อ.ดร.รวิช ตาแก้ว;

นักปรัชญาและสกุลความคิดทางปรัชญามีอยู่มากมาย อีกทั้งแต่ละสกุลความคิดก็ยังมีวิธีการที่เป็นแก่นเฉพาะตามแนวทางของตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหยิบยกเอาวิธีการทางปรัชญามาทุกสกุลความคิดหรือนักปรัชญาทุกคนมากล่าวโดยละเอียด

แต่ทว่าหากจะกล่าวในแง่มุมที่กว้างที่สุดที่พอจะสามารถให้ภาพที่ชัดเจนถึงลักษณะสำคัญของตัววิธีการได้มากที่สุด ก็เป็นไปได้ที่จะแบ่งลักษณะสำคัญของวิธีการออกโดยคร่าว ๆ ได้แก่

1) วิธีการของปรัชญากรีกโบราณ (Method of Classical Greek) ได้แก่ วิธีการที่ริเริ่มโดยเธลีสและโสเครตีสเป็นต้น

2) วิธีแห่งการกังขา (Method of Doubt) เป็นวิธีการของนักปรัชญาสมัยใหม่ ในสกุลเหตุผลนิยม ประจักษ์นิยม และวิมตินิยม เป็นต้น

3) วิธีการวิเคราะห์มโนทัศน์ (Method of Conceptual Analysis) เป็นวิธีการของกลุ่มนักปรัชญาวิเคราะห์โดยเฉพาะ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการอาศัยตรรกวิทยาเป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ภาษาและมโนทัศน์

4) วิธีปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenological Method) เป็นวิธีที่ให้ความสำคัญกับการไตร่ตรองบ่อเกิดของความตระหนักรู้ อันเป็นปรากฏการณ์สามัญของจิตสำนึกที่มีต่อโลกรอบตัว (Earle, 1992)  

ดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงสารัตถะที่อยู่ในวิธีการดังกล่าว จึงขอหยิบยกวิธีการทางปรัชญาที่โดดเด่นเป็นที่รู้จักแพร่หลายมาเกริ่นนำให้เห็นถึงแนววิธีอันเป็นระบบระเบียบเชิงปรัชญาของแต่ละวิธี ดังนี้ (สรายุทธ เลิศปัจฉิมนันท์, 2560)

วิธีการของปรัชญากรีกโบราณ

          ในเบื้องแรกสุด เมื่อกล่าวถึงวิธีการทางปรัชญาขึ้นมา มีบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับกัน (เท่าที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์สามารถยืนยันได้) ว่าอาจเป็นคนแรก ที่ริเริ่มวิธีการทางปรัชญาในสมัยกรีกโบราณ คือ เธลีสแห่งมิเลตุส (Thales of Miletus) โดยเขาได้เปิดพื้นที่ใหม่ทางความคิดด้วยวิธีการแสวงหาหลักการเพื่อรองรับคำตอบเรื่องแก่นแท้ของโลก ด้วยสร้างชุดการให้เหตุผลอย่างเป็นระบบ เพื่อตอบปัญหาเกี่ยวกับธาตุแท้ของวัตถุว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีธาตุมูลฐานที่ประกอบกัน ขึ้นมาจนเกิดเป็นสรรพสิ่ง คือ น้ำ ดังนั้นจึงนับได้ว่า เธลีสได้สร้างรูปแบบความสัมพันธ์เชิงหลักในเรื่องความเป็นจริงของโลกจากการสังเกต ขบคิด และคาดเดา ผ่านสภาวะของน้ำ ที่สามารถแปรเปลี่ยนตัวเองจากของเหลวเป็นของแข็ง เป็นไอระเหย รวมถึงทำให้พืชเจริญเติบโตได้ กล่าวคือ ความสัมพันธ์ของน้ำกับสิ่งต่าง ๆ ที่ได้จากการสังเกตและวิเคราะห์เช่นนี้ แม้ปัจจุบันจะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าผลสรุปของเธลีสเป็นสิ่งที่ผิด แต่สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่ข้อสรุปของเธลีส เพราะด้วยวิธีการของเธลีส ที่พยายามเสนอหลักการเรื่องความจริง อันเป็นแก่นแท้ของโลกซึ่งไม่จำเป็นต้องยึดโยงอยู่กับเทพเจ้านั้น ได้กลายเป็นเป็นวิธีการที่เปลี่ยนกระบวนทรรศน์ของมนุษย์ให้สามารถก้าวออกจากความเชื่อทางศาสนาไปสู่การเป็นพื้นฐานของวิธีขบคิดทางปรัชญา คือ การสร้างกระบวนขั้นตอนของการเข้าถึงความจริง ที่เปิดช่องให้ทั้งผู้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยนั้น สามารถที่จะนำผลสรุปดังกล่าวมาอภิปราย และแสวงหาการพิสูจน์หรือยืนยันคำตอบได้ต่อไปในมุมมองอื่น

