อ.ดร.สิริกร อมฤตวาริน:
สังคมเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ผู้คนทั้งโลกถูกเชื่อมโยงเข้าหากันด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารคมนาคม แต่ในทางกลับกันความเจริญเหล่านี้กลับแยกคน แยกโลกออกจากกันเป็นส่วนๆ กลายเป็นการสิ้นสุดของความสัมพันธ์ทางสังคม ตัวตนของปัจเจกชนในโลกปัจจุบันต่างห่อหุ้มตนเองด้วยอาภรณ์ ตำแหน่งหน้าที่ ฐานะทางเศรษฐกิจสังคม วัยวุฒิ ความเชื่อทางศาสนา และสังกัดทางการเมือง ได้ทำการปิดกั้นไม่ให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างเป็นธรรมชาติ การประชุมปรึกษาหารือกันมักจะจบลงด้วยข้อสรุปและกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งเป็นการเปิดช่องว่างให้คนใช้ข้อสรุปและกฎระเบียบแบบบิดเบือนเพื่อประโยชน์ของตนเองนำไปสู่ความขัดแย้งและปัญหาต่างๆ ในสังคม
เมื่อมีการเผยแพร่กระบวนการสุนทรียสนทนา การสนทนาเพื่อการคิดร่วมกันแบบสุนทรีย์ (dialogue) ตามแนวทางของบอห์ม (David Bohm 1917-92) เผยแพร่ในบริบทของสังคมตะวันตก ทำให้สามารถมองได้ว่าสุนทรียสนทนามีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้วิจารณญาณ (critical mind) และนำไปสู่การเอาใจเขามาใส่ใจเราและการมีส่วนร่วมอันจะทำให้คนในสังคมนั้นจะมีภูมิคุ้มกันต่อภาวะความแตกแยกจากความคิดต่าง การจ้องจับผิด การแบ่งพรรคแบ่งพวก
สุนทรียสนทนาเป็นปรัชญาตามแนวคิด philosophy of dialogue ซึ่งเป็นแนวคิดของนักปรัชญาชื่อ มาร์ติน บูเบอร์ (Martin Buber 1878-1965) ซึ่งได้เขียนไว้ในหนังสือ I and Thou (1923) โดยมีมโนคติหลักว่า กรอบความคิดเชิงปรัชญาระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ (man with man) นั้นจะต้องใช้สุนทรียสนทนาเพื่อสร้างให้เกิดพื้นที่ระหว่างมนุษย์ (sphere of between) สุนทรียสนทนาเป็นจุดศูนย์กลางของปรัชญาด้วยเห็นว่าสุนทรียสนทนาเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารอย่างต่อเนื่องไม่ใช่เพียงแต่เป็นความพยายามที่จะนำไปสู่ข้อสรุปของบางมุมมองเท่านั้น บูเบอร์จึงได้เสนอไว้ว่าสารัตถะของมนุษย์นั้นมี 2 อย่างคือ ฉันต่อมัน (I toward IT ) และ ฉันต่อท่านนั้น (I toward THOU) นั่นคือ เรามีประสบการณ์อย่างไรต่อวัตถุ (object) และชีวิตของมนุษย์มุ่งค้นหาความหมายในความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ซึ่งนำมนุษย์ไปสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้เป็นสิ่งนั้นที่นิรันดร์ (Eternal Thou) บูเบอร์ชี้ว่าความสัมพันธ์แบบฉันต่อมัน (I-It) เป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อสิ่งอื่นเป็นสิ่ง ๆ ไป เป็นคน ๆ หรือชิ้น ๆ ไป (discrete object) ซึ่งมนุษย์แต่ละคนก็มีแตกต่างกัน และมนุษย์คนหนึ่งๆ เองก็มีต่อสิ่งต่างๆ แตกต่างกันด้วย ในขณะที่ความสัมพันธ์แบบฉันต่อท่านนั้น (I-Thou) นั้น ไม่ใช่ฉันเดียวกันกับฉันใน (I-It) แต่เป็นฉันที่เป็นจิตวิญญาณ (spirit) และจิตคิด (mind) ที่เกิดเป็นความรู้สึกหรือมโนทรรศน์ต่อความสัมพันธ์กับสิ่งที่รับรู้ผ่านผัสสะ สิ่งที่รับรู้นั้นมีผลโดยกึ่งอัตโนมัติต่อความคิดหรือจิตใจของมนุษย์ และนำไปสู่ความรู้สึกเชิงบวกหรือลบต่อสิ่งนั้น เช่น ความรัก เป็นความสัมพันธ์ใน I-Thou ไม่ใช่ I-It เพราะเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง subject-subject ไม่ใช่ subject-object ซึ่งเรามีต่อวัตถุอื่น ดังนั้น ความสัมพันธ์ I-Thou ที่สูงสุดก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั่นเอง
