ดร. อุบาสิกา ณัฐสุดา เชี่ยวเวช
พรหมจรรย์ คำนี้มีหลายนัย จึงเข้าใจแตกต่างกันไป เพื่อให้เข้าใจอย่างรอบด้าน จึงต้องใช้กระบวนการตีความตามตัวอักษร ก็จะแปลว่า ความประพฤติประเสริฐ แต่เมื่อตีความโดยบริบทของคำแล้ว พบว่า ความหมายของ “พรหมจรรย์” มีหลายอย่าง ในพระไตรปิฎกได้จำแนกพรหมจรรย์ไว้ 13 ประการ เท่าที่สืบค้นได้
1) ทาน ชื่อว่า พรหมจรรย์ ดังข้อความในปุณณกชาดก กล่าวคือวิธุรชาดกว่า
“เรา คือข้าพเจ้าและภรรยาทั้งสอง เป็นผู้มีศรัทธา เป็นทานบดี ในมนุษยโลก (ทานบดีคือผู้ให้ทานด้วยใจปราศจากความตระหนี่) เราทั้งสองได้ให้ทานทั้งหลาย คือ ผ้านุ่งห่ม ที่นอน ข้าวและน้ำ โดยเคารพในมนุษย์โลก ทานที่ให้แล้วนั้นเป็นวัตรของเรา ทานที่ให้แล้วนั้นเป็นพรหมจรรย์ของเรา ดูก่อนวีระ! ฤทธิ์นี้ ความรุ่งเรืองนี้ ความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังและความเพียรนี้ และวิมานอันใหญ่นี้ เป็นผลอันงดงามของพรหมจรรย์ (คือทาน) ที่เราประพฤติดีแล้ว”
ทานนั้นชื่อว่าการประพฤติประเสริฐ เพราะล้ำเลิศและปลอดจากบาปธรรม ปลอดจากมลทิน มีความตระหนี่เป็นต้น และพอกพูนคุณ มีเมตตาเป็นต้น
2) ไวยาวัจจะ คือการช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ ไวยาวัจจะ ชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในอังกุรเปตวัตถุว่า
“ด้วยห้วงแห่งบุญ (คือการช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบในชาติก่อน) ฝ่ามือของเราจึงกลายเป็นที่ให้สมบัติอันน่าใคร่ เป็นที่หลั่งไหลออกแห่งผลอันชื่นใจ บุญสำเร็จแล้วที่ฝ่ามือ เพราะอำนาจแห่งพรหมจรรย์นั้น”
เทพบุตรผู้นี้ เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ทำไวยาวัจจมัยกุศล เพียงการชี้ทางให้ผู้ขัดสนไปรับทานที่โรงทานของอสัยหเศรษฐีเท่านั้น เกิดเป็นเทพบุตร มีสมบัติอันน่าใคร่ทุกอย่างด้วยเพียงแต่ยกมือขึ้น และบอกว่าต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อถูกถามเทพบุตรจึงกล่าวว่า
“เตน ปาณิ กามทโท เตน ปาณิ มธุสฺสโว
เตน เม พฺรหฺมจริเยน ปุญฺญํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌติ”
“ด้วยห้วงแห่งบุญนี้ ฝ่ามือของเราจึงกลายเป็นที่ให้สมบัติอันน่าใคร่ ฯลฯ
3) ศีล 5 ชื่อว่าพรหมจรรย์ เบญจศีลชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในติตติรชาดกว่า
“ภิกษุทั้งหลาย! เบญจศีลนี้แล เป็นพรหมจรรย์ชื่อติตติริยะ”
4) อัปปมัญญา คุณธรรมมีเมตตาเป็นต้นอันแผ่ไปโดยไม่จำกัดไม่มีประมาณชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในมหาโควินทสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรคว่า
“ปัญจสิกะ! ก็พรหมจรรย์นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อนิพพิทาหามิได้เลย และไม่เป็นไปเพื่อวิราคะ คลายความกำหนัด หรือนิโรธ ความดับกิเลส แต่เป็นไปเพียงเพื่อพรหมโลกเท่านั้น”
5) เมถุนวิรัติ การเว้นจากการเสพเมถุน คือเว้นจากการเสพกามอันเป็นกรรมของคนคู่ ชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในอุโบสถสูตร สัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย และในพรหมชาลสูตร เป็นต้นว่า
“อพฺรหฺมจริยํ ปหาย พฺรหฺมจารี”
“ละอพรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์”
6) สทารสันโดษ คือความพอใจในคู่ครองของตน การไม่นอกใจคู่ครองของตน ชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในมหาธรรมปาลชาดกว่า
“มยญฺจ ภริยา นาติกฺกมนฺติ
อมฺเห จ ภริยา นาติกฺกมนฺติ
อญฺญตฺร ตาหิ พฺรหฺมจริยํ จราม
ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มิยฺยเร”
“เราทั้งหลายไม่นอกใจภรรยา
และภรรยาก็ไม่นอกใจพวกเรา
เราประพฤติพรหมจรรย์ (คือไม่ข้องแวะ) ในหญิงอื่น นอกจากภรรยาของเรา
เพราะฉะนั้นพวกเราจึงไม่ตายตั้งแต่ยังหนุ่มสาว
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ห่อกระดูกแพะมาทดลองบิดาของธรรมบาลกุมาร ว่าธรรมบาลกุมารตายเสียแล้ว ทุกคนในบ้านของธรรมบาลหัวเราะไม่เชื่อ เมื่ออาจารย์ทิศาปาโมกข์ถามถึงเหตุผลที่ไม่เชื่อ บิดาของธรรมบาลจึงกล่าวว่า “เราทั้งหลายไม่นอกใจภรรยา…เพราะฉะนั้นตระกูลของพวกเราไม่มีใครเคยตายตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว”
(ยังมีคุณธรรมอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ทำให้อายุยืน ในที่นี้ยกมาเพียงอย่างเดียว)
7) วิริยะ คือความเพียรพยายาม ชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในโลมหังสสูตรหรือมหาสีหนาทสูตรว่า
“จตุรงฺคสมนฺนาคตํ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา ตปสฺสี สุทํ โหมิ”
ดูก่อนสารีบุตร! เราจำได้ว่าเราประพฤติพรหมจรรย์ประกอบด้วยองค์ 4 แล้วเป็นผู้มีตบะ”
8) อุโบสถ อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 8 ที่บุคคลทำแล้วเพื่อการฝึกตนชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในนิมิชาดกว่า
“หีเนน พฺรหฺมจริเยน ขตฺติเย อุปปชฺชติ
มชฺฌิเมน จ เทวตฺตเมน วิสุชฺฌติ”
“บุคคลเข้าถึงความเป็นกษัตริย์เพราะพรหมจรรย์อย่างต่ำ
เข้าถึงความเป็นเทพเพราะพรหมจรรย์อย่างกลาง
และย่อมบริสุทธิ์เพราะพรหมจรรย์อย่างสูง
พรหมจรรย์อย่างต่ำคืออย่างไร?
ตอบว่า เช่น ศีลคือเมถุนวิรัติ การเว้นจากการเสพกาม
พรหมจรรย์อย่างกลางคืออย่างไร?
ตอบว่า ศีลอันเป็นอุปจารแห่งฌาน คือศีลอันบริสุทธิ์ไม่ด่างไม่พร้อย
พรหมจรรย์อย่างสูงคืออย่างไร?
ตอบว่า ได้แก่ศีลที่ทำให้เกิดสมาบัติ 8
ทั้งหมดนี้ ตามคติของนักบวชนอกพระพุทธศาสนา เพราะเขาถือว่าสมาบัติ 8 นั้นเป็นนิพพานบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว
ส่วนในพระพุทธศาสนาเป็นดังนี้
พรหมจรรย์ของภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ แต่ปรารถนาเป็นเทพนิกายใดนิกายหนึ่งชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างต่ำ เพราะมีเจตนาเลว เธอย่อมเกิดในโลกตามปรารถนาด้วยพรหมจรรย์ชั้นเลวนั้น
การยังฌานสมาบัติ 8 ให้เกิดขึ้นแห่งภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ชื่อว่าพรหมจรรย์ชั้นกลาง เธอย่อมเกิดในพรหมโลกสมปรารถนาด้วยพรหมจรรย์นั้น
ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ เจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหัตตผล การเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหัตตผลนั้น เป็นพรหมจรรย์ชั้นสูง ภิกษุย่อมหมดจดด้วยพรหมจรรย์อันสูงสุดนี้
