ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต;

การเพ่งพินิจ contemplation เริ่มใช้ในราว คริตศตวรรษ 1200 ใช้ contemplacioun (ฝร.) หมายถึง การไตร่ตรอง/การรำพึงทางศาสนา มีรากภาษาละติน (contemplationem) หมายถึง การกระทำของการมอง-การเพ่งพินิจ การจ้องมองอย่างตั้งใจ สังเกต พิจารณา ไตร่ตรอง โดยทั้งหมดหมายรวมถึง “เพื่อกำหนดพื้นที่สำหรับการสังเกต” มาจาก com+ templum (พื้นที่สำหรับการทำการทำนาย; temple วิหาร) ปลายศตวรรษที่ 14 ใช้เป็น “การสะท้อน การคิด ความคิด การถือความคิดนั้นอย่างต่อเนื่องก่อนการคิด ในปลายศตวรรษที่ 15 หมายถึง การมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างตั้งใจ

ทำไมบุคคลจึงต้องทำการเพ่งพินิจ ก็เพื่อกำหนดจิตของตนให้คิดและเข้าใจจากมิติที่ลึกลงไป (deeper dimension) ของสรรพสิ่งนั้น เป็นการสะท้อนถึงปัญหาชีวิตขั้นพื้นฐานจากความลึกภายในตน (inner depth) สู่อาณาจักรแห่งความเข้าใจใหม่

การเพ่งพินิจเชิงปรัชญา หมายถึง การไตร่ตรองประเด็นพื้นฐานที่สุดของชีวิต ซึ่งมาจากส่วนลึกภายในของแต่ละคน คำถามเหล่านี้ประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ เช่น ความหมายของชีวิต ความตาย การดำรงอยู่ จริยธรรม และความจริง การเพ่งพินิจพบได้ในกระบวนการคิดทางปรัชญาของนักปรัชญาชาวกรีกยุคแรก ๆ หลายท่าน รวมทั้ง อริสโตเติล โสกราตีส และเพลโต

การเพ่งพินิจจะกระทำก็ต่องเมื่อต้องการก้าวข้ามข้อจำกัดของวิธีคิดธรรมดา (ordinary way of thinking)
วิธีคิดทั่วไป ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนได้แก่
1. วัตถุของความคิดมีความเฉพาะเจาะจง (บุคคล เหตุการณ์ แนวคิด หรือความคิดใด ๆ ) 2. ตัดขาดสิ่งที่คิดจากโลกภายนอก 3. ยืนยันบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งนั้น เช่น Special, Complete, Ultimate และ 4. กำหนดคุณสมบัติบางอย่างกับสิ่งที่เลือก

ในทางภววิทยา เมื่อเราต้องการเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง เราจะต้องจัดการกับวัตถุเฉพาะนั้นในโลกของเรา แต่ก็มักจะไม่เพียงพอเมื่อเราต้องการที่จะเชื่อมต่อสิ่งนั้นกับครอบฟ้งความรู้ที่กว้างขึ้นของความเป็นจริง ความคิดเช่นนี้ได้กําหนดเป็นโครงสร้างประธานและกรรม, จิตและวัตถุ โครงสร้างของวัตถุที่คิดกับความเป็นจริง และมองความเป็นจริงผ่านโครงสร้างนี้
เราไม่สามารถคิดถึงความเป็นจริงได้จนกว่าความเป็นจริงนั้นจะถูกจัดให้เป็นวัตถุเสียก่อน จากนั้นเราจะตีความ ตัดสิน และให้ความคิดเห็น ความชอบ และความโน้มเอียงแก่วัตถุนั้น (อคติ 4 ของเบคอน; idol of prejudice)

หลักการในการเพิ่งพินิจ สัมผัสถึงรากของความเป็นจริงให้มากที่สุดเท่าที่ความเป็นมนุษย์จะทำได้ ละทิ้งตัวตนทางจิตใจ (psychological self) เปิด “เคลียร์พื้นที่” ภายในตัวเรา ให้เกิดพื้นที่ภายในที่เงียบสงบและมีสมาธิ สัมผัส/ประทับความรู้สึกกับแหล่งที่มาดั้งเดิม (primordial source) ให้มากขึ้น (ชั่วเวลากระพริบตา <3วินาที)

การเพ่งพินิจในทางปรัชญา มี 4 เป้าประสงค์ ได้แก่

1.การเพ่งพินิจระดับบุคคล (Personal contemplation) คือ การไตร่ตรองตนเอง สำรวจแง่มุมพื้นฐานของตัวเองอย่างลึกซึ้งและเปิดเผย รวมถึงประสบการณ์ ความเชื่อ และค่านิยมของตน และพิจารณาว่าสิ่งเหล่านั้นกำหนดมุมมองโลกทัศน์ของตนและการตัดสินใจของตนอย่างไร

