อ.ดร.รวิช ตาแก้ว:

ความหมายของคำว่า “ปรัชญา” มีความหลากหลาย (พหุ) ขึ้นอยู่กับการตีความของผู้ให้ความหมายว่านิยามจากบริบทใด

          1) การนิยามความหมายตามตัวอักษรภาษาไทย คำว่า “ปรัชญา” มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤต โดยแจกแจงได้ว่า (สวามี สัตยานันทปุรี, 2514)

          “ปฺร” แปลว่า ประเสริฐ

          “ชญา” แปลว่า ความรู้

          เพราะฉะนั้น คำว่า “ปรัชญา” ในความหมายนี้จึงหมายถึง ความรู้อันประเสริฐ

          มีนักปราชญ์หลายท่านได้ตีความคำว่า “ความรู้อันประเสริฐ” ได้แก่ ความรู้ที่เกิดขึ้นหลังจากสิ้นความสงสัยแล้ว หรือเป็นความรู้ ปัญญาของพระอริยเจ้าผู้ตรัสรู้เป็นสัพพัญญูล่วงรู้ทุกอย่างจนสิ้นสงสัย (สุเมธ เมธาวิทยกุล, 2540)

          2) การนิยามความหมายตามตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า Philosophy คำนี้จะมาจากรากศัพท์ภาษากรีก 2 คำ คือคำว่า Philo กับ Sophia

          Philo แปลว่า ความรัก ความสนใจ ความเลื่อมใส

          Sophia แปลว่า ความรู้ ปัญญา วิชาหรือวิทยา

          เพราะฉะนั้น คำว่า “ปรัชญา” ในความหมายนี้จึงหมายถึง ความรักในความรู้, ความรักในปัญญา, ความสนใจหรือเลื่อมใสในความรู้หรือปัญญา

เรื่องนี้มีที่มาจากนักปรัชญาชื่อ โสเครตีส (Socrates) เพราะโสเครตีสเรียกตัวของเขาเองว่า “Philosopher” หรือนักปรัชญา เพื่อหลีกเลี่ยงคำว่า “นักปราชญ์หรือผู้รอบรู้” ที่ชาวกรีกแห่งกรุงเอเธนส์ (Athens) สมัยนั้น ผู้คนโดยทั่วไปนิยมยกย่องโสเครตีสว่าเป็นนักปราชญ์ แต่ท่านถ่อมตัวและมีความคิดเห็นว่า ท่านมิใช่ผู้ที่รอบรู้จนสิ้นข้อสงสัยหมดทุกอย่างแล้ว ตรงกันข้าม ในทุก ๆ วัน ท่านยังมีความอยากรู้เพื่อตอบสนองข้อสงสัยของท่าน ในขณะที่พวกโซฟีสต์ (Sophists) ต่างอ้างตนเองว่าเป็นนักปราชญ์ แต่ถึงเวลาถกปัญหากับโสเครตีสทีไรก็เห็นแพ้กลับไปทุกที เพราะฉะนั้น ปรัชญาในความหมายทางตะวันตกนี้จึงหมายถึง “ความอยากรู้ อยากเรียน อยากฉลาด”

การตั้งข้อสังเกตจะพบว่า นิยาม “ปรัชญา” ในภาษาไทย กับ “Philosophy” ในภาษาอังกฤษ แตกต่างกันมาก ความหมายปรัชญาในภาษาไทยได้ถูกยกย่องเชิดชูให้อยู่สูงถึงระดับนักปราชญ์   ซึ่งต่างจากภาษาอังกฤษที่สื่อความหมายว่า เป็นความรัก ความปรารถนาที่อยากเป็นนักปราชญ์ เพราะเห็นว่าตนยังไม่ฉลาดรอบรู้ถึงระดับปราชญ์

กีรติ บุญเจือ (2546) ให้ข้อคิดเห็นว่า “เปรียบเทียบดูแล้วจะเห็นว่าคำภาษาไทยมีความหมายตามตัวอักษรเชิงยกย่องมากกว่าคำฝรั่ง แต่ทว่าคำจะสำคัญกระไรเล่า ขอให้นักปรัชญาของเรา   มีความรู้จริงและเจียมตัวไปด้วย จะเรียกว่าอย่างไรนั้นแล้วแต่สะดวก ขอให้มีคำสำหรับสื่อความเข้าใจกันได้ก็นับว่าดีแล้ว”