วิธีการทางปรัชญาที่สำคัญต่อมาในสมัยกรีกโบราณ คือ วิภาษวิธี (Dialectic) ซึ่งเป็นวิธีการทางปรัชญาที่ถูกริเริ่มโดยนักปรัชญาเมธีแห่งเอเธนส์ คือ โสเครตีส (Socrates) โดยวิภาษวิธีนี้เรียกอีกอย่างว่า วิธีการของโสเครตีส (Socratic method) เป็นวิธีการทางปรัชญาที่อาศัยรูปแบบและลักษณะในห้าขั้นตอน ได้แก่ 1) ถ่อมตนสงสัย เป็นขั้นตอนแรกสุดที่โสเครตีสใช้กับคู่สนทนาโดยจะเริ่มจากการยกย่องคู่สนทนาว่าเป็นผู้รู้ดีในประเด็นที่กำลังจะพูดคุย พร้อมกับถ่อมตนเองว่าขาดความรู้ในเรื่องเดียวกัน2) สนทนา เป็นขั้นที่โสเครตีสจะทำการสนทนาเชิงปุจฉาวิสัชนา ไปพร้อมกับตอบโต้คู่สนทนาว่า ยังมีข้อบกพร่องไม่รัดกุม 3) หาคำจำกัดความ ในขั้นนี้ โสเครตีสจะดึงคู่สนทนามาสู่จุดมุ่งหมายของการสนทนาและสร้างคำจำกัดความอันจะเป็นข้อตกลงในการสนทนาจากนี้ 4) อุปนัย เป็นขั้นของการทำให้คำจำกัดความมีความรัดกุมขึ้น จากการใช้ตัวอย่างของสิ่งเฉพาะไปสู่สิ่งสากล และ 5) นิรนัย ในขั้นนี้เป็นการพิสูจน์ความจริง ที่ได้จากคำจำกัดความที่ได้จากการสนทนา และนำไปสู่ข้อสรุปที่โสเครตีสชวนคู่สนทนาอภิปรายนั่นเอง

