฤตวาริน
ในศตวรรษที่ 19 ลุดวิก วิทเกินชทายน์ (Ludwig Wittgenstein) ได้ปรับแนวคิดทางปรัชญาด้วยท่าที่ว่า ปรัชญาบริสุทธิ์จะต้องพิจารณาจากความเป็นจริงมีอยู่ในสภาพธรรมชาติและอยู่เรื่อย ๆ อย่างนั้นเอง เราได้เข้าใจความเป็นจริงนั้นเป็นส่วน ๆ โดยมีไวยากรณ์ความคิด (Grammar of Concept) เป็นเครื่องมือ ต่างคนต่างมีไวยากรณ์ผิดเพี้ยนกันไปในแต่ละคน แต่คนกลุ่มเดียวก็มักมีไวยากรณ์ความคิดคล้าย ๆ กัน ส่วนที่คล้ายกันนั้นคือ ไวยากรณ์สังคม ทั้งมีญาณปรัชญา (Epistemology) คือ เราไม่มีทางจะรู้ความเป็นจริงในตัวเอง เรารู้เพียงแต่ภาพของความเป็นจริง (representation of reality) ความพยายามเสนออภิปรัชญาเป็นปฐมบทของความคิดอย่างเป็นระบบจึงเป็นการเสียเวลาเพราะไม่อาจรู้ความเป็นจริงทั้งหมดได้ หากแต่ควรเน้นการเข้าภาษาเพื่อให้เข้าใจไวยากรณ์สังคม และต้องรู้เกมการใช้ภาษา (language game) แต่ละเกมเพื่อจะตัดสินได้ว่ามีความหมายหรือไม่ ถ้ามีก็ให้พยายามศึกษาดูความตื้นลึกหนาบางของความหมายจนพบคุณค่าของความหมายนั้น
แนวคิดทั้งหลาย คำสอนต่าง ๆ รวมถึงลัทธิทางปรัชญาที่เกิดขึ้น และถูกเผยแผ่ข้ามพรมแดน ถือเป็นอาหารทางความคิดของผู้คน ท่าทีสำคัญของดินแดนต่าง ๆ ก็คือ หากไม่อาจจะยับยั้งการเผยแพร่ของแนวคิดความเชื่อจากลัทธินิกายต่าง ๆ ที่กระจายไปทั่วได้ ท่าทีของผู้รู้ในดินแดนนั้นย่อมแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งย่อมเปิดรับอย่างใจกว้าง อีกฝ่ายหนึ่งต่อต้านไว้เท่าที่เป็นไปได้ด้วยไม่นิยมชมชอบว่าเป็นสิ่งดี
กระนั้น กระแสที่ไม่อาจต้านทานนี้ก็มีแนวทางในการรับมือผ่านภาษาด้วยเช่นเดียวกัน แนวทางแรกคือ การเรียบเรียงคำสอนเหล่านั้นโดยใช้อักษรภาษาของดินแดนตน อีกทั้งต้องให้ใช้ภาษาของดินแดนนั้นในการแผยแพร่ การกระทำเช่นนี้มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ แนวคิดความเชื่อลัทธินิกายใดก็ตามที่เดินทางข้ามระยะอันห่างไกลจากแหล่งกำเนิดมาสู่ดินแดนแห่งใหม่ เผยแพร่ผ่านภาษาท้องถิ่น เมื่อไม่มีวัฒนธรรมของแผ่นดินเดิม (จากไวยากรณ์ภาษา) มาหล่อเลี้ยง ไม่มีไวยากรณ์ความคิดที่ตรงกันอันได้จากภาษาท้องถิ่นมาสนับสนุน แนวคิดที่เข้ามาใหม่นี้ก็จะโดนวัฒนธรรมของดินแดนนั้นกัดกร่อนจนแตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก ดังเช่นการปริวรรตภาษา ซึ่งทำให้ความเข้าใจมีความคลาดเคลื่อนไปได้ หากผู้สอนไม่ได้ปรับตัวก็จะทำให้แนวคิดดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมและหายไปได้อย่างรวดเร็ว แต่หากเข้าใจภูมิสังคมก็จะทำให้ผู้เลื่อมใสสนใจในแนวคิดความเชื่อลัทธินิกายเหล่านั้น ๆ เกิดมีนักคิดระดับสูงที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม แต่ผู้รู้ในดินแดนใหม่ก็จะเข้าใจได้ตามแนวคิดของตน