เมื่อพิจารณาสุนทรียสนทนาด้วยปรัชญากระบวนทรรศน์ (กีรติ บุญเจือ, 2546) ย่อมมองบทบาท ของสุนทรียสนทนาในแต่ละมุมมอง ได้ว่า (1) กระบวนทรรศน์ดึกดำบรรพ์มองว่าการสนทนา (dialogue) เป็นบทสนทนาของเบื้องบนกับมนุษย์ผู้ได้รับเลือกเท่านั้น ใครได้รับเมตตาจากเบื้องบนจึงจะได้สนทนากับเบื้องบน และมีแต่ทำตามเบื้องบนจึงจะได้ผลตอบแทนชีวิตที่ดี มนุษย์ย่อมไม่อาจกระทำสุนทรียสนทนาได้ (2) กระบวนทรรศน์โบราณ การทำสุนทรียสนทนาจึงต้องพิจารณาว่าทำตามกรอบของเจ้าสำนักใด หากทำเองได้ดีก็ตั้งตัวเป็นเจ้าสำนักใหม่ได้ สุนทรียสนทนาเป็นเทคนิควิธีที่เรียนรู้ได้ กำหนดหลักการและกฎเกณฑ์เพิ่มเติมได้ ส่วนลูกศิษย์ก็รับแนวทางไปปฏิบัติตามอย่างพร้อมใจ ไม่ต้องคิดอะไรมาก (3) กระบวนทรรศน์ยุคกลาง เน้นฝึกฝนสุนทรียสนทนาเพื่อเข้าใจสิ่งสร้างต่างๆ ตามที่ศาสนาสอนไว้ แล้วเราทำได้ดี ทำได้ในชีวิตประจำวัน ก็จะถือว่าเราทำดี ได้บุญ และเป็นทางไปสู่โลกหน้าที่ดีได้ (4) กระบวนทรรศน์นวยุคย่อมมองสุนทรียสนทนาเป็นหลักการและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ผู้ปฏิบัติย่อมพยายามศึกษาและเขียนออกมาเป็นหนังสือ เป็นระเบียบปฏิบัติ หรือกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้ชัดเจน รวมไปถึงพยายามนำเสนอในฐานะตนเองเป็นผู้รู้ และต้องการขยายผลด้วยการให้ใช้สุนทรียสนทนาเป็นหลักการในทุกๆ สาขาวิชา ทุกกิจกรรมและหากเป็นไปได้ควรมีตัวชี้วัดด้วยก็จะยิ่งแสดงว่าสุนทรียสนทนาเป็นหลักการที่เป็นสากลอย่างแท้จริง (5) กระบวนทรรศน์หลังนวยุคย่อมพยายามตีความและหาความหมายของสุนทรียสนทนาผ่านการวิเคราะห์ ประเมินค่า และประยุกต์ใช้ให้ตรงกับบริบทของมนุษย์ในแต่ละพื้นที่ แต่ละสังคม แต่ละวัฒนธรรม เพื่อเปิดโอกาสให้แก่มนุษย์ทุกคนมีโอกาสที่จะสร้างโครงสร้างใยข่ายความรู้ในสมองตนเองเพื่อประโยชน์ในการช่วยจำ และเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ที่ตนเองรับรู้และสามารถพัฒนาสติปัญญาตัวเองได้ด้วยการฟัง ในกระบวนทรรศน์หลังนวยุคสุดขั้ว (extreme postmodern) สุนทรียสนทนาถูกใช้เพื่อขจัดอำนาจที่มีอยู่ในผู้เข้าร่วมวงสุนทรียสนทนาเพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มีพื้นที่แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ต่อมากระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลาง (moderate postmodern) ได้เข้ามาปรับกระแสให้เห็นคุณค่าของสุนทรียสนทนาตามกระบวนทรรศน์หลังนวยุค เปิดโอกาสให้สามารถพัฒนาเทคนิค ลูกเล่นต่างๆ เพิ่มขึ้นได้ โดยผสมผสาน บูรณาการกับวัฒนธรรมต่างๆ ของแต่ละท้องถิ่น และใช้เพื่อเพิ่มความเข้าใจระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้สุนทรียสนทนาดำเนินการไปเพื่อเป้าหมายสำคัญที่หลังนวยุคนิยมสายกลาง
