อ.ดร.พจนา มาโนช

ในช่วงเวลานี้มีการเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ และในโครงสร้างการบริหารของประเทศ ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันว่า ประเทศกำลังถดถอยทางเศรษฐกิจและสังคม ส่วนหนึ่งก็มาจากคอร์รัปชั่น และถ้าไม่แก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น การฟื้นตัวของประเทศก็จะไม่ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการปกครองโดยระบบการเมืองอย่างไรก็ตาม

ในทางปรัชญามีมุมมองว่าคอร์รัปชั่นย่อมเกิดจากการบิดเบือนระบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตน แย่งชิงและทำลายประโยชน์ส่วนรวม ผู้ที่ทำการคอร์รัปชั่นย่อมต้องถูกลงโทษ ดังนั้น จึงเห็นว่ากระบวนทรรศน์นวยุค (modern paradigm) อันเป็นแนวคิดที่เป็นกระแสหลักในสังคมปัจจุบันนั้นเน้นการวางระบบโครงสร้างต่าง ๆ ให้เข้มแข็งรัดกุม และกำหนดมาตรการลงโทษที่รุนแรง ไม่มีอายุความ เพื่อเป็นการป้องปรามผู้ที่จะกระทำผิด และเมื่อมีการกระทำผิดแล้ว จะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่มีข้อยกเว้น กฎหมายจะมีความศักดิ์สิทธิ์  มีความเสมอภาคในการบังคับใช้ และเมื่อใช้อย่างเคร่งครัดก็จะทำให้ผู้คนเกรงกลัวกฎหมายจนไม่กล้าทำผิด ย่อมมีประสิทธิภาพในทางปฏิบัติได้มากกว่าแนวทางการอบรมหรือให้การศึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณธรรมหรือเรื่องกฎหมาย เพราะอบรมไปก็เป็นเพียงการมีความรู้ ไม่ได้เป็นเครื่องค้ำประกันว่ามีความรู้แล้วจะปฏิบัติดี ในทางตรงกันข้าม ยิ่งมีความรู้ในด้านกฎหมายมาก จะยิ่งหาทางแหกกฎ หรือใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์แก่ตนได้มากยิ่งขึ้น

การปราบปรามคอร์รัปชั่นเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง และต้องใช้กฎหมายเป็นหลักในการปกครองเพื่อให้เกิดความยุติธรรม เพื่อการกำกับสิทธิ ความรับผิดชอบ อำนาจและหน้าที่ของพลเมืองแต่ละคน เป็นหน้าที่ของประชาชนที่ต้องรู้กฎหมายและปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายบ้านเมืองซึ่งเสนอไว้โดย โธมัส อไควนัส (Thomas Aquinas, ค.ศ.1225-1274) ในชื่อ lex posita เป็นกฎหมายที่แยกออกมาจากกฎธรรมชาติ (natural laws) กฎหมายนี้เขียนตามอำนาจชอบธรรม (legitimacy) ในการปกครองบ้านเมือง โธมัส ฮับส์ (Thomas Hobbes, ค.ศ.1588-1679) ชี้ว่ากฎหมายสำคัญกว่าคุณธรรมและจริยธรรม กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่จับต้องได้ และสามารถบริหารจัดการให้เกิดเป็นระบบที่ประสานสอดคล้องได้อย่างแน่นแฟ้นในการใช้กฎหมายประเภทต่างๆ ร่วมกัน  

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่จัดตั้งขึ้นย่อมมีหน้าที่ตัดสินตามกฎหมาย เมื่อการบังคับใช้กฎหมายตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด การลงโทษผู้กระทำผิดอย่างรุนแรงและรวดเร็วตามเจตนารมณ์ของศาล  เชื่อได้ว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยจะได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี และรวดเร็ว น่าจะทำให้การทุจริตคอร์รัปชั่นจะค่อย ๆ ลดลงโดยลำดับ ทั้งนี้ เขตอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ควรจะต้องครอบคลุมผู้กระทำความผิดทั้งระบบ คือ ข้าราชการร่วมมือกับเอกชน หรือข้าราชการร่วมมือกับนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น โดยกรณีบริษัทเอกชน รวมทั้งบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทำการทุจริตโดยร่วมมือกับเอกชนอื่นหรือผู้อื่นทำการทุจริตประพฤติมิชอบในองค์กรธุรกิจดังกล่าวในทุกกรณี แม้แต่เอกชนเพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้กระทำการดังกล่าวด้วย