9) อริยมรรค ชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในพรหมจริยสูตร สังยุตตนิกาย มหาวรรคว่า
“ภิกษุทั้งหลาย! พรหมจรรย์เป็นไฉน! มรรคมีองค์ 8 อันเป็นอริยะนี่แล คืออะไรบ้าง? คือวัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
10) ศาสนา คือคำสั่งสอน ชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในมหาปรินิพพานสูตรว่า
“ดูก่อนมารผู้มีบาป! เราตถาคตจักยังไม่ปรินิพพานตราบเท่าที่พรหมจรรย์ (คือศาสนา) ของเรายังไม่สำเร็จแพร่หลายกว้างขวาง เป็นที่รู้จักของคนมาก คนเป็นอันมากยอมรับแล้ว และเป็นปึกแผ่น เราจักยังไม่ปรินิพพานจนกว่าพรหมจรรย์ (คือศาสนา) ของเราจะได้ประกาศอย่างดีแล้วโดยเทวาและมนุษย์ทั้งหลาย
พรหมจรรย์ 10 อย่างนี้ ท่านกล่าวไว้แล้วในอรรถกถาสามัญผลสูตรและอิติวุตตกะ
ส่วนในอรรถกถามหาสีหนาทสูตร ท่านกล่าวพรหมจรรย์ไว้ 12 อย่าง โดยเพิ่มธรรมเทศนา และอัชฌาสัยเข้าด้วย
11) ธรรมเทศนา ชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในมหาสีหนาทสูตรนั่นเองว่า
“เอกสฺมี พฺรหฺมจริยสฺมึ สหสฺสํ มจฺจุหายิโน
“คนจำนวนพันละมัจจุได้ เพราะฟังพรหมจรรย์อันเดียวกัน”
ฎีกามหาสีหนาทสูตรว่า คำว่า พฺรหฺมจริยสฺมึ คือ ในพระธรรมเทศนา จริงอยู่ธรรมเทศนาชื่อว่าประเสริฐ คือล้ำเลิศ เพราะนำความเป็นผู้ประเสริฐมาให้แก่เวไนยสัตว์ อีกประการหนึ่ง เป็นจริยาทางวาจาของพรหมคือพระผู้มีพระภาค
ที่ว่าละมัจจุได้นั้น คือล่วงวิสัยแห่งความตาย กล่าวคือได้บรรลุอรหัตตผล
12) อัชฌาสัย คือความประพฤติทางใจ ความหยาบหรือความประณีตแห่งจิตใจ อัชฌาสัยนั้นชื่อว่าพรหมจรรย์ ดังข้อความในมหาสีหนาทสูตรนั่นเองว่า
“อปิ อตรมานานํ ผลาสาว สามิชฺฌติ
วิปกฺกพฺรพฺมจริโยสฺมิ เอวํ ชานาหิ คามณิ”
“ความหวังผลย่อมสำเร็จแก่ผู้ไม่รีบร้อน
เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ดูก่อนคามณิ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด
ฎีกามหาสีหนาทสูตรว่า ความหวังแม้ในสิ่งอันได้แสนยาก เมื่ออาศัยความพยายามชอบ (และไม่รีบร้อน) ย่อมสำเร็จโดยแท้ คำว่าพรหมจรรย์สำเร็จแล้วนั้นพระราชาหนุ่มนามว่าคามณิตรัสหมายเอาอัธยาสัยอันประณีตสำเร็จแล้ว (ได้ทำให้อัธยาสัยของตนประณีเต็มที่)
เรื่องย่อของคามณิกุมาร
ในอดีตกาล พระราชกุมารพระนามว่าคามณิ ทรงเป็นพระกนิฏฐภาดาองค์สุดท้อง ในบรรดาพระราชบุตรทั้งหมด 100 พระองค์ของพระเจ้าพาราณสี ได้พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์สอนศิลปวิทยา เมื่อพระราชบิดาสิ้นพระชนม์แล้วได้ขึ้นครองราชย์ ได้เปล่งพระอุทานออกมาด้วยความปลื้มพระทัยเต็มที่ว่า “เราอาศัยอาจารย์ล่วงเลยพระเจ้าพี่ถึง 100 พระองค์ ได้รัชสมบัติอันใหญ่แล้ว”
ตามนัยนี้ พรหมจรรย์น่าจะหมายถึงมโนรถ หรือความปรารถนาแห่งใจ ความประสงค์ (วิปกฺกพฺรหฺมจริโยสมิ เราเป็นผู้มีความประสงค์สำเร็จแล้ว)
13) สมณธรรม ท่านเรียกว่าพรหมจรรย์เหมือนกัน ดังข้อความในรถวินีตสูตร (มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ 12/290) ว่า
พระธรรมเสนาบดีถามว่า “ท่านผู้มีอายุ ท่านอยู่พรหมจรรย์ คือประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายหรือ?”