          อย่างไรก็ดี โดยวิธีการของกรีกโบราณ เป็นวิธีการทางปรัชญาที่วางอยู่บนพื้นฐานของการ สนทนา (Dialogue) ซึ่งก็แน่นอนว่าวิธีการเช่นนี้ไม่ได้มีแต่วิธีของเธลีสและ โสเครตีสเท่านั้น เพียงแต่ที่หยิบยกวิธีการทั้งสองขึ้นมากล่าว ก็ด้วยเหตุผลสำคัญ คือ ทั้งวิธีการของเธลีสเป็นจุดเริ่มต้นอันสำคัญที่ทำให้เห็นการก่อขึ้นของขบวนวิธีการทางปรัชญาที่จะส่งอิทธิพลต่อไปยังนักปรัชญารุ่นหลังอีกมากมาย เพราะวิธีการของเธลีส นำมาซึ่งการอภิปรายถกเถียงและตั้งคำถามเกี่ยวกับธาตุแท้ของโลกที่ก้าวออกจากวิธีคิดแบบศาสนา จนเกิดข้อถกเถียงตามมาด้วยวิธีการต่าง ๆ ของนักคิดในกลุ่มก่อนโสเครตีส (Pre-Socrates) ไม่ว่าจะเป็น อานักซิมานเดอร์ อานักซิเมเนส เฮราคลีตุส เดมอคริตุส อานักซากอรัส เป็นต้น ส่วนวิธีการของโสเครตีสเองก็เป็นหมุดหมายสำคัญไม่แพ้กัน กล่าวคือ วิธีการของโสเครตีสได้ทำให้ปัญหาปรัชญาขยับเข้าใกล้ปัญหามนุษยภาวะมากขึ้น โดยปรับกระบวนทรรศน์จากวิธีการตรึกตรองถกเถียงเรื่องมูลฐานของโลกในเชิงอภิปรัชญา มาสู่วิธีการตรึกตรองถกเถียงในเรื่องคุณค่า จนที่สุดได้ก่อให้เกิดนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ ในยุคสมัยอันรุ่งเรืองของกรีกโบราณตามมาโดยหนึ่งในนั้น คือ เพลโต ซึ่งปรัชญาของเพลโตถือได้ว่าเป็นมรดกทางความคิด ที่ทรงอิทธิพลและสืบทอดต่อไปยังนักปรัชญารุ่นหลังอีกยาวนาน จนถึงสมัยกลางของยุโรปที่ถือกันว่าเป็นยุคมืดแล้วจากนั้นจึงค่อยมีการก่อตัวขึ้นเป็นขบวนการของนักปรัชญาสมัยใหม่ตามมา

วิธีแห่งการกังขา

          เมื่อประวัติศาสตร์ของปรัชญาได้ดำเนินเข้าสู่ศตวรรษที่ 16 กระบวนทรรศน์ทางปรัชญาได้ถูกปรับเปลี่ยนเข้าสู่การเป็นปรัชญาสมัยใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับญาณวิทยาเป็นอย่างมาก โดยการนำของ เรเน เดส์การ์ตส์ (Rene Descartes) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของปรัชญาสมัยใหม่ ที่เสนอวิธีการทางปรัชญาใหม่ คือ วิธีการแบบเหตุผลนิยม ทั้งนี้อันเนื่องมาจากความที่ เดส์การ์ตส์ มีพื้นเพเป็นนักคณิตศาสตร์และมีความนิยมชมชอบในความรู้ที่แน่นอนตายตัว และด้วยความที่คณิตศาสตร์สามารถให้ความรู้ได้ด้วยการใช้เหตุผลล้วน ๆ ชนิดที่ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับประสบการณ์ที่จำเป็นต้องประจักษ์ ณ กาลและสถานที่หนึ่งก่อน ดังนั้น เดส์การ์ตส์ จึงเสนอวิธีการที่วางอยู่บนรากฐานสองประการสำคัญ คือ อัชฌัตติกญาณ (intuition) และการนิรนัย (Deduction) กล่าวคือ วิธีการทางปรัชญาของ เดส์การ์ตส์ เป็นวิธีการตั้งข้อกังขากับประสบการณ์ภายนอกที่เข้ามาบิดเบือนความจริงที่สามารถรู้ได้โดยอัชฌัตติกญาณ และทำการใช้เหตุผลนิรนัย เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความชัดแจ้งอันจริงแท้แน่นอน กระทั่งไม่สามารถตั้งข้อกังขาใด ๆ ได้อีกว่า เหตุผลและอัชฌัตติกญาณคือ หนทางเดียวที่สามารถให้ความรู้อันตายตัวแก่เราได้เสมอ

          อย่างไรก็ตาม วิธีการของเดส์การ์ตส์ก็ถูกโต้แย้งจากนักคิดฝ่ายประจักษ์นิยม อาทิ จอห์น ล็อค (John Locke) ที่กังขาต่อวิธีการแบบเหตุผลนิยม อันเนื่องมาจากรากฐานทางความคิดของล็อค กังขาต่อสิ่งที่เรียกว่า ความรู้ติดตัวโดยกำเนิด กล่าวคือ เด็กแรกเกิดจะไม่มีความรู้ใด ๆ เลยหากปราศจากการเรียนรู้ ผ่านประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนรู้และเติบโตขึ้นจากการใช้ชีวิต ดังนั้นวิธีการของ จอห์น ล็อค จึงตรงข้ามกับวิธีนิรนัย กล่าวคือ ล็อค เสนอวิธีการทางปรัชญาสำหรับยืนยัน ความรู้จากการพิจารณาประสบการณ์ของจิต ที่ถูกสะสมอยู่ภายในตัวของมนุษย์ วิธีการของล็อคจึงเป็นวิธีที่ตรวจสอบกลุ่มมโนภาพที่เข้ามาสู่การเป็นเนื้อหาของจิต เพื่อคัดแยก เอาความเชื่อออก พร้อมกับยืนยันว่าสิ่งใดบ้างคือพื้นฐานของการมีปัญญาความรู้

          อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นวิธีการแบบเหตุผลนิยมหรือประจักษ์นิยม ต่างก็ถูกโต้แย้งอย่างหนักจากนักวิมตินิยม (Scepticism) อย่าง เดวิด ฮิวม์ (David Hume) โดยวิธีการของฮิวม์นั้น อาศัยพื้นฐาน มาจากวิธีการแบบประจักษ์ นิยม ที่ปฏิเสธวิธีการของพวกเหตุผลนิยมที่เชื่อในความรู้แท้อันแน่นอนตายตัวอยู่แล้วเป็นที่ตั้ง ทว่าในท้ายที่สุดด้วยวิธีการของ ฮิวม์ ก็ได้นำเขาเองไปสู่การปฏิเสธวิธีคิด แบบประจักษ์นิยมด้วยเช่นกัน นั่นจึงทำให้วิธีการทางปรัชญาของเขา กลายเป็นวิธีการแบบวิมตินิยมไปในที่สุด ซึ่งวิธีการโดยสังเขปของฮิวม์ก็คือ ยอมรับว่าประสบการณ์เป็นแหล่งความรู้ แต่เป็นเพียงแหล่งความรู้ขั้นต้นเท่านั้น ไม่ใช่แหล่งความรู้แท้อันแน่นอน ตายตัว เพราะเป็นเพียงความรู้ที่ได้มาจาก มโนคติ (Idea) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อจิตมีรอยประทับ (Impression) โดยกระบวนการรู้ผัสสะจากโลกภายนอก ความรู้ประเภทนี้ให้ได้เฉพาะแต่เพียงความน่าจะเป็นเท่านั้น ส่วนในแง่ของการปฏิเสธโดยสร้างข้อกังขาต่อวิธีแบบเหตุผลนั้น ฮิวม์ เสนอว่า ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลเป็นเพียงสิ่งที่เกิดมาจากความเคยชินจากการสรุปว่า A เป็นสาเหตุของ B ซึ่งไม่เคยมีนัยของรอยประทับปรากฏต่อจิต จึงเป็นเพียงเรื่องของการจินตนาการซึ่งไม่สามารถยึดเป็นความจริงเที่ยงแท้ได้ เพราะไม่มีรอยประทับที่จะสามารถ บ่งบอกถึงคุณภาพใด ๆ ของสิ่งที่มีอยู่จริง

          จากวิธีการดังที่ได้หยิบยกมากล่าวถึง จะเห็นได้ว่า ความสนใจของวิธีการได้ปรับกระบวนทรรศน์จากอภิปรัชญาที่เคยเป็นที่สนใจนับแต่กรีกโบราณ มาสู่ปัญหาญาณวิทยา เป็นสำคัญ อันเนื่องมาจากบรรยากาศของยุคสมัยที่วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเนือง ๆ จึงส่งผลให้มนุษย์พยายามแสวงหาวิธีการที่จะสามารถสร้างข้อยืนยันได้ถึงความรู้และศักยภาพที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ แต่ทั้งนี้วิธีการของนักคิดในกลุ่มปรัชญาสมัยใหม่ ยังมีอีกมากที่ไม่ได้หยิบยกมากล่าวถึง ณ ที่นี้ ทว่าวิธีการต่าง ๆ นั้นโดยส่วนมากจะวางอยู่บนรากฐานของวิธีการแบบเหตุผลนิยม หรือประสบการณ์นิยมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ในส่วนของวิธีการแบบวิมตินิยมของ ฮิวม์ นั้นไม่ไปสุดในทั้งสองทาง ได้มีส่วนช่วยในการ แผ้วถางให้เกิดแนววิธีใหม่ตามมา จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดสกุลความคิดของปรัชญาสายวิเคราะห์ได้ต่อไปในที่สุด

วิธีการวิเคราะห์มโนทัศน์

          เมื่อประวัติศาสตร์ของปรัชญาได้ดำเนินมาสู่ยุคแสงสว่างทางปัญญา (Enlightenment movement)  ในยุคสมัยนี้ได้มีนักปรัชญาซึ่งถือกันว่าเป็นผู้มีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ คือ อิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant) โดยเขาตั้งข้อสงสัยเป็นอย่างยิ่งต่อวิธีการ แบบวิมตินิยมของ ฮิวม์ กล่าวคือ คานท์ ได้สร้างวิธีการทางปรัชญาอันซับซ้อนขึ้นใหม่ เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ทั้งฮิวม์และนักคิดในกลุ่มของเหตุผลนิยมและประสบการณ์นิยมก่อนหน้านั้น แท้จริงแล้วต่างก็ถกเถียงในเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างก็มองแบบแยกส่วน ดังนั้นหน้าที่ของคานท์ จึงเป็นการสร้างวิธีการทางปรัชญาขึ้นเพื่อรองรับและเชื่อมโยงความรู้จากประสบการณ์และเหตุผลเข้าด้วยกัน ทั้งยังทำไปเพื่อเป็นการตอบโต้วิธีการฮิวม์โดยตรงอีกด้วย

          ทั้งนี้ วิธีการของคานท์ ได้ทำให้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนทรรศน์ทางญาณวิทยาขึ้นครั้งใหญ่ จากการเสนอวิธีการแบ่งแยกบ่อเกิดของความรู้ออกเป็นก่อนประสบการณ์ (a Priori) และหลังประสบการณ์ (a Posteriori) ที่ถูกเชื่อมโยงด้วยกันไว้โดย ปรากฏการณ์ (Phenomena) ซึ่งเป็นภาพตัวแทนของสิ่งที่อยู่นอกเหนือผัสสะ (Noumena) ด้วยกระบวน วิธีเช่นนี้ วิธีการทางปรัชญาของคานท์จึงถูกเรียกว่าเป็นวิธีการแบบจิตนิยมอุตรภาวะ (Transcendental Idealism) ซึ่งมีวิธีการที่ซับซ้อน แต่พอจะกล่าวโดยสังเขปได้ ดังนี้

          วิธีการของคานท์เริ่มต้นจากการตอบโต้ ฮิวม์ อย่างตรงจุดว่า เรื่องของเหตุผลหรือความคิดเรื่องการเป็นสาเหตุนั้น เกิดจากมโนทัศน์พื้นฐานของจิตที่มีอยู่ก่อนแล้ว ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดจากความเคยชินของการประสบเหตุการณ์ใดซ้ำ ๆ หรือก็คือความคิด เรื่องเหตุผลไม่ได้เกิดจากประสบการณ์ แต่เป็นเรื่องคุณสมบัติภายในของจิต ขณะที่ประสบการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ให้ข้อมูลผัสสะ (Sense Data) ของโลกภายนอก ซึ่งทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ต่อการรับรู้จิต ดังนั้น ปรากฏการณ์จึงเป็นสื่อกลางที่แสดงถึง ข้อมูลผัสสะที่จิตได้รับมีความสอดคล้องต้องกันกับมโนทัศน์พื้นฐานเรื่องความ เป็นเหตุเป็นผลที่จิตมีเช่นนั้นแล้ว ความรู้ที่เกิดขึ้นโดยวิธีการของคานท์ จึงสามารถแบ่งเป็น ความรู้ก่อนประสบการณ์ (ด้วยเหตุผล) และ ความรู้หลังประสบการณ์ (ด้วยประจักษ์) ได้เสนอวิธีการเช่นนี้ทำให้มองเห็นถึงจุดที่บกพร่องในข้อเสนอของฮิวม์ รวมถึงทำให้ วิธีการแบบเหตุผลนิยม และประจักษ์นิยมถูกนำมาเชื่อมโยงไว้ในระบบใหญ่ระบบเดียว จนเกิดเป็นวิธีการทางปรัชญาที่มีขั้นตอนละเอียดและซับซ้อน