3) การนิยามความหมายในบริบทของสาขาวิชา คำว่า ปรัชญา หมายถึง วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546)

ในส่วนปัญหาที่ว่า “ปรัชญาคืออะไร” นั้น เป็นสิ่งที่ตอบได้ยาก แม้จะสามารถตอบได้   แต่คำตอบดังกล่าวนั้นก็ใช้ได้เฉพาะในยุคสมัยที่นิยามเท่านั้น หมายความว่า ปรัชญาคืออะไรนั้น  ขึ้นอยู่กับเรื่องที่มนุษย์ให้ความสนใจ และความสนใจในการค้นหาคำตอบในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็มีความแตกต่างกันไป ปรัชญาจะถูกนำไปใช้ในบริบทที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละยุคสมัย แต่ผู้ศึกษาปรัชญาไม่ต้องตกใจ เพราะความไม่แน่นอนของเนื้อหาทางปรัชญานั้นคือธรรมชาติหรือเนื้อแท้ของวิชาปรัชญา เพราะวิชาปรัชญาไม่ใช่ศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งที่ติดอยู่ในกรอบตายตัว แต่มีลักษณะเป็น “พลวัต” ขับเคลื่อนสติปัญญาหรือวิจารณญาณของมนุษย์ให้ก้าวหน้า เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป

          ปรัชญาไม่ใช่ทฤษฎี (Theory) อันตายตัว และไม่ใช่องค์ความรู้ที่จะสามารถศึกษาแบบศาสตร์ทั่ว ๆ ไปได้ ดังที่โสเครตีส (Socrates) เคยกล่าวกับเพลโต (Plato) ไว้ว่า “ปรัชญาเป็นเรื่องของทรรศนะหรือมุมมอง ไม่ใช่องค์ความรู้ ปรัชญาจึงสอนกันไม่ได้” ใครมีทรรศนะอย่างไร ก็เป็นปรัชญาของคน ๆ นั้น หรือสมัยนั้นคนส่วนใหญ่สนใจในเรื่องอะไร ก็เป็นปรัชญาของคนสมัยนั้น ที่จะช่วยกันถกปัญหาหรือสนทนาด้วยวิภาษวิธี คือ มีการตั้งคำถามที่สามารถตอบได้ตั้งแต่ 2 คำตอบขึ้นไป จากนั้น ก็ช่วยกันหาคำตอบมาสนทนาถกปัญหากัน คำตอบของใครมีความสมเหตุสมผลกว่า คำตอบของผู้นั้นก็จะได้รับการยอมรับมากที่สุด จนกว่าจะมีคนเสนอคำตอบใหม่ที่มีความสมเหตุสมผลกว่าคำตอบที่เดิม จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดความเชื่อไปเรื่อย ๆ

ขอบเขตของปรัชญา

          การศึกษาเนื้อหาวิชาปรัชญาให้ครอบคลุมเอกภพทั้งทางด้านสสารและจิตวิญญาณ สิ่งสำคัญที่ผู้ศึกษาต้องเข้าใจในภาพรวมก็คือ “ขอบเขตของปรัชญา” ซึ่งสามารถแบ่งขอบเขตได้หลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่นิยมกันโดยตามแนวคิดของจอห์น แพสมอร์ (John Passmore, 1975) ได้แบ่งขอบเขตปรัชญาออกเป็น 2 สาขา คือ ปรัชญาบริสุทธิ์และปรัชญาประยุกต์  

              1. ปรัชญาบริสุทธิ์ (Pure Philosophy) คือ แนวคิดและทฤษฎีทางปรัชญาที่ศึกษาตัวความรู้โดยตรง เป็นการ “เรียนความคิดในฐานะความคิด” หรือ “เรียนความรู้ในฐานะความรู้” ไม่เกี่ยวข้องกับการนำไปประยุกต์ใช้ เป็นการศึกษาถึงปัญหาปรัชญาโดยตรง ในปัจจุบันสามารถ  แบ่งออกเป็น 2 สาขาใหญ่ ๆ ได้แก่

