ผศ.ดร.เมธา หริมเทพาธิป
ความเป็นมาของมนุษย์นั้นไม่อาจสืบหาที่มาอันแน่นอนได้ แต่อาจคาดคะเนได้ว่า มนุษย์รู้จักรวมตัวเป็นหมู่เหล่า เป็นกลุ่ม มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าแสนปีแล้ว ในระยะแรก ๆ ได้รวมตัวกันอยู่อย่างง่าย ๆ แล้วจึงค่อย ๆ วิวัฒนาการมาจนมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นและกลายเป็นสังคมเป็นบ้านเมืองอย่างทุกวันนี้ เหตุที่มนุษย์ต้องรวมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นสังคม เป็นบ้านเมืองอย่างทุกวันนี้ก็เพราะมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกันในการทำเพื่อการดำรงชีพ หรือมีความต้องการทางกายภาพ เช่น ช่วยกันหาหรือผลิตอาหาร ช่วยกันสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัย ช่วยกันสร้างเครื่องมือหรืออาวุธ และช่วยกันป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นจากธรรมชาติหรือการรุกรานของมนุษย์ด้วยกันนอกจากนั้น มนุษย์ ยังมีความต้องการทางสังคมคือความต้องการที่จะเกี่ยวข้องผูกพันกับบุคคลอื่นซึ่งมีนักสังคมวิทยาในแต่ละยุคแต่ละสมัยได้เสนอแนวคิดการเกิดสังคมมากมาย
ในยุคกรีกโบราณ แนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ มิได้แบ่งแยกชัดเจน เป็นความคิดรวม ๆ ถ่ายทอดผ่านรูปแบบสุภาษิตและคำพังเพย ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเหล่านักปราชญ์กรีก เช่น เพลโต (Plato 427-347 ก่อน ค.ศ.), อริสโตเติล (Aristotle 384-322 ก่อน ค.ศ.) จนถึงศตวรรษที่ 17 นักปรัชญาซึ่งเป็นผู้นำความคิดเกิดขึ้นมากมาย ล้วนแต่สำคัญต่อโลกทั้งสิ้น เช่น โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes 1588-1679) จอห์น ล็อค (John Locke 1632-1704) ฌอง ชาร์ก รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau 1712-1778) ได้มีความคิดเรื่อง สัญญาประชาคม (social contract theory) ที่มนุษย์รวมอยู่กันเป็นสังคมมีพันธะสำคัญร่วมกัน ศตวรรษที่ 18 มองเตสกิเออ (Charles-Louis de Secondat, baron de La Brède et de Montesquieu 1689-1755) ได้มีแนวคิดเกี่ยวกับสังคมว่า มนุษย์ปรารถนาความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันโดยปลอดภัย การจัดการต่าง ๆ ต้องผ่านการใช้อำนาจอย่างมีความสมดุลตรวจสอบกันและกันได้
กลางศตวรรษที่ 19 ได้เกิดวิชาสังคมวิทยา มีการอธิบายรายละเอียดสังคมมากขึ้นการเปลี่ยนแปลงของสังคม ลักษณะสังคม หน้าที่สังคม มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นคือ การปฏิวัติในฝรั่งเศส การปฏิวัติอุตสาหกรรม การใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน ออกุส กงต์ (Auguste Comte 1798-1857) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่ตั้งชื่อศาสตร์ “สังคมวิทยา” แบ่งระบบสังคมตามความเชื่อเป็น 3 ระบบ คือ ระบบเทวนิยม ระบบปรัชญานามธรรม และระบบวิทยาศาสตร์ ต่อมา เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ (Herbert Spencer 1820-1903) นักปรัชญาสังคมชาวอังกฤษเป็นผู้นำทางความคิด ได้ปฏิวัติพัฒนาวิชาจิตวิทยา ชีววิทยา สังคมศึกษา และมานุษยวิทยา ทำให้การศึกษาสังคมมนุษย์มีระบบแบบแผนชัดเจนยิ่งขึ้น