          นอกจากนี้ วิธีการของคานท์ ยังขยายขอบเขตมาสู่วิธีการวิเคราะห์ทางภาษา เนื่องจากการแบ่งความรู้ออกเป็น ก่อนประสบการณ์ และ หลังประสบการณ์ ทำให้มีความสัมพันธ์กับประโยคอันเป็นภาษาที่มนุษย์เราใช้เป็นสื่อสำแดงความรู้ออกมา ซึ่งความรู้ก่อนประสบการณ์นั้นจะถูกแสดงออกมาโดย ประโยควิเคราะห์ ขณะที่ความรู้หลังประสบการณ์นั้นจะถูกแสดงออกมาโดยประโยคสังเคราะห์ นั่นเพราะ ประโยควิเคราะห์ คือ ประโยคที่ภาคลักษณะจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในภาคประธาน ส่วนประโยคสังเคราะห์นั้น ภาคลักษณะจะเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในภาคประธาน

          ทั้งนี้ หากกล่าวอย่างขยายความ ประโยควิเคราะห์ ก็คือ ประโยคที่สามารถใช้ความคิดเชิงเหตุผลมาวิเคราะห์ได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ และความสามารถ มีข้อสรุปในเชิงตรรกวิทยาได้ว่า ประโยคเป็นจริงในลักษณะของข้อความ “A คือ A” หรือสามารถที่จะตัดสินได้ว่าเป็นจริงโดยนิยามของตัวมันเอง อย่างไรก็ดี ในทางกลับกัน เมื่อกล่าวถึง ประโยคสังเคราะห์ จะอยู่ในรูปของข้อความ “A เป็น B” ซึ่งข้อเท็จจริง ในภาคลักษณะนั้นจะต้องถูกพิสูจน์โดยสังเคราะห์เอาจากประสบการณ์ให้เกิดการประจักษ์แจ้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถตัดสินได้ว่าข้อความดังกล่าวนั้นเป็นจริงหรือเท็จ

          ดังจะเห็นได้ว่า วิธีการของคานท์ ไม่เพียงเป็นระบบที่รองรับแต่เฉพาะมโนทัศน์เหตุผลและประสบการณ์เท่านั้น หากแต่คานท์ยังให้ความสนใจกับความรู้ ที่เกิดขึ้นจากประโยคอันเป็นข้อความที่มนุษย์ใช้แสดงถึงความรู้ต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้เอง วิธีการของคานท์จึงถือเป็นรากฐานสำคัญ ที่ผลักดัน ให้มีการต่อยอดจนต่อมาได้เกิดเป็น ปรัชญาสายวิเคราะห์ (Analytic Philosophy) ที่อาศัยวิธีการทางตรรกวิทยาเป็นเครื่องมือ พิสูจน์รูปแบบของการใช้ภาษา อาทิ วิธีการของ เบอร์ทรัล รัสเซล (Bertrand Russell) เป็นต้น หรือแม้กระทั่งพัฒนาต่อไปเป็นปรัชญาภาษา (Philosophy of Language) ที่มุ่งเน้นวิเคราะห์มโนทัศน์ความจริงและความหมายซึ่งมาพร้อมกับเงื่อนไขในการใช้ภาษาของมนุษย์ อาทิ วิธีการของวิตต์เกนสไตน์ (Ludwig Wittgenstein) เป็นต้น จึงนับได้ว่า วิธีการทางปรัชญาของคานท์ ถือเป็นวิธีการที่สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงให้แก่โลกปรัชญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปรัชญาสายวิเคราะห์ที่ยังสืบเนื่องเรื่อยมา จวบจนปัจจุบัน