              1) สาขาอภิปรัชญา (Metaphysics) หรือทฤษฎีว่าด้วยความเป็นจริง เป็นสาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับความมีอยู่จริง (to exist) กล่าวคือ ศึกษาถึงความมีอยู่ของ “สิ่ง” ต่าง ๆ ในเอกภพว่า “มีอยู่หรือไม่” ถ้ามีอยู่แล้วสิ่งเหล่านั้น “มีอยู่จริงหรือไม่” ถ้ามีอยู่จริงสิ่งเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า “ความเป็นจริง” (reality) และหาคำตอบกันต่อไปว่า ความเป็นจริงที่เชื่อว่ามีอยู่นั้น มีอยู่แบบสสารหรือจิต ความเป็นจริงที่อภิปรัชญาแสวงหานั้นเป็นความจริงสุดท้ายเกี่ยวกับโลก ชีวิต จิต และพระเจ้า อันเป็นพื้นฐานที่มาของความจริงอื่น ๆ เป็นความจริงสูงสุดที่เรียกว่า อันติมสัจจะ (Ultimate Reality) คำตอบเชิงอภิปรัชญาจะถูกแสดงออกมาในลักษณะต่าง ๆ กัน ได้แก่ เอกนิยม (Monism) ทวินิยม (Dualism) และพหุนิยม (Pluralism)

              2) สาขาญาณวิทยาหรือญาณปรัชญา (Epistemology) หรือทฤษฎีว่าด้วยการรู้ความเป็นจริง เป็นสาขาที่ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเอกภพเกี่ยวกับความรู้ที่เป็นตัวความจริง (truth)  โดยศึกษาหาคำตอบว่า เรารู้ความจริงได้อย่างไร และความจริงที่เรารู้นั้นตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ และใช้เกณฑ์ใดในการตัดสิน เป็นต้น สาขาญาณปรัชญานี้เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเอกภพ

          2. ปรัชญาประยุกต์ (Applied Philosophy) คือ ปรัชญาที่นำเอาผลสรุปหรือคำตอบของปรัชญาบริสุทธิ์ไปตีความผลสรุปของวิชาต่าง ๆ เมื่อวิชาการต่าง ๆ แต่ละสาขาวิชาถูกคิดค้นไป จนพบปัญหาที่อธิบายไม่ได้ด้วยข้อเท็จจริง จึงเอาปรัชญาบริสุทธิ์ไปอธิบาย ตีความปัญหานั้น ๆ    จึงให้เป็นปรัชญาประยุกต์ตามสาขานั้น ๆ ดังนั้น ปรัชญาประยุกต์จึงเป็นการศึกษาจากสิ่งภายนอกตัวเรา คือ รู้สิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวความรู้ แต่เป็นการนำเอาความรู้ แนวความคิด ความจริงที่พิสูจน์ ค้นคว้า ที่หามาได้จากปรัชญาบริสุทธิ์ ไปผสมผสานกับศาสตร์แขนงต่าง ๆ ที่แยกออกมาจากปรัชญาเป็นศาสตร์อิสระ เช่น ปรัชญาศาสนา ปรัชญาสังคม ปรัชญาการเมือง ปรัชญากฎหมาย ปรัชญาวิทยาศาสตร์ ปรัชญาศิลปะ ปรัชญาคณิตศาสตร์ ปรัชญาภาษา ปรัชญาจิต ปรัชญาประวัติศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งแยกสาขาออกมามากมายตามสาขาวิชาแต่ละวิชา กล่าวคือ เป็นปรัชญาที่นำเอาปรัชญาบริสุทธิ์ไปประยุกต์กับวิชาการอื่น ๆ แล้วกำหนดชื่อตามโดยใช้วิชานั้น ๆ เป็นตัวยืน ขอบเขตของปรัชญาดังที่กล่าวมานั้น สรุปได้ดังภาพ

สาระของอภิปรัชญาในช่วงระยะแรกเป็นสาระที่ศึกษาค้นคว้าว่า สรรพสิ่งที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้มีความจริงอย่างไร และได้แบ่งสาระของความเป็นจริงออกเป็น 3 สาระ คือ

