อัครกาญจน์ วิชัยดิษฐ์: นักศึกษา ป.เอก ปรัชญาและจริยศาสตร์

ภาษาเป็นสิ่งที่มนุษย์ในแต่ละสังคมกำหนดขึ้น เพื่อทำความเข้าใจ/ตกลงกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม การใช้ภาษาจึงต้องใช้ได้ตรงตามกำหนดของสังคม ไม่ว่าเป็นภาษาพูด ภาษาเขียน สัญลักษณ์ หรือภาษาสัญญาณ หากสิ่งใดผิดแปลกไปจากข้อตกลง การสื่อสารก็จะหยุดชะงักล่าช้าลง ไม่เป็นไปตามเจตนาหรือไม่สามารถสื่อสารได้

ภาษาคือ เครื่องหมายที่มนุษย์และกลุ่มชนกำหนดขึ้นอย่างมีระบบ กฎเกณฑ์ มนุษย์สร้างภาษาขึ้นมาเพื่อใช้ติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน และสื่อที่สำคัญที่สุด ใช้กันแพร่หลายมากที่สุด คือ ภาษาพูด

เฟอร์ดินานด์ เดอ โซซูร์ (Ferdinand de Saussure 1857-1923) ได้มองภาษาศาสตร์แบบใหม่โดยแยกภาษาออกเป็น 3 ส่วน คือ

  1. Le Language ที่เป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆในภาษา
  2. Le Langue ที่เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ที่เป็นผลผลิตของสังคม เป็นสิ่งที่ประทับอยู่ในสองของสมาชิกแต่ละคนในชุมชนทางภาษา
  3. La Parole เป็นเรื่องสำนึกรู้ในการกระทำของปัจเจกบุคคลที่เป็นเรื่องของการใช้ภาษาและการออกเสียง การสร้างประโยค การเลือกคำเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลภายใต้ไวยากรณ์ กฎเกณฑ์ในภาษาที่มีอยู่ในตัวบุคคล แต่จะไม่ขึ้นอยู่กับการใช้ภาษาของแต่ละบุคคล

สำหรับโซซูร์ Langue เป็นส่วนที่เป็นนามธรรมที่สามารถศึกษาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้  เพราะมีความเป็นกฎเกณฑ์ เป็นระบบ ไม่ได้ขึ้นกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด และมีความแตกต่างอย่างหลากหลายมากมายในแต่ละบุคคล  ทั้งนี้ โซซูร์มองว่าภาษาพูดน่าสนใจมากกว่าภาษาเขียน เนื่องจากภาษาเขียนนั้นไม่ใช่ภาษาเป็นแต่เพียงชุดของสัญลักษณ์ที่มาประกอบกันแล้วใช้แทนคำพูด (word) เท่านั้น  โซซูร์ได้นำเสนอสมมติฐานของปรากฎการณ์ทางภาษาศาสตร์ในลักษณะ 2 ด้านที่สิ่งหนึ่งได้รับคุณค่ามาจากสิ่งอื่น ๆ  ซึ่งมีลักษณะดังนี้คือ

  1. การเชื่อมต่อพยางค์ตัวอักษร (Syllable)  ที่เป็นภาพประทับของเสียงที่เราได้รับโดยหู แต่เสียงจะไม่มีอยู่ถ้าปราศจากอวัยวะในการออกเสียง (Vocal Organ)
  2. ถ้อยคำ (word) เป็นทั้งปัจเจกบุคคล (Individual) และสังคม (Social) ซึ่งพวกเราไม่สามารถคิด จินตนาการ เกี่ยวกับสิ่งหนึ่งโดยปราศจากสิ่งอื่น
  3. เสียง (voice) เป็นเครื่องมือทางความคิดโดยตัวของมันเอง มันไม่ได้มีอยู่จริงซึ่งต้องกลับมาตั้งข้อสังเกตกับความสัมพันธ์ของเสียง หน่วยของเสียงพูดที่ซับซ้อน การเชื่อมโยงในกระแสความคิดไปยังรูปแบบที่ซับซ้อนที่เป็นหน่วยทางจิตวิทยาและทางฟิสิกส์กายภาพ ยังคงไม่ใช่ภาพที่สมบูรณ์
  4. ถ้อยคำ (Speech)  เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการสร้างระบบและวิวัฒนาการเสมอ มันคือสถาบันที่มีอยู่จริงและเป็นผลผลิตของอดีต กับการแบ่งแยกระบบและประวัติศาสตร์ของมัน