สุนทรียสนทนาเป็นกระบวนการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ หากแต่มนุษย์พบปัญหาของการเสียความเป็นส่วนตัว การเสียความรู้สึกที่ควรจะถ่ายทอดออกมาทางกริยา หรือคำพูดต่อคนอื่น หรือคนรอบข้างเนื่องจากถูกแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตที่แวดล้อมรอบตัวจนละเลยคุณค่าต่าง ๆ ในสังคมไปอย่างสิ้นเชิง สังคมก็ยิ่งส่งเสริมกระบวนการสร้างความรู้และกระบวนการจัดเก็บความรู้ โดยมุ่งเน้นเทคโนโลยีสารสนเทศ ย่อมนำไปสู่ความก้าวหน้าที่ถูกสร้างเป็นภาพมายาที่เกินจริง สังคมที่แข่งขันกันได้สร้างภาพเกินจริงที่ว่ามีข้อมูลจำนวนมากได้ถูกสร้างและจัดเก็บไว้ในโลกอินเตอร์เน็ตตลอดเวลา คนรุ่นใหม่เพียงแต่เดินละเมอทางเทคโนโลยี การเล่นมือถือตลอดเวลาเป็นเหมือนค่านิยมที่จะทำให้ตัวเองไม่แตกต่างเท่านั้น ปัญหาของมนุษย์ไม่ใช่ความโดดเดี่ยวของเขา แต่เพราะรูปแบบต่างๆกันของการผูกมัดกันอย่างแนบแน่นซึ่งเขาได้สร้างไว้กับคนอื่นซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่ถูกต้องทำให้เขาไม่รู้ความมีอยู่ (Existence) ของคนอื่นๆ แต่ละคนจะต้องรู้จักตนเองด้วย ตัวตนในทุกๆวันคือ ตัวตนของเรา (das mann) ที่เราแยกจากตัวตนที่ถูกต้อง กระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลางย่อมทำให้มนุษย์ลดความยึดมั่นถือมั่น และเข้าใจตัวตนได้ตามสัญชาตญาณของมนุษย์เพื่อความสุขแท้ ได้แก่ สุขในการประเมินความรู้ภายนอกเป็นความเป็นจริง (reality) ได้สำเร็จ การประเมินเช่นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการมีปัญญาประเมินการทำงานของตนเอง เป็นความสุขบริสุทธิ์ระดับโลกันตระชนิดความสุขแท้และเริ่มซึ้ง (empathy) สุขในความแน่ใจ (conviction) ว่าตนรู้ความจริง (truth) ด้วยเกณฑ์ของตนเอง สุขซึ้งในการภูมิใจ (pride) ว่าได้มีโอกาสสร้างสรรค์ ปรับตัว ร่วมมือ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต(มีคุณธรรมจริยธรรม) และสุขซึ้งในการมีโอกาสสละเวลาให้กับความซาบซึ้ง(empathy) กับสุนทรียธาตุ (ศิลปะ ดนตรี วรรณกรรม ธรรมชาติ) เช่นนั้น คุณภาพชีวิตของมนุษย์ก็จะก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด
โดยสรุป การใช้สุนทรียสนทนาบนฐานคิดของปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง จะทำให้ผู้ใช้วางตนอย่างเป็นกลาง บนแนวทางการแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างเพื่อเน้นความเป็นเอกภาพในความแตกต่างหลากหลายซึ่งจะนำไปสู่การร่วมมือกัน เป็นการสร้างพื้นที่ทางสังคมใหม่ที่เอื้อต่อในการคิดร่วมกันอย่างเสมอภาค ช่วยเหลือกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีแก่สังคม และพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่กระบวนการสุนทรียสนทนาจบสิ้นลงไปแล้ว ซึ่งพลังสร้างสรรค์นี้เป็นพลังสำคัญของกระแสปรัชญาหลังนวยุคสายกลางที่จะขยายต่อไปสู่พลังการปรับตัว พลังการร่วมมือและพลังการแสวงหา อันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุข
ที่มา :
สิริกร อมฤตวาริน, เอนก สุวรรณบัณฑิต. (2560). สุนทรียสนทนา: เครื่องมือของกระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลาง. (รายงานผลการวิจัย), กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา.