          สาระที่ 1 เชื่อว่า ในทุกสรรพสิ่งมีวัตถุหรือสสาร (Matter) เป็นองค์ประกอบหลัก

          สาระที่ 2 เชื่อว่า ในทุกสรรพสิ่งมีจิต (Mind) เป็นองค์ประกอบหลัก

          สาระที่ 3 มีความเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งมีทั้งสสารและจิตเป็นองค์ประกอบหลัก อย่างไรก็ตาม สาระความคิดทางด้านอภิปรัชญาในปัจจุบันได้พัฒนาไปมาก ซึ่งรวมทั้งสาระทางอภิปรัชญาตามแนวคิดของปรัชญาหลังนวยุคสายกลางด้วย ประเด็นที่มีความสำคัญและเป็นที่สนใจของปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง ไม่สนใจค้นหาความจริงแท้ แต่สนใจว่า อะไรคือแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ในสภาวะปัจจุบันท่ามกลางความรู้ต่าง ๆ ที่หลากหลายและแตกต่างกันนั้นมนุษย์จะกระทำอย่างไร  ให้มนุษย์เกิดความสุขแท้อย่างมีคุณภาพ และเป็นความสุขแท้ที่มีให้เพื่อนมนุษย์เกิดความสุขและดำรงอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขอย่างแท้จริงตามความเป็นจริงแห่งวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ในช่วงขณะเวลานั้น ๆ

          สาระของปรัชญาในส่วนที่เป็นญาณปรัชญาหรือญาณวิทยา จึงเป็นการหามาตรตัดสินความจริง การค้นหาคำตอบและหาวิธีการยืนยันและตัดสินได้ว่า ความรู้ที่ได้จากการค้นหาตามความเชื่อของตนนั้นถูกต้องที่สุด ความเชื่ออื่น ๆ ไม่ถูกต้อง ในปัจจุบันวิธีการค้นหาความรู้ที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางคือ การค้นคว้าหาความรู้ตามกระบวนการวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ แม้ว่าวิธีการค้นคว้าหาความรู้แบบสังคมศาสตร์ เริ่มมีอิทธิพลในทางความคิดขึ้นมาบ้างแต่บางกระบวนการก็ยังอิงวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ วิธีการค้นคว้าหาความรู้อีกรูปแบบหนึ่งในแวดวงวิชาการในประเทศไทยยังได้รับความสนใจน้อยมาก คือ วิธีการค้นคว้าหาความรู้แบบปรัชญา และมักสรุปว่าวิธีการค้นคว้าหาความรู้แบบสังคมศาสตร์กับวิธีการแบบวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการค้นคว้าหาความรู้แบบปรัชญา ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ข้อถกเถียงดังกล่าวถูกยุติลงเมื่อเกิดแนวคิดของปรัชญาหลังนวยุคที่ปฏิเสธวิธีการค้นคว้าและความเชื่อทั้งหมด และเสนอความเชื่อใหม่ว่า ทุกอย่างในวิถีชีวิตของมนุษย์แต่ละคนควรสนใจวิธีการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีว่าควรดำเนินการอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย สมควรยกรื้อสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตทิ้งทั้งหมด เพราะไม่ตอบสนองต่อวิถีชีวิตอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น ก็มีแนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลางอีกแนวคิดหนึ่ง ซึ่งได้เสนอทางออกในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่น่าสนใจและสอดคล้องกับวิถีคิดของสังคมไทย

          สาเหตุที่ต้องกล่าวถึงกรอบความคิดที่เกี่ยวกับปรัชญาและสาระของปรัชญา เนื่องจากคนในสังคมไทยบางส่วนมองว่าปรัชญาเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไป เพราะเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจได้ยาก แต่แท้จริงแล้ว สาระของวิชาปรัชญาเป็นเพียงหลักความคิดที่ต้องการหาคำตอบ โดยเริ่มต้นจากความสงสัย และตั้งประเด็นตามข้อสงสัยนั้นเพื่อค้นหาคำตอบ ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ นั้น สามารถศึกษาเรียนรู้ได้จากสาขาปรัชญาบริสุทธิ์และปรัชญาประยุกต์ตามความสนใจของผู้เรียนเพื่อนำไปเป็น ฐานความคิดในการพัฒนาและต่อยอดหรือใช้เป็นหลักในการมองโลกและชีวิตที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน

ที่มา: รวิช ตาแก้ว, เมธา หริมเทพาธิป, และพจนา มาโนช. (2564) ปัจจัยพลังอำนาจของชาติด้านเศรษฐกิจตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง: การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์และวิธาน. รายงานวิจัย. ศูนย์ประสานการปฏิบัติการที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, หน้า 9-14.


Leave a comment