2. การเพ่งพินิจระดับจิตวิญญาณ (Spiritual contemplation) คือ การไตร่ตรองทางจิตวิญญาณ การทำสมาธิเพื่อเข้าใจในเรื่องทางศาสนาหรือจิตวิญญาณ เช่น เรื่องพระเจ้า จิตวิญญาณ หรือความหมายของการอธิษฐาน

3. การเพ่งพินิจระดับศิลปิน (Artistic contemplation) คือ การไตร่ตรองทางศิลปะ การชื่นชมอย่างลึกซึ้งและการสะท้อนถึงการสร้างสรรค์ทางศิลปะ เช่น การใคร่ครวญถึงความงามและความหมายของงานศิลปะ เช่น ภาพวาด ประติมากรรม หรือดนตรี

4. การเพ่งพินิจระดับความรู้ (Scientific contemplation) คือ การไตร่ตรองคิดเกี่ยวกับความรู้ วิธีการของความรู้ เช่น วิทยาศาสตร์ การคิดอย่างลึกซึ้งในทุกแง่มุม วิธีการทางวิทยาศาสตร์และการประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาและการค้นพบความรู้ใหม่ ๆ รวมถึงหมวดหมู่ที่เป็นนามธรรมมากขึ้นเช่น ธรรมชาติของความจริง ขีดจํากัดของสติปัญญาของมนุษย์ และแนวคิดทางคณิตศาสตร์เช่น อนันต์ หรือศูนย์

5. การเพ่งพินิจในสิ่งรอบตัว (Environmental contemplation) คือ การไตร่ตรองคิดสิ่งรอบตัว สิ่งแวดล้อม การสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลกธรรมชาติ และคิดว่าจะอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร รวมถึงการสำรวจทางจิตวิทยาถึงความรับผิดชอบของเราในการดูแลโลกในสังคมที่มีการกระทำที่รุนแรงต่าง ๆ เกิดขึ้น การพิจารณากาลเวลาทางธรณีวิทยาที่ลึกซึ้ง ซึ่งก่อให้เกิดภูเขาและแม่น้ำของเรา เป็นต้น

การเพ่งพินิจ มี 5 ขั้น เช่น ในระดับตนเอง ประกอบด้วย

  1. ก่อนการเพ่งพินิจ (Pre-contemplation stage) เป็นขั้นตอนที่เกิดก่อนการไตร่ตรองคิด แต่ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย โดยเป็นขั้นตอนก่อนที่เราจะมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นสามารถทำได้
  2. การเพ่งพินิจ (Contemplation stage) เป็นขั้นตอนการไตร่ตรองที่เราตระหนัก (aware) ว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง และคิดอย่างลึกซึ้งว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะมีความหมายอย่างไรสำหรับเรา และข้อดีและข้อเสียของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอาจเป็นอย่างไร คนส่วนใหญ่มักจะติดอยู่ในขั้นตอนนี้เป็นเวลานาน ตัวอย่างเช่น ผู้สูบบุหรี่จะอยู่ในขั้นตอนนี้ประมาณสองปี (DiClemente และ Prochaska, 1985)
  3. การเตรียมการ (Preparation) เป็นขั้นตอนที่เราตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่คิดไว้ อาจเป็นเวลาที่ต้องการปรึกษาผู้อื่น พิจารณาทางเลือก หรือระบุความจำเพาะต่าง ๆ ในสิ่งที่คิดให้เหมาะสม
  4. การดำเนินการ (Action) เป็นขั้นตอนที่จะเริ่มทำการก่อรูปให้เปลี่ยนแปลงตามที่เราตัดสินใจทำ กำหนดประเภทหรือความสัมพันธ์ในลักษณะที่เกี่ยวเนื่องกัน
  5. การธำรงรักษา (Maintenance) เป็นขั้นตอนของการยึดการเปลี่ยนแปล/หลักการที่เกิดขึ้น ว่าจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่ เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด เพราะต้องทดสอบกับปณิธาน (final goal)

การฝึกฝนการเพ่งพินิจ มีวิธีการที่ช่วยให้บุคคลสามารถสะท้อนและเข้าใจหัวข้อหรือปัญหาได้อย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่น:

ไดอารี่ (๋Journaling) : บันทึกความคิด ความรู้สึกและประสบการณ์ทุกวัน แล้วนำมาย้อนอ่านเพื่อไตร่ตรองและการค้นพบตนเอง
คำถามเชิงสะท้อน (Reflection questions) : ถามคำถามที่กระตุ้นความคิดกับตัวเองเช่น “ค่านิยมของตนเองคืออะไร” หรือ “อะไรทําให้มีความสุข” เป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการกระตุ้นการไตร่ตรอง
การทำสมาธิ (Mindfulness Meditation) : การฝึกสมาธิด้วยสติ อยู่กับปัจจุบัน สังเกตความคิดและความรู้สึกโดยไม่ตัดสิน ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความคิดและพฤติกรรมของตน
การอยู่คนเดียวและความเงียบ (solitude+silence) : การอยู่คนเดียวในช่วงเวลาของการสะท้อนที่เงียบสงบช่วยให้จิตใจสงบและให้พื้นที่สำหรับการไตร่ตรอง
การฝึกความกตัญญู (Gratitude) : การใช้เวลาไตร่ตรองสิ่งที่รู้สึกขอบคุณ มองหาความสุขที่เกิดขึ้นนั้นและสะท้อนตนเอง
การสร้างภาพ (Visualization) : จินตนาการถึงภาพของผลลัพธ์ที่ต้องการ หรือการจินตนาการตัวเองในสถานการณ์ที่ต้องการ ทำให้เป้าหมายชัดเจนขึ้นและส่งเสริมการไตร่ตรอง

การทำสมาธิเพื่อการเพ่งพินิจ (contemplative Meditation) คือ การทำสมาธิที่มุ่งความสนใจไปที่ความคิดหรือภาพที่เฉพาะเจาะจงซึ่งอาจให้ข้อมูลเชิงลึกหรือความเข้าใจในด้านใดด้านหนึ่งของชีวิตตน วางการคิดอยู่บนสภาวะจิตใจที่สงบและผ่อนคลาย เน้นไปที่ลมหายใจหรือบทสวดมนต์ที่เฉพาะเจาะจง และทัศนคติที่เปิดกว้างและเปิดรับต่อความคิดและอารมณ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการฝึก จนเกิดช่วยการตระหนักรู้ในตนเอง สงบ และมีสติมากขึ้น ทำให้เราได้ทำความเข้าใจความเป็นจริง ตัวตน และการแสวงหาปัญญา โดยพบได้ในธรรมเนียมปฏิบัติของทั้งปรัชญาตะวันตกและตะวันออก โนำเสนอข้อมูลเชิงลึกอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสภาพของมนุษย์ และเป็นเครื่องมือสำหรับการไตร่ตรองตนเอง การลำดับความเข้าใจในการเติบโตส่วนบุคคล และการเปลี่ยนแปลงภายในตนเอง ผ่านการย้อนกลับไปสู่การกระทำ การพูด และการเคลื่อนไหวขอตนในโลกนี้ พิจารณาและบูรณาการสิ่งที่ดีที่สุดของสิ่งที่เราประสบเข้ากับชีวิตของเราเอง

ตัวอย่างเช่น เพลโตเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเพ่งพินิจว่าเป็นหนทางในการเข้าถึงขอบเขตของรูปแบบหรือแนวคิด ซึ่งเชื่อว่าเป็นความจริงขั้นสูงสุดเบื้องหลังโลกทางกายภาพ ตามคำกล่าวของเพลโต การเพ่งพินิจนำไปสู่การค้นพบตนเองและการยอมรับความจริงสากล ในปรัชญาตะวันออก เช่น พุทธศาสนา ไทจิ และโยคะ ก็ให้ความสำคัญกับการเพ่งพินิจอันเป็นหนทางในการบรรลุหยั่งรู้และการหลุดพ้นจากความทุกข์ ตัวอย่างเช่น พุทธศาสนาส่งเสริมการฝึกไตร่ตรองคิดโดยแยบคาย เช่น สติ สมาธิ เพื่อพัฒนาความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับตนเองและธรรมชาติอันไม่เที่ยงแท้ของความเป็นจริง การสังเกตจิตใจและความผูกพันของผู้ปฏิบัติสามารถเพิ่มพูนสติปัญญาและความเมตตาได้

เริ่มต้นการเดินทางแห่งการค้นพบตนเองและการเปลี่ยนแปลงส่วนบุคคล มันส่งเสริมการไตร่ตรองอย่างมีวิจารณญาณ วิปัสสนา และการสำรวจความคิด อารมณ์ และการรับรู้ของตน เพื่อจะพัฒนาความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับตัวเองและสถานที่ของเราในโลกนี้ โดยการมีส่วนร่วมในการฝึกเพ่งพินิจ มองหาแนวทางชีวิตแบบองค์รวม การบูรณาการของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การจัดการความเครียด ปลูกฝังความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ และพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัวเมื่อเผชิญกับความท้าทาย ผ่านการใคร่ครวญ แต่ละบุคคลสามารถใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาโดยกำเนิดและทรัพยากรภายในของตน ซึ่งนำไปสู่ชีวิตที่เติมเต็มและมีความหมายมากขึ้น


Leave a comment