อ.ดร.รวิช ตาแก้ว

ภูมิศาสตร์ เป็นคำสมาส มาจากคำว่า “ภูมิ” แปลว่า แผ่นดิน “ศาสตร์” แปลว่า ตำราหรือวิชา ถ้าจะแปลตามตัวก็หมายถึงวิชาที่ว่าด้วยแผ่นดิน คำนี้มาจากภาษาอังกฤษว่า Geography ซึ่งเป็นคำมาจากรากศัพท์ภาษากรีก 2 คำคือ geo หมายถึงโลก (earth) และ graphos หมายถึง การอธิบาย (description) ภูมิศาสตร์จึงเป็นการอธิบายโลกผ่านประสบการณ์ของมนุษย์โดยเน้นที่สิ่งปรากฏเป็นรูปธรรม ภูมิศาสตร์จึงเป็นวิชาที่ต้องศึกษาทั้งด้านขบวนการทางกายภาพ (Physical processes) และขบวนการทางด้านวัฒนธรรม (Cultural processes) ดังนั้น ในการศึกษาจึงมุ่งไปที่ปัจจัย 3 ประการ คือ สถานที่ (space) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (holism) และความสัมพันธ์ของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม (Man-environment relationship) ให้เกิดความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์และธรรมชาติแวดล้อมเพื่อนำมาแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ได้ เช่น ปัญหาความเกลียดชัง ปัญหาความไม่เข้าใจกัน ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ การแก้ปัญหาเหล่านี้จะทำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันบนโลกได้อย่างสันติสุข

การที่ภูมิศาสตร์เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์จึงไม่ได้เป็นการศึกษาที่เน้นไปที่เรื่องสสารต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นโลกเป็นหลักอย่างวิชาธรณีวิทยา ปัจจัยทางภูมิศาสตร์จึงเชื่อมโยงกับหลักการของสายวิชาการแขนงอื่น ๆ เช่น ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์การเมือง ภูมิศาสตร์การขนส่ง ภูมินิเวศ ภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว ภูมิศาสตร์ประชากร  เป็นต้น (ณัฐวิคม พันธุวงศ์ภักดี และเกียรติศักดิ์ ตั้งรุ่งเรืองอยู่, ๒๕๖๔) การศึกษาวิชาภูมิศาสตร์ในปัจจุบัน แบ่งตามลักษณะเนื้อหาความรู้ได้ ๕ สาขา ดังนี้  (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ, ๒๕๕๙)

1) ภูมิศาสตร์กายภาพ  (Physical Geography)  หมายถึง สภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ

2) ภูมิศาสตร์ภูมิภาค (Regional Geography) หมายถึง การศึกษาเรื่องประเทศต่าง ๆ หรือ เขตต่าง ๆ ในประเทศหนึ่ง

3) ภูมิศาสตร์มนุษย์ (Human  Geography) หมายถึง วัฒนธรรมของมนุษย์ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่เกี่ยวกับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ คือ ภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เข้ามากระทบ และทำให้การดำรงชีวิตของมนุษย์เป็นไปต่าง ๆ เช่น เราอยู่เมืองไทย แต่แต่งกายแบบคนฝรั่ง กินอาหารฝรั่ง  ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เป็นด้วยภูมิศาสตร์อีกนั่นแหละ ได้แก่ ภูมิศาสตร์การคมนาคม คือ การติดต่อกันได้ก็มีการถ่ายทอดวัฒนธรรม ภูมิศาสตร์การพัฒนา คือ แนวทางการพัฒนา การวัดระดับการพัฒนา ก็อยู่ในภูมิศาสตร์มนุษย์นั่นเอง

4) ภูมิศาสตร์เทคนิค  (Geographic Techniques) เช่น การทำแผนที่ อ่านแผนที่ นอกจากแผนที่ที่บอกเขตและระดับความสูงแล้ว (Topographic Map) ยังมีแผนที่เฉพาะเรื่อง (Thematic Map) ยังมีการศึกษาจากภาพถ่ายทางอากาศ คือการถ่ายภาพโดยตั้งกล้องบนเครื่องบิน บอลลูน อากาศยานเล็กที่เรียกว่า drone การคำนวณระยะทาง พื้นที่ และความสูงจากภาพถ่ายทางอากาศ (Photogrammetry) การใช้ภาพถ่ายดาวเทียม GPS (Global Positioning System)  กำหนดตำแหน่งบนโลก งานภาคสนาม การวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้เมื่อมีจำนวนมากจึงมีการจัดการประมวลอย่างเป็นระบบที่เรียกว่า ภูมิสารสนเทศ

5) ภูมิสารสนเทศ  (Geographic Information System – GIS) เป็นการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial  Data) โดยรวบรวมข้อมูล จัดเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และจัดการข้อมูล บางครั้งเรียกว่า Geoinformatics คือ ใช้ข้อมูลในทางภูมิศาสตร์ การทำแผนที่วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพื้นพิภพ (Geosciences  หรือ  Earth Sciences) รวมทั้งสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรม ที่เกี่ยวข้อง ช่วยในการวางแผน