ในขณะเดียวกัน การทุจริตนั้นจะต้องครอบคลุมงบประมาณแผ่นดินทั้งระบบ เพราะงบประมาณแผ่นดินคือ เงินและทรัพย์สินของประชาชน ดังนั้นงบประมาณแผ่นดินทั้งระบบ อันได้แก่ งบประมาณส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น รวมทั้งรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ อย่างครบถ้วน รวมถึงรายได้ที่องค์กรของรัฐจัดเก็บในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งหมดจึงต้องอยู่ในขอบข่ายของกฎหมายที่ต้องประสานสอดคล้องกัน ทั้งนี้ ขอบเขตจะต้องครอบคลุมผู้กระทำความผิดนอกงบประมาณแผ่นดินด้วย คือกรณีข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต และได้รับประโยชน์เป็นทรัพย์สินหรือเงินอื่นๆ นอกงบประมาณแผ่นดินด้วย หรือจากประชาชนในทุกกรณี เมื่อระบบแน่นแฟ้นและครอบคลุมทั่วถึงเช่นนี้ กฎหมายก็จะมีประสิทธิภาพในการลงโทษผู้ทุจริต  ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ การใช้กฎหมายก็จะค้ำประกันว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นได้ การบริหารจัดการและปกครองบ้านเมืองก็จะมีความโปร่งใสและน่าเชื่อถืออย่างแท้จริง

แนวคิดข้างต้นเป็นรากฐานของการใช้กฎหมายเพื่อจำกัดหรือปราบปรามคอร์รัปชั่น ในการที่จะเข้าใจหลักการนี้ได้นั้น จะต้องพินิจด้วยว่า การที่โธมัส ฮอบส์ เสนอว่า การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นขึ้นอยู่กับระเบียบทางกฎหมาย การที่ฮอบส์คิดเช่นนั้น เนื่องจากได้พิจารณาตามแนวคิดของกระบวนทรรศน์นวยุคที่ว่าการใช้กฎหมายย่อมต้องเป็นหลักนิติธรรม แต่กฎหมายเองก็เป็นการจำกัดริดรอนสิทธิของปัจเจก ดังนั้น การใช้กฎหมายจึงเป็นการใช้อำนาจจำกัดสิทธิของคนทั่วไป การใช้เงื่อนไขกฎหมายนั้น หากใช้ตามกระบวนทรรศน์นวยุคนั้น แม้ทุกคนจะปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ก็เป็นเพียงความสงบเรียบร้อยพื้นฐาน ในขณะที่การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดมีโอกาสที่จะทำให้เกิดปัญหาในทุกสังคมได้ และจะยิ่งเพิ่มปมความขัดแย้ง และนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด เพราะว่ากฎหมายตั้งอยู่บนพื้นฐานประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ของเจเรมี เบนธัม (Jeremy Bentham, ค.ศ.1748-1832 ) นั่นคือ กฎหมายมีไว้กำกับประโยชน์ส่วนตนให้ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ต่อมาจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill, ค.ศ.1806-183)ได้เสนอให้กฎหมายเน้นประโยชน์สูงสุดของส่วนรวม แต่การใช้กฎหมายบังคับทำให้เกิดปัญหาในสังคม เพราะผู้ไม่ปฏิบัติตามก็มีโอกาสของการถูกลงโทษหนักเกินไป ด้วยหลัก “ฆ่าผิดดีกว่าปล่อยให้รอด” เมื่อมีการลงโทษหนักเกินไปยิ่งเกิดการต่อต้านและอาจเกิดความรุนแรงได้

ในขณะเดียวกัน ก็จะมีผู้ที่ใช้ข้อกฎหมายไปในทางกลั่นแกล้งผู้อื่นให้เป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย ผู้ที่สงสารก็จะพากันละทิ้งกฎหมายแล้วเลือกที่จะช่วยเหลือคนเหล่านั้น ส่งผลให้กฎหมายขาดความชอบธรรมในการบังคับใช้ และนำไปสู่ความล้มเหลวในการที่จะปราบปรามคอร์รัปชั่น

