อ.ดร.รวิช ตาแก้ว

          การตีความเรื่องพลังอำนาจนี้เป็นแนวความคิดปรัชญาในเรื่องสิ่งที่มีภาวะทำการ (action) (being) ได้นั้นเป็นประเด็นที่ใช้ในสืบค้นหาความรู้ของปรัชญาบริสุทธิ์ในสาขาอภิปรัชญา โดยมี ความเชื่อว่า สิ่ง (thing) สามารถทำการได้สองลักษณะ กล่าวคือเป็นผู้ทำการหรือกัมมัมต์ (active) และเป็นผู้ถูกทำการหรือ อกัมมันต์ (passive) โดยเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งมีภาวะพร้อมทำการซึ่งมีสภาวะแฝงอยู่ภายใน หากได้รับการกระตุ้นเพื่อให้เกิดภาวะแฝงนี้จะทำการ ผลที่เกิดขึ้นจากภาวะการทำการนั้น เรียกว่า “อำนาจ”  หรือ “พลัง” ผลจากการทำการจึงทำให้เกิดมีอำนาจหรือพลังแตกต่างกันออกไปตามระบบความเชื่อของแต่ละกลุ่ม และสิ่งที่นำมาใช้ในการทำการนั้นใช้คำระบุคำตามความมุ่งหมายเพื่อสื่อสารตามความหมายแตกต่างกันตามระบบการรับรู้และการรู้ของมนุษย์ในแต่ละเรื่อง

          พลังทำการนั้นจะมีกำลังทำการมากหรือน้อยนั้นมีองค์ประกอบแตกต่างกันไปตามเหตุและปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดกำลังทำการตามเป้าหมายที่ต้องการ พลังทำการเป็นสาระหนึ่งของสิ่งต่าง ๆ  ถือว่าเป็นภาวะแฝง (latency) ที่มีอยู่ในสรรพสิ่ง ภาวการณ์ทำการของสิ่งบางสิ่งมีกลไกทำการในตนเองของสิ่งที่มีชีวิต นักปรัชญาบางท่านเรียกว่า “พลังชีวิต” บางท่านเรียกว่า “พลังดิ้นรน” และเกิดมีขึ้นในสิ่งที่ไม่มีชีวิต จึงเรียกว่า “พลัง” ภาวะการทำการของสิ่งจึงมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป แต่เมื่อใดที่กล่าวถึงพลังจึงบ่งบอกให้ทราบว่า สิ่งมีภาวการณ์ทำการที่พร้อมจะทำการให้เกิดผลตามเป้าหมายที่ต้องการของผู้ใช้ทำการ ดังภาพ 1

แนวคิดเรื่องพลังจึงมีการให้ความหมายทั้งในแง่มุมไว้สองแง่มุม คือ พลังการทำลายและพลังการสร้างสรรค์  ซึ่งบางครั้งในแต่ละสิ่งอาจกระทำทั้งสองอย่างพร้อมกันคือทั้งสร้างสรรค์และทำลาย หรือบางครั้งอาจเกิดขึ้นเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดตามเป้าหมายของผู้ทำการนั้น ๆ ภาวะการทำการของสิ่งต่าง ๆ จึงมีผลทั้งในแง่ดีและไม่ดี หรือแง่บวกและแง่ลบ ซึ่งในการตีความหมายผลของ             การกระทำนั้น ๆ แตกต่างกันออกไปตามเจตนาหรือวัตถุประสงค์ของผู้ทำการหรือผู้ตีความในแต่ละครั้งนั้นด้วย

จากภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่า อำนาจการทำการของสิ่งทั้งสองแง่มุม กล่าวคือเป็นได้ทั้งผู้ทำการและผู้ถูกทำการ ดังนั้นภาวะทำการที่แฝงอยู่ภายในของแต่ละสิ่งจึงกระทำได้ทั้งสองภาวะคือ ภาวะที่เป็นผู้ทำการเพื่ออำนาจทำการต่อสิ่งรอบข้าง และภาวะที่เป็นผู้ถูกทำการซึ่งเป็นภาวะที่ทนทานหรือต่อต้านต่อการถูกทำการมาจากสิ่งรอบข้าง อำนาจทำการอีกสองภาวะที่มีอยู่ภายในของสิ่ง คือ อำนาจการรวมตัว กล่าวคือเป็นกำลังที่ดึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเองมาเป็นกำลังเสริมให้แก่ตัวเองเพื่อสร้างกำลังในการยกตัวเองหรือผลักดันให้ไปข้างหน้า ด้านข้าง หรือถอยหลัง ล้วนเป็นกำลังอำนาจที่เกิดขึ้นจากการรู้จักและเข้าใจอำนาจการทำการที่มีอยู่ภายในตนซึ่งเป็นภาวะแฝงภายในตนที่มีอยู่ การเข้าใจกำลัง (อำนาจ) ของตนและการรู้จักกำหนดทิศทางในการใช้กำลังหรือใช้อำนาจจึงเป็นศักยภาพของสิ่งนั้น ๆ ด้วย

ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษ ได้แสดงแนวคิดไว้ว่า “ความรู้คือพลัง” กล่าวคือ ผู้ใดมีความรู้ถือได้ว่าผู้นั้นมีพลัง พลังอำนาจที่มาจากความรู้สามารถทำการได้ทุกสิ่งตามที่ตนเองปรารถนา จากแนวคิดนี้จึงเกิดเป็นคำกล่าวที่ใช้สำนวนว่า “พลังอำนาจ”     แนวคิดพลังอำนาจในระยะแรกมักใช้ในลักษณะความหมายแฝง กล่าวคือ กล่าวถึงเรื่องอื่น ๆ แต่มีความหมายที่ชักนำให้เข้าใจว่า ถ้ามีแล้วสามารถทำให้มีอำนาจได้มากขึ้น ซึ่งมักใช้อำนาจในสองความหมาย คือ 1) ความหมายในการทำลายสิ่งที่เป็นอุปสรรคทุกอย่าง 2) อำนาจในการสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ โดยไม่ได้ทำลายสิ่งเก่า

ความเป็นชาติในทรรศนะทางปรัชญามีที่มาทางความคิด 2 ทาง แนวทางแรกเป็นแนวทางที่ยอมรับกันในทุกชาติตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความเป็นชาติที่มีองค์ประกอบ  1) เขตแดนที่แน่นนอนชัดเจนหรือที่ตั้ง 2) ประชากร 3) อำนาจอธิปไตย 4) รัฐบาล เมื่อประกาศเป็นรัฐชาติต้องได้รับการยอมรับจากนานาชาติด้วย จึงถือได้ว่าเป็นชาติที่สมบูรณ์ นิยามนี้เป็นนิยามตามแนวคิดปรัชญาของสังคมศาสตร์ตามแนวทางของสหประชาชาติ   อีกแนวคิดหนึ่งมาจากทรรศนะในการมองประเทศที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลก ครั้งที่2 ซึ่งในบางพื้นที่ได้มีการรวมตัวกันของกลุ่มคนหลายชนเผ่าแล้วขอแบ่งแยกการปกครองออกเป็นประเทศใหม่  นานาประเทศในองค์กรสหประชาชาติหรือประเทศพันธมิตรให้การรับรองสถานะการเป็นประเทศนั้น ๆ แนวคิดการยอมรับจากนานาประเทศหรือประเทศพันธมิตรจึงเป็นปัจจัยอีกหนึ่งที่เสริมให้ประเทศได้รับการยอมรับในการมีอำนาจในการต่อรองในสังคมโลกและสังคมนานาชาติด้วย แนวคิดของความเป็นชาติจึงมี 2 แนวทาง พร้อมทั้งได้สังเคราะห์ให้เห็นว่า มีปรัชญาสาขาใดเข้ามาเกี่ยวข้องกับการยอมรับในความเป็นชาติบ้าง ดังภาพที่ 2

จากภาพที่ 2 แสดงให้เห็นทรรศนะในการเข้าใจคำว่า “ชาติ” อีกทรรศนะหนึ่งมองความเป็นชาติที่เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีเผ่าพันธุ์เดียวกัน รวมตัวกัน กลุ่มคน กลุ่มชนชาติหรือกลุ่มเชื้อชาติ  จนเป็นประเทศ ซึ่งมีประเทศบางประเทศที่เกิดขึ้นตามแนวคิดนี้ แม้ว่าในประเทศมีกลุ่มชนอื่น ๆ  ก็ถูกรวมเป็นชนชาติเดียวกันแต่ต่างเชื้อชาติ ทรรศนะในการมองชาติที่มีที่มาแตกต่างกันในแง่มุมประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ สาระในส่วนนี้นำมาซึ่งความน่าเชื่อถือของประเทศที่นานาประเทศให้ความสำคัญด้วย และอีกทรรศนะหนึ่งเป็นการยอมรับความเป็นตามข้อตกลงกันในสหประชาชาติ

ในทรรศนะทางปรัชญาของสังคมศาสตร์ ได้วางระบบความเป็นชาติไว้ในลักษณะที่เป็นการรวมตัวของกลุ่มคน ชนชาติ ที่ยอมรับร่วมกันเพื่อวางขอบเขตตามที่แต่ละกลุ่มได้ตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย ดังภาพ 3 แสดงให้เห็นว่า ความเป็นชาติอยู่ในกรอบความคิดทางปรัชญาของสังคมศาสตร์ โดยมีความคิดทางปรัชญาของนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการให้เกิดระบบความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งในระดับกลุ่มคน ชนชาติ และนานาชาติ ซึ่งถ้ามีทรรศนะตามแนวคิดนี้จะมีปรัชญาของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทูตเข้ามารองรับการอยู่ร่วมกันในระดับสังคมโลก  

 ในยุคปัจจุบันแนวคิดที่เกี่ยวกับ “ชาติ” เปลี่ยนแปลงไม่คงตัว และมีความหลากหลายมากขึ้น ทรรศนะในการมองความเป็นชาติไม่เป็นประเด็นหลัก แต่ให้ความสำคัญและสนใจต่อการเจริญเติบโตของชาติทางด้านเศรษฐกิจมากกว่า

รวิช ตาแก้ว, เมธา หริมเทพาธิป, และพจนา มาโนช. (2564). “ปัจจัยพลังอำนาจของชาติตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง : การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์ และวิธาน”. รายงานการวิจัย. กรุงเทพฯ : ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร.


Leave a comment