และนำความเข้าใจของตนมาเป็นฐานคิดและให้คำอรรถธิบายคำสอน สุดท้ายคำสอนต่าง ๆ ก็จะถูกรากฐานการศึกษาตามวัฒนธรรมของดินแดนใหม่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับผู้คนในดินแดนใหม่นี้ แต่หากดินแดนใหม่ขาดความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมความคิดก็จะคล้อยตามแนวคิดที่หลั่งไหลเข้ามาจนรากฐานทางปัญญาของดินแดนนั้นไม่มั่นคง นักคิดแห่งดินแดนจึงจะต้องทำหน้าที่ของตนให้ถึงพร้อมในการศึกษา เข้าใจและขยายผลแนวคิดความเชื่อต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับดินแดนและผู้คนของตน ในขณะเดียวกันก็จะต้องคอยรื้อฟื้นแนวคิดและภาษาของดั้งเดิมที่เสียหายไปเนื่องจากถูกแนวคิดใหม่เข้ามาทำให้บิดเบี้ยวไป
ถ้าผู้คนรู้ความหมายตามศัพท์แท้ ๆ แล้ว เวลาอ่านก็ต้องคิดถึงความหมายอันแท้จริง การเข้าถึงความหมายแท้ จะทำให้เขาชัดเจนว่าเขาพูดอะไรกันแน่ นั่นจึงจะทำให้แต่ละคนเป็นนายแห่งความคิดของตนเอง (master of our mind) จิตเป็นนายแห่งความคิด ไม่ถูกภาษาและความคิดหลอกให้เข้าใจจนเกิดเป็นหมอกและควันที่ล้อมคลุมเอาไว้จนไม่เห็นความเป็นจริง ภูมิปัญญาแห่งดินแดนจึงพึงมีท่าทีส่งเสริมการรื้อฟื้นคำและความหมาย ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ว่าปัญหาการเลือนความหมายเกิดขึ้นควบคู่กับปัญหาการหมดสมัยของคำได้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอผ่านกาลเวลา คำหลายคำหมดยุคของการใช้ ในขณะที่คำหลายคำก็ได้ถูกใช้ไปบนวัตถุประสงค์หนึ่ง โดยเฉพาะการใช้เป็นวาทกรรม (discourse) ซึ่งทำให้ความหมายดั้งเดิมมีความคลาดเคลื่อนไป แต่ได้ถูกใช้อยู่ต่อไป ซึ่งหากไม่รื้อฟื้นความหมายเดิมก็จะสร้างความงุนงงกับผู้คน เพราะคำหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ถูกใช้ในอีกความหมายหนึ่ง ถ้าอ่านแต่อักษรภาษาก็จะไม่เข้าใจบริบทว่าใช้กันอย่างไร อาศัยเพียงการตีความเชิงบริบทในฐานะเป็นคำที่มีความหมายแฝง (between the line) แล้วก็ลดคุณค่าของความหมายแท้จริง (true meaning) ออกไป การที่คำเลือนความหมายไปนี้ก็ส่งผลต่อรากฐานทางความคิดและวัฒนธรรมของผู้คนในดินแดนได้ด้วย
ในทางปรัชญาจึงเน้นการรู้จัก “คำ” การเลือกใช้คำให้ตรงกับความคิดในการสื่อสาร ทุกระบบจำเป็นต้องใช้ “ถ้อยคำ” ถ้าผู้สื่อสารมีความสามารถในการใช้ถ้อยคำ เช่น รู้จักความหมายของคำ รู้จักเลือกใช้ถ้อยคำ ก็จะทำให้การสื่อสารไม่เกิดปัญหาหรือไม่มีอุปสรรค ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้สื่อสารไม่เข้าใจความหมายของคำอย่างถ่องแท้ หรือไม่รู้จักเลือกสรรถ้อยคำให้เหมาะสมกับบุคคล กาลเทศะ การสื่อสารย่อมมีอุปสรรค การสื่อสารในชีวิตประจำวันต้องใช้คำ กลุ่มคำหรือประโยค เพื่อถ่ายทอดความรู้ความคิด ความรู้สึกให้ผู้อื่นทราบ คำที่มีความหมายตรงตามตัวอักษรเรียกว่าความหมายนัยตรง แต่คำที่มีหลายความหมายเรียกว่า คำหลายนัย คำเหล่านี้จะมีความหมายอย่างไรขึ้นกับคำนั้นอยู่ในตำแหน่งใดของประโยคด้วย และบริบทหรือข้อความที่แวดล้อมเป็นตัวกำหนดความหมาย ซึ่งอาจจะเป็นความหมายโดยนัย หรือความหมายแฝง ที่ปรากฏในรูปของสำนวนโวหาร นอกจากนี้ยังมีคำที่มีเสียงหรือความหมายใกล้เคียงกันหรือคล้ายคลึงกัน ดังนั้นจะต้องรู้ความหมายของคำและรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะด้วย การสื่อสารจึงจะสัมฤทธิ์ผล
ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร มนุษย์จึงต้องใช้ภาษาพูดจาสื่อสารหรือเขียนกับคนที่อยู่รอบตัว เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความคิดความต้องการในการบอกเล่าไต่ถามความรู้และในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งภาษาเป็นพลังสำคัญในการช่วยให้เกิดการรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในสังคม ภาษาจึงมีบทบาทสำคัญที่ทำให้คนในชาติผูกพันต่อกันด้วยภาษาเดียวกัน มีความสำนึกในเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ภาษาจึงเป็นภาพสะท้อนความเจริญทางสังคมด้วย
คำแต่ละคำมีคุณค่า การตีความจึงต้องแยกแยะคุณค่าไม่ใช่ตีความไปด้านใดด้านหนึ่ง เพราะจะทำให้คุณค่าของคำหายไป ดังนั้นการใช้จึงต้องมีการเลือกใช้ให้เหมาะสม ดังนั้นการใช้คำจึงต้องพิจารณาบริบทที่ชัดเจนใช้ให้ถูกประโยค ความหมายที่ต้องการสื่อ มิฉะนั้นความหมายและนัยยะของคำจะเปลี่ยนไป คำเดียวเมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันก็จะมีความหมายที่ต่างกัน ดังนั้น การใช้คำจึงต้องตระหนักในการเลือกใช้ ไม่ใช่ใช้เมื่อไหร่ก็ได้เพราะผู้อ่านย่อมตีความแตกต่างกันไป
ภาษาจัดเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มีความงดงาม ความงดงามนั้นปรากฎในกระบวนการใช้ภาษา โดยกระบวนการใช้ภาษานั้นต้องมีทั้งระดับและลีลา ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ หลากหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นด้วยเรื่องของการใช้คำให้เหมาะสมกับบุคคลและโอกาส ภาษาจึงเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ใช้ถ่ายทอดทางวัฒนธรรมด้วยสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ อันเป็นแบบแผนชีวิตของสังคมมนุษย์ ความถูกต้องและความเหมาะสมจึงเป็นจุดคานยกที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ภาษาเพื่อการใช้ภาษาในการสื่อสารจนถึงการใช้ในวาทกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสมได้
ส่วนหนึ่งจาก สิริกร อมฤตวาริน, พจนา มาโนช. (2566). สินน้ำใจกับการเลือนความหมาย (งานวิจัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา.