แนวความคิดเกี่ยวกับปรากฎการณ์ของภาษาของโซซูร์ได้แสดงให้เห็นความเป็นคู่ตรงข้ามในเรื่องภาษา (language opposition) ที่เป็นทั้งเรื่องของ ปัจเจกบุคคล/สังคม เสียง/ความคิด พยางค์ตัวอักษร/เสียง  ลักษณะทางจิตวิทยา/ลักษณะฟิสิกส์กายภาพ ซึ่งคู่ตรงข้ามนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องพึ่งพาระหว่างกันโดยที่สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นได้จากสิ่งหนึ่ง

การศึกษาภาษาศาสตร์จึงเกี่ยวข้องกับศาสตร์อื่น ๆ เช่น การศึกษาเกี่ยวกับการออกเสียง (Philology) การศึกษาเชิงฟิสิกส์กายภาพเกี่ยวกับอวัยวะในการออกเสียง การศึกษาทางประวัติศาสตร์ วิวัฒนาการของภาษาเชิงนิรุกติศาสตร์ (history) การศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยา (Psychology) และการศึกษาเกี่ยวกับสังคมและปัจเจกบุคคลในเรื่องระบบภาษา การใช้ภาษาและความคิด การให้ความหมายที่สัมพันธ์กับการศึกษาทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา ที่นำมาประยุกต์ใช้ศึกษาเกี่ยวกับสัญวิทยาและสัญญะที่แพร่หลายในปัจจุบัน

คำพูด/ถ้อยคำ (Speech) จึงเป็น 2 ขั้วคือ 1) ความเป็นวัตถุแห่งภาษา (Object of Language) ที่เป็นด้านสังคมอย่างบริสุทธิ์และเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาที่เฉพาะ และเป็นอิสระจากปัจเจกบุคคล  2) ความเป็นวัตถุในด้านของปัจเจกบุคคล (Object of Individual) ที่เกี่ยวกับถ้อยคำเช่น การพูด การเปล่งเสียง ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตวิทยากายภาพ  ทั้งสองขั้วนี้เป็นสิ่งที่ติดต่อเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดและพึ่งพาอาศัยอยู่บนสิ่งอื่นๆ ความแตกต่างตรงกันข้ามหรือลักษณะในทางลบ (Negative) เป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งหนึ่งมีความหมาย

โซซุร์มองว่าภาษาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ทางสัญวิทยาและกฎเกณฑ์ เป็นเรื่องของความคิด (Concept) และจินตภาพแห่งเสียง (Sound-image) สัญญะทางภาษาศาสตร์ไม่น่าจะใช่ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่ง (Thing) และชื่อ (Name) ทั้งสิ่งและชื่อเป็นเรื่องของการมีอยู่ (existence) เป็นธรรมชาติของสัญญะ/สัญลักษณ์ 

ในทางภาษาศาสตร์ จึงสนใจในเรื่อง การขอยืมคำศัพท์จากต่างประเทศที่จะสามารถสังเกตได้ในระยะเริ่มต้นในการขอยืมคำศัพท์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีอำนาจพลังอย่างสม่ำเสมอในการดำรงอยู่ ระบบภายในของภาษาจะเหมือนกับกฎเกณฑ์ที่ทำให้ภาษาดำเนินไปได้ เกิดความสามารถในการยอมรับรูปแบบและแสดงความหมายจากส่วนประกอบที่แตกต่างกันซึ่งต้องอ้างอิงในความแตกต่างของสัญญะที่เกิดจากความเข้าใจและตระหนักรู้ในสัญญะนั้น

มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger 1889—1976) ได้เสนอเพิ่มเติมว่า ภาษาเป็นความเข้าใจของมนุษย์สื่อผ่านสมองออกมาเป็นความคิดและเรียบเรียงออกมาเป็นภาษา มนุษย์ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้โลก เราสามารถเข้าใจโลกได้เพียงบางส่วน แต่เมื่อเข้าใจได้หลาย ๆ ส่วนเราจะสามารถเข้าใจโลกได้มากขึ้นเพราะเราอยู่ในโลก โลกเป็นสิ่งแวดล้อมของเราที่เราจะต้องเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์และประมวลเป็นความเข้าใจ ซึ่งมนุษย์จะได้ทำการอ้างอิงถึงสิ่งที่มีอยู่ในโลกแบบสากล เปิดเผย เนื้อหานั้นออกมาให้กระจ่าง ไม่คลุมเครือ แสดงให้เห็นในเชิงประจักษ์แก่ผู้อื่น  เปิดออกให้ค้นหาได้ง่าย   เปิดเผยให้เห็นความเป็นจริงที่อยู่ใกล้ตัว (ontologically ready-to-hand) ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างของความเป็นจริงที่อยู่ใกล้ตัว  และเป็นฐานหรือแหล่งของความเป็นจริง  นั่นคือ ภาษาเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์หลายด้านและเป็นเครื่องมือที่มนุษย์พึงมีไว้ให้ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ


Leave a comment