วิธีปรากฏการณ์วิทยา

         ในอีกทางหนึ่งก็มีนักคิดที่ปฏิเสธวิธีการของคานท์ โดยให้เหตุผลว่า วิธีการแบบปรากฏการณ์นิยมของคานท์ เป็นวิธีที่ลดทอนการรับรู้วัตถุที่มีอยู่จริง ให้ลงไปสู่การเป็นเรื่องข้อจำกัด ที่มีต่อการรับวัตถุผ่านทางปรากฏการณ์ ซึ่งทำให้โครงสร้างของจิตกลายเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่เพื่อรอรับข้อมูลผัสสะมาประมวลด้วยเหตุผล โดยละเลยว่า แท้จริงแล้วจิตเองก็มีกระบวนการที่สามารถมุ่งตัวเองออกไปกระทำอย่างเป็นส่วนหนึ่งกับโลกภายนอกได้ ฉะนั้นแล้ว ด้วยข้อขัดแย้งเช่นนี้จึงก่อให้เกิดวิธีการทางปรัชญาใหม่ คือ ปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อปรัชญาสายภาคพื้นทวีปยุโรปทั้งหมด ซึ่งถือได้ว่าเป็นปรัชญาที่มีวิธีการทางปรัชญา อันเป็นเฉพาะแบบที่แตกต่างไปจากปรัชญาสายวิเคราะห์ โดยวิธีการที่ว่าคือ วิธีปรากฏการณ์วิทยา ซึ่งเป็นวิธีการที่ริเริ่มโดย เอ็ดมุนด์ ฮุสเซิร์ล (Edmund Husserl) ซึ่งทำให้เกิดการปรับกระบวนทรรศน์ทางปรัชญาจากการมองเห็นข้อบกพร่องบางประการในวิธีการของนักปรัชญาในกลุ่มสมัยใหม่นิยม ที่ได้รับอิทธิพลจากทวินิยมแบบเดส์การ์ตส์ ตลอดจนนักปรัชญาในกลุ่มประสบการณ์นิยมที่ใช้วิธีการลดทอนโลกภายนอกลง เป็นเพียงข้อมูลการรับรู้เชิงมโนภาพโดยแบ่งแยกผู้รู้ออกจากสิ่งที่ถูกรู้ออกจากกัน รวมถึงมองเห็นข้อจำกัดของวิธีการปรากฏการณ์นิยมแบบคานท์ (Kantian Phenomenalism) ที่ปฏิเสธการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงของจิตที่มีต่อโลกภายนอก ที่ลดทอนโลกภายนอกให้กลายเป็นวัตถุนอกผัสสะ ที่แม้มีอยู่จริงแต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ถึงมันได้ ในการนี้ฮุสเซิร์ลมองว่าวิธีการของนักปรัชญาดังกล่าวได้ทำให้การรับรู้คุณภาพของโลกภายนอกที่ควรจะรู้ได้อย่างตรงไปตรงมา กลายเป็นการรับรู้คุณภาพในขั้นทุติยภูมิ (Secondary Qualities) เป็นคุณภาพที่ถูกจำกัดลงภายใต้คำนิยามทางตรรกวิทยา หรือเป็นการพรรณนาภายใต้ฐานคติเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่ใช่การรับรู้/พรรณนา ความเป็นจริงของโลกจริง (Real World) ไม่ใช่โลกที่ปรากฏต่อประสบการณ์ของอัตบุคคล อย่างตรงไปตรงมาและเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกชีวิต (Life World) ถูกตัดขาดออกจากอัตวิสัยของคน ดังนั้น เพื่อตอบโต้ในข้อบกพร่องดังกล่าว ฮุสเซิร์ล ได้เสนอแนววิธีปรากฏการณ์วิทยา เพื่อใช้เป็นวิธีการพรรณนาประสบการณ์ที่มนุษย์มีต่อโลกภายนอก อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่จำเป็นที่จะต้องลดทอนการรับรู้โลกภายนอก เพราะจิตมีโครงสร้างของกิจกรรมที่พร้อมกระทำโดยตรงอย่างเป็นส่วนหนึ่งของโลกภายนอกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นวิธีการที่อาศัยพื้นฐานจากจิตวิทยาเชิงพรรณนาของ ฟรานซ์ เบรนทาโน (Franz Brentano) ในเรื่องเจตนารมณ์ของจิต (Intentionality) ที่แสดงให้เห็นว่าตัวของจิตเองนั้นมีศักยภาพที่จะมุ่งเจตนาออกไปสำนึกรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ รวมถึงสร้างความหมายให้กับสิ่งที่กำลังสำนึกรู้ได้ ปรากฏการณ์ของจิตที่มีเกี่ยวกับโลกภายนอกจึงเป็นอัตวิสัยที่ไม่สามารถลดทอนลงได้