ยุคใหม่แห่งศตวรรษที่ 20 สังคมวิทยาได้แยกจากสังคมศาสตร์สาขาอื่นอย่างชัดเจนมีการศึกษาลึกซึ้งเกี่ยวกับสถาบันทางสังคม หน้าที่สังคม นักปราชญ์ยุคนี้ที่สำคัญ ได้แก่ เฟอร์ดินาน โทนี่ (Ferdinand Tonnies 1855-1936) เอสเตอร์ แฟรงค์วอดร์ด (Lester Frankward 1841-1913 ) วิลเลี่ยม เกรแฮม ซัมเมอร์ (William G. Summer 1840-1910) มีการศึกษาทั้งในความต้องการของปัจเจกชนและสถาบันในองค์รวมของสังคม เช่น ปัจจัยใน 4 ประเด็น ประกอบด้วย สติปัญญา คุณธรรม เศรษฐกิจ และความสมบูรณ์ของร่างกาย โดยบุคคลมีความต้องการร่วมกันด้านอาหาร ความรัก ความพอใจ และความปลอดภัยจากความกลัวต่าง ๆ
โจนาธาน เทอร์เนอร์ (Jonathan Turner) ได้แบ่งกลุ่มทฤษฎีเกี่ยวกับสังคมเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ ศึกษาเกี่ยวกับสถาบันสังคมต้องมีหน้าที่บ่มเพาะคนในสังคมตามภาระรับผิดชอบให้รู้หน้าที่ตน
2. กลุ่มทฤษฎีความขัดแย้ง ศึกษาธรรมชาติมนุษย์ที่อยู่รวมกันหลากหลายย่อมมีการขัดแย้งเป็นธรรมดา มีการใช้อำนาจ หัวหน้ากับลูกน้อง การใช้อิทธิพลบังคับ การกำหนดกฎเกณฑ์ ซึ่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีระดับความรุนแรงต่างกันไป
3. กลุ่มทฤษฎีความสัมพันธ์สัญลักษณ์ ศึกษากลุ่มที่สานสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในสังคม การช่วยเหลือกันเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ปฏิสัมพันธ์ไมตรี สร้างสัมพันธภาพในสังคม
สาเหตุที่มนุษย์อยู่รวมกลุ่มเป็นสังคม
สาเหตุหลัก คือ มนุษย์อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวไม่ได้ ต้องอยู่รวมกับคนอื่น ๆ เป็นสังคม มีเหตุผล คือ
1. มนุษย์มีระยะเวลาการเป็นทารกนาน นับแต่อยู่ในครรภ์มารดาถึงคลอด มีชีวิตอยู่รอดเลี้ยงดูจนเติบโตกว่าจะแยกย้ายจากครอบครัวไปมีครอบครัวใหม่ มีระยะเวลาที่ยาวนานจึงต้องพึ่งพาอาศัยกันทั้งลูกเล็กและมารดา ต้องอาศัยบิดาหรือสามีในการหาเสบียงอาหารและดูแลอื่น ๆ ขณะนี้ยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้
2. มนุษย์ต้องการตอบสนองความต้องการพื้นฐานและที่หลบภัย ทั้งปัจจัย 4 ที่จำเป็นในชีวิต ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย ยังต้องการความรักความอบอุ่น เกียรติยศ ชื่อเสียง ศักดิ์ศรี เพื่อน และความปลอดภัยจากคนและสัตว์ต่าง ๆ ด้วย
3. มนุษย์ต้องการรับการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม ซึ่งวัฒนธรรมต่าง ๆ นั้นมีความหลากหลาย ยากง่ายต่างกัน ต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะ ถ่ายทอด จึงใช้เวลาอยู่ด้วยกันนาน
4. มนุษย์แบ่งงานกันทำ การอยู่ร่วมกันแบ่งหน้าที่ชัดเจนใครทำอะไร เช่น ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม การพาณิชยกรรม เทคโนโลยี ความมั่นคงภายนอกประเทศ การรักษาความสงบภายในประเทศ การศึกษา การสาธารณสุข ฯลฯ ทุกคนมีหน้าที่ชัดเจนในการอยู่ร่วมกัน ทุกคนปฏิบัติภารกิจแห่งตนให้สัมฤทธิ์ผล นำมาเรียงร้อยต่อกันแล้วได้ผลงานที่ชัดเจนขึ้น (ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท์, 2555)
องค์ประกอบของสังคม
การที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคมนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ทางกายภาพของสังคม และจิตวิทยา ตลอดจนการสืบทอดทางวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ต่างจากสัตว์โลกทั่วไป ซึ่งพิจารณาองค์ประกอบของสังคมได้ ดังนี้
1. การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม (group living) มีประชากรมากกว่า 2 คนขึ้นไป
2. มีอาณาเขตที่อยู่ร่วมกัน (territory) คือ การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม มีอาณาเขตดินแดนที่รับผิดชอบร่วมกัน เป็นสังคมเมือง สังคมชนบท
3. การรู้จักเป็นพวกเดียวกัน (discrimination) สมาชิกในสังคมจะรู้ว่าใครอยู่กลุ่มใด สังคมใดมีปัญหาจะช่วยเหลือกัน เอื้อเฟื้อกัน
4. มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน (interaction) คือ การติดต่อซึ่งกันและกัน พูดคุย มีความสัมพันธ์ทางสังคม
5. มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (relationship) มีสัมพันธภาพที่แนบแน่น เป็นอันหนึ่งอันเดียวรักใคร่ ช่วยเหลือกันและกัน
6. มีการแบ่งหน้าที่และให้ความร่วมมือกัน (division of labor and cooperation) โดยสมาชิกตลอดถึงภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของตนต่อสังคมตามความรู้ ความสามารถที่ตนมีอยู่และมีการร่วมมือกันทำประโยชน์ให้กับสังคมด้วย
7. มีระเบียบความคิด ความเชื่อ ค่านิยม และบรรทัดฐาน (idea, belief, value, norms) เพื่อสมาชิกในสังคมจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสมคล้ายคลึงกัน
8. มีสถาบันที่ให้บริการตอบสนองความต้องการ หาสมาชิกในสังคม (institutions) โดยที่สมาชิกยึดถือปฏิบัติตามกันมา คือสถาบันทางสังคมที่หลากหลาย
สถาบันทางสังคม
1. องค์กรทางสังคม (social organization) มีการรวมกลุ่ม มีตัวแทนของสถาบัน มีสมาชิกองค์กร
2. สถานภาพและบทบาท (status and role) มีตำแหน่งสถานภาพที่บอกถึงภาระหน้าที่สิทธิต่าง ๆ และบทบาทที่เกี่ยวข้องต้องทำอะไร อย่างไร ต้องปฏิบัติตามบทบาทและสถานภาพให้ตรงตามที่สังคมหรือกลุ่มกำหนด
3. หน้าที่ (function) ทำทั้งหน้าที่ที่เด่นชัดและหน้าที่ที่แอบแฝง เช่น สถาบันการศึกษามีหน้าที่ชัดเจน คือ การให้การศึกษามีความรู้ ในขณะที่หน้าที่แอบแฝง คือ การมีงานทำ คนที่สำเร็จไปแล้วมีงานทำ ลดภาระการว่างงานในสังคม เป็นต้น
4. บรรทัดฐานทางสังคม (social norms) เป็นบรรทัดฐานที่ประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องมายาวนานจนคนในสังคมยอมรับและปฏิบัติต่อกันมามิขาดตอน ทำหน้าที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมเหล่านี้ให้คนรุ่นใหม่ต่อไป
ในกลุ่มสังคมหรือระบบสังคมดังกล่าว ยังประกอบไปด้วยกลุ่มสังคมย่อยหรือระบบย่อยต่าง ๆ (sub-group) ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคม เช่น สังคมไทยประกอบด้วยกลุ่มย่อย คือ ครอบครัว รัฐบาล องค์การ เอกชน สมาคม เป็นต้น ซึ่งกลุ่มสังคมย่อยหรือระบบย่อยต่าง ๆ จะต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและต้องมีความสัมพันธ์กับระบบสังคมด้วย
เมธา หริมเทพาธิป, รวิช ตาแก้ว, พจนา มาโนช. (2564). “สังคมแห่งการแบ่งปันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง: การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์ และวิธาน”. รายงานการวิจัย. กรุงเทพฯ : ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร. หน้า 58-77.