ความสำคัญของปัจจัยด้านภูมิศาสตร์

ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์มีความสำคัญระหว่างมนุษย์กับพื้นที่และสิ่งแวดล้อม เพราะบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ทางกายภาพที่เป็นตัวกำหนดปัจจัยต่อมนุษย์ ณ ที่นั้น ๆ เพื่อปรับตัวให้สมดุลเหมาะสมไปตามบริบท ทั้งจากด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมมนุษย์จนส่งผลออกมาเป็นวิถีชีวิตและกระจาย ภูมิปัญญาที่ได้มาเป็นวัฒนธรรมสืบต่อกันไป จึงกล่าวได้ว่า ภูมิศาสตร์มีอิทธิพลต่อมนุษย์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ในสมัยก่อนมนุษย์ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพของภูมิศาสตร์ พื้นที่จึงมีอิทธิพลต่อความคิดของมนุษย์และสามารถเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้ เฉกเช่นมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงพื้นที่ตามความต้องการของมนุษย์ ดังนั้น พื้นที่ไม่ได้ถูกกระทำจากมนุษย์ได้เพียงอย่างเดียว ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์จึงมีอิทธิพลต่อการอยู่หรือย้ายถิ่นฐานของมนุษย์ แต่ปัจจุบันเมื่อมนุษย์สามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้มากขึ้นมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในภูมิศาสตร์ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา มนุษย์จึงจำเป็นต้องศึกษาภูมิศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาที่มนุษย์ได้ก่อขึ้น และพัฒนาร่วมกับปัจจัยด้านอื่น ๆ ในการพัฒนาประเทศ

มุมมองปรัชญา

ปรัชญาของภูมิศาสตร์เป็นปรัชญาประยุกต์สาขาหนึ่งที่ใช้วิธีวิทยาทางภูมิศาสตร์ทั่วไปเพื่ออธิบายคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอภิปรัชญา และญาณปรัชญา เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์และคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ที่เชื่อมกันทั้งหมดในพื้นที่นั้น ๆ ทั้งในด้านภูมิศาสตร์ภูมิภาค ภูมิศาสตร์กายภาพ ภูมิศาสตร์มนุษย์ เทคนิคทางภูมิศาสตร์ และภูมิสารสนเทศ องค์ความรู้ด้านภูมิศาสตร์ในระยะแรกเป็นความรู้ที่ใช้แบ่งเพื่อการเพาะปลูก ในปัจจุบัน ได้ขยายองค์ความรู้ครอบคลุมออกไปรอบด้านทั้งจากพื้นดินลงสู่ใต้ดินและขึ้นไปเบื้องบนในอากาศ ดังนั้น ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์จึงมีความหมายครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น และเชื่อมโยงเข้าสู่การอยู่รวมกันของประชากร สังคมและทรัพยากรต่าง ๆ ที่อยู่ในขอบเขตประเทศของแต่ละประเทศ ความรู้ด้านภูมิศาสตร์จึงเป็นปัจจัยหลักอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อประเทศ อย่างไรก็ตามเมื่อวิเคราะห์ สังเคราะห์ในทรรศนะของปรัชญา พบว่า ปรัชญาของภูมิศาสตร์มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับอภิปรัชญาซึ่งจัดอยู่ในปรัชญาของสสาร

ปรัชญาของภูมิศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาของสสารซึ่งมีที่มาจากสาขาอภิปรัชญาในส่วนที่เป็นสาระที่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นสสาร ซึ่งมีองค์ประกอบ 10 ประการ (Predicaments) คือ 1) สาระ (substance) 2) ปริมาณ (quantity) 3) คุณภาพ (quality) 4) ความสัมพันธ์ (relation) 5) สถานที่ (place) 6) กาล (time) 7) ลักษณะการตั้งท่า (position)    8) สถานะ (state) 9) กัตตุภาวะ (action) และ 10) กัมภาวะ (passion) เมื่อนำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในปรัชญาของภูมิศาสตร์ จึงประกอบด้วยสาระต่าง ๆ ที่ได้ระบุถึงตำแหน่งที่ตั้งแตกต่างกัน องค์ประกอบที่แตกต่างกัน สถานะขององค์ประกอบ สภาพใต้พื้นพิภพ มหาสมุทร อายุที่กำเนิด ทรรศนะของปรัชญาความรู้ส่วนนี้เป็นสาระอภิปรัชญาของปรัชญาบริสุทธิ์ เมื่อนำเข้าสู่ปรัชญาประยุกต์ บางเรื่องถูกนำไปเป็นแนวคิดปรัชญาหลากหลายสาขาวิชา อาทิ ปรัชญาของวิทยาศาสตร์ ปรัชญาของดาราศาสตร์

ในทรรศนะของปรัชญาของภูมิศาสตร์ในส่วนนี้เป็นความรู้ที่ใช้บ่งชี้ขอบเขต ที่ตั้ง และภาวะความเป็นอยู่ของทุกอย่างที่มีอยู่ภายในขอบข่ายที่ตั้งของแต่ละประเทศ ความรู้ ด้านภูมิศาสตร์จึงเป็นปัจจัยหลักอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ที่บ่งชี้สถานะความมีอำนาจของประเทศ  ซึ่งในปัจจุบันนั้นหมายความรวมถึงภูมิสังคม และภูมิวัฒนธรรมด้วย

วิช ตาแก้ว, เมธา หริมเทพาธิป, และพจนา มาโนช. (2564). “ปัจจัยพลังอำนาจของชาติตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง : การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์ และวิธาน”. รายงานการวิจัย. กรุงเทพฯ : ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร. หน้า 149-153.


Leave a comment