          อย่างไรก็ดี วิธีปรากฏการณ์วิทยาของฮุสเซิร์ลนั้น ถือได้ว่ามีความซับซ้อน ซึ่งหากจะกล่าวถึงวิธีการของเขาโดยภาพรวมของวิธีการแล้ว วิธีปรากฏการณ์วิทยา คือ วิธีการไตร่ตรองความตระหนักรู้ของจิตสำนึกเพื่อพรรณนาถึงปรากฏการณ์ภายในของจิตในเชิงอัตวิสัย โดยเชื่อมั่นว่า ความรู้ที่เกิดขึ้นต่อจิต มีบ่อเกิดมาจากประสบการณ์และความสำนึกรู้ ซึ่งปรากฏการณ์ของความรู้ที่มีต่อจิตนั้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ แต่จะต้องอาศัยการมุ่งเจตนารมณ์ของจิตเข้าไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์บางอย่างในกาล และเทศะอันสมควร วิธีการของฮุสเซิร์ลจึงไม่จำเป็นต้องอาศัยการสร้างสมมติฐานใด ๆ ขึ้นมาพิสูจน์ เพียงแต่จะต้องกำหนดขอบเขตของการแยกแยะค้นหาความจริงที่อยู่ในประสบการณ์ของมนุษย์ (บุญมี แท่นแก้ว, 2548)

          กระนั้นวิธีปรากฏการณ์วิทยาที่ริเริ่มโดย ฮุสเซิร์ล ต่อมาได้มีอิทธิพลเป็นอย่างสูงต่อปรัชญาสายภาคพื้นทวีปทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อ ไฮเด็คเกอร์ (Martin Heidegger) หนึ่งในนักปรัชญา ผู้ทรงอิทธิพลกับแนวคิดเรื่องสัตและกาลเวลา (Being and Time) ทั้งยังส่งอิทธิพลไปถึงยัง ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) นักปรัชญาที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมธีเอกแห่งฝรั่งเศสที่ทำให้ท่าที แบบอัตถิภาวนิยม (Existential Attitude) เกิดความชัดเจนเป็นระบบ จนกลายเป็นปรัชญาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) อันลือลั่นในกาลต่อมา อีกทั้งวิธีปรากฏการณ์วิทยานี้ ยังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีอิทธิพลต่อวิธีการต่าง ๆ ของปรัชญาสายภาคพื้นทวีปยุโรปจวบจนปัจจุบัน

ที่มา: รวิช ตาแก้ว, เมธา หริมเทพาธิป, และพจนา มาโนช. (2564) ปัจจัยพลังอำนาจของชาติด้านเศรษฐกิจตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง: การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์และวิธาน. รายงานวิจัย. ศูนย์ประสานการปฏิบัติการที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, หน้า 14-21.


Leave a comment