กฎหมายเป็นสิ่งจำเป็น สังคมยังต้องใช้กฎหมาย แต่ควรพิจารณาการใช้กฎหมายตามกระบวนทรรศน์หลังนวยุค (postmodern paradigm) โดยจะต้องทำความเข้าใจต่อกฎหมายว่า หลักกฎหมายเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อมหาชน ซึ่งสอดคล้องกับหลักมหสุขของประโยชน์นิยม (the greatest happiness of the greatest number of people) แต่ประโยชน์นิยมก็เปิดช่องให้เห็นว่า “ควรที่จะละเมิดกฎหมายเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับมหาชนได้” เช่น ขบวนการทางการเมืองซึ่งเน้นหลักนิติธรรม (rule of law) โดยกฎหมายย่อมใช้สกัดยับยั้งพลังที่ไร้เหตุผลของประชาธิปไตยที่เน้นหลักการของเสียงข้างมาก ใช้อิทธิพลลากไปถึงขั้นแก้กฎหมาย เพื่อให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ประโยชน์ซึ่งไม่ใช่หลักการของประโยชน์นิยม แต่เป็นส่วนของอัตนิยม (Egoism) การใช้กฎหมายในแนวคิดของกระบวนทรรศน์หลังนวยุคนั้นเห็นว่าจำเป็นต้องใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง เพราะหลักกฎหมายไม่ใช่คุณธรรมที่เป็นความดีในอุดมคติ และศีลธรรมที่เป็นอุดมคติทางศาสนา แต่กฎหมายเป็นแต่หลักการที่ทำให้ทุกฝ่ายเคารพกฎกติการ่วมกันในสัญญาประชาคม  

การใช้กฎหมายนอกจากจะเน้นการบังคับใช้แล้ว จะต้องชี้ชวนให้พลเมืองเคารพกฎหมาย โดยตระหนักว่ากฎหมายจะสามารถตอบโจทก์และให้ผลประโยชน์บางอย่าง กฎหมายต้องมีความแน่นอนและให้หลักประกันผลประโยชน์บางอย่างแก่สมาชิกของสังคมที่เคารพหลักการของความเสมอภาคด้วย นักกฎหมายเชื่อว่าต้องทำให้คนเคารพกฎหมายด้วยความเข้าใจหลักการของกฎหมาย ไม่ใช่เคารพเพราะความกลัวผู้มีอำนาจที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ หากเคารพตามเหตุผลอย่างหลัง ย่อมทำให้การเคารพกฎหมายสั่นคลอน เพราะว่ากฎหมายจะอยู่ได้ก็ตราบเท่าที่คนมีความเชื่อถือว่าเงื่อนไขกฎหมายจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและเสมอภาค ในการบังคับใช้กฎหมายได้เน้นความมีระเบียบวินัยที่จะอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่แง่ของการบังคับของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดที่ชี้ให้คนกลุ่มอื่นต้องทำตามกลุ่มตน กฎหมายควรได้รับความร่วมมือโดยสมัครใจจากกลุ่มต่างๆ ในสังคม และเน้นประโยชน์ส่วนรวมร่วมกัน

การป้องกันการคอร์รัปชั่นไม่ว่าจะบนแนวคิดใด กระบวนทรรศน์ใด ย่อมต้องใช้กฎหมายร่วมด้วย ผู้นำและสังคมต้องชี้ให้เห็นถึงสัญญาประชาคมที่นำไปสู่การออกกฎหมาย โดยที่กฎหมายต้องเป็นกฎข้อบังคับให้ปฏิบัติตาม ซึ่งใช้บังคับทุกคนของสังคมในทุกระดับอย่างเสมอกัน กฎหมายย่อมกำหนดผู้รับผิดชอบให้ทำหน้าที่ดูแลกฎหมายที่มีไว้อย่างพอดี ไม่ให้ขาดและไม่ให้เกิน เพราะถ้าขาดจะเปิดช่องทางให้มีการเอาเปรียบกัน หากเกินพอดีก็จะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิของพลเมืองที่มีสิทธิเสรีภาพตามสิทธิมนุษยชน การบังคับใช้กฎหมายจึงจำเป็นต้องมีกลไกของรัฐที่มีประสิทธิภาพ ในการจับผิดผู้ละเมิด มีวิธีการสอบสวนความผิดไม่ให้จับผิดตัว มีการลงโทษเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นไม่ให้ละเมิดกฎหมาย   

ในขณะเดียวกันสังคมและรัฐก็ควรมีช่องทางที่ไม่ซับซ้อนและยากจนเกินไป สำหรับให้มีการแก้ไขกฎหมายได้ เมื่อมีเหตุผลที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้น โดยเปิดพื้นที่ให้ใช้กฎหมายมาแสดงบทบาทตัวช่วยในการเสริมสร้างสังคมที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพลเมืองให้สูงยิ่งขึ้น


Leave a comment