พระปุณณเถระตอบว่า “อย่างนั้นแล ท่านผู้มีอายุ”
สรุป รวมพรหมจรรย์ทั้งหมด ทั้งในอรรถกถาสามัญญผลสูตร อรรถกถาสีหนาทสูตร และรถวินีตสูตร เป็น 13 อย่าง คือ ทาน ไวยาวัจจะ ศีล 5 อัปปมัญญา เมถุนวิรัติ สทารสันโดษ วิริยะ อุโบสถ อริยมรรค ศาสนา ธรรมเทศนา อัชฌาสัยหรือมโนรถ และสมณธรรม
เมื่อกล่าวโดยวงกว้าง ความดีอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นพรหมจรรย์ได้ทั้งสิ้น ในพุทธกาลสมัย พระศาสดาทรงใช้พรหมจรรย์เป็นพื้น เช่น ประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงทั้งอรรถและพยัญชนะ นี่หมายถึงตัวคำสอนทั้งหมด เมื่อจะทรงส่งพระสาวกไปประกาศธรรมก็ตรัสว่า ให้ไปประกาศพรหมจรรย์ (พฺรหฺมจริยํ ปกาเสถ)
นอกจากนี้ วิธีประพฤติพรหมจรรย์ยังสามารถแบ่งออกได้ 3 ขั้น คือตั้งแต่ขั้นเริ่มต้น จนถึงขั้นสูง วิธีประพฤติพรหมจรรย์มีดังนี้
1. พรหมจรรย์เบื้องต้น ผู้ครองเรือนควรครองตนด้วยการรักษาศีล 5 มีความพอใจในคู่ครอง
2. พรหมจรรย์ขั้นกลาง ผู้ครองเรือน ควรรักษาศีล 5 เป็นประจำ และรักษาศีล 8 เป็นครั้งคราว ควรรักษาศีล 8 ทุกวันพระ เดือนละ 4 ครั้ง
3. พรหมจรรย์ขั้นสูง สำหรับผู้ครองเรือน ถือศีล 8 ตลอดชีวิตและครองชีวิตที่ประเสริฐ ปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์แปด สำหรับภิกษุ ก็ประพฤติสมณธรรม
คำว่า “พรหมจรรย์” ตามบริบทนี้ทำให้เห็นว่าพรหมจรรย์ในศีลข้อที่ 3 ของ ศีล 8 อาจเข้าใจได้หลายนัยยะ และแต่ละนัยยะล้วนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไม่แยกส่วน หลักธรรมแต่ละข้อล้วนถูกเรียกว่าพรหมจรรย์ทั้งสิ้น เพราะพรหมจรรย์เป็นความประพฤติอันประเสริฐ แม้จะเป็นความประพฤติดุจพระพรหม แต่ก็เป็นพระพรหมในร่างของมนุษย์คือ ถือเอาคุณธรรมของพรหมเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่พระพรหมที่เป็นลักษณะภายนอก เพราะพระพุทธศาสนามีธรรมเป็นสรณะ ไม่ได้ถือเทวดา มาร พรหม เป็นสรณะ แต่นับถือคุณธรรมที่ทำให้ท่านเหล่านั้นได้ไปเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง เมื่อพิจารณาตามบริบทนี้จะเห็นว่า การประพฤติปฏิบัติในพรหมจรรย์นี้เป็นเรื่องของการสร้างคุณธรรม บารมีธรรม ให้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติ เป็นข้อปฏิบัติอันประเสริฐซึ่งดำเนินอยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่ใช่โลกหน้า การคาดหวังในโลกหน้านั้นไม่ใช่ข้อประพฤติของปฏิบัติอันประเสริฐ เพราะเกิดจากความอยากหรือตัณหา ซึ่งตัณหาจัดว่าเป็นตัวสมุทัยหรือเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่ทางแห่งการดับทุกข์ ความอยากได้ซึ่งความสุขอันประณีตหรือมากกว่าความสุขในโลกนี้จัดเป็นกามตัณหา ส่วนความอยากเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น อยากเป็นพรหม หรือแม้แต่อยากเป็นพระอนาคามี ถ้าอาศัยความอยากหรือตัณหาเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อความสำคัญตนแล้ว ล้วนแต่เป็นภวตัณหาทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ การเข้าถึงพรหมจรรย์พึงเข้าถึงด้วยปัญญาที่เข้าใจในองค์รวม แลเห็นความหมายที่หลากหลายเป็นมิติเพื่อที่จะได้เห็นถึงแก่นของพรหมจรรย์ที่แท้จริง ประดุจแก้วใส
ความส่วนหนึ่งจาก ณัฐสุดา เชี่ยวเวช. (2562). อรรถปริวรรตการรักษาศีลแปดตามหลักปรัชญาหลังนวยุค: การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์และวิธาน. วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาปรัชญาและจริยศาสตร์. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา.

