อ.ดร.รวิช ตาแก้ว
ความนำ
การค้นหาความรู้เรื่องคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งหมายรวมถึงความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการรู้จากการคิดด้วย และความเข้าใจที่ได้จากการรู้และเข้าใจคุณค่าของการรู้คิดส่งผลให้มนุษย์ได้รู้จักการแยกแยะ การเปรียบเทียบจนสามารถพัฒนาระบบการรู้อย่างเป็นเหตุและเป็นผลได้ชัดเจนมากขึ้น อาริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักปรัชญาที่ถือได้ว่าเป็นผู้วางหลักการพื้นฐานการคิดไว้อย่างชัดเจน และได้วางหลักความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานแห่งความเข้าใจของมนุษย์ที่มาจากการรู้จักแยกแยะเชิงตรรกตามรูปแบบนิรนัย (deduction) และอุปนัย (induction) ไว้ เพื่อการค้นคว้าการรู้ และยืนยันการรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏให้รับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้นั้นเป็นอัญรูปแห่งภาวะ (predicament) ที่มีลักษณะ ๑๐ ประการ คือ ๑) สาระ (substance) ๒) ปริมาณ (quantity) ๓) คุณภาพ (quality) ๔) ความสัมพันธ์ (relation) ๕) สถานที่ (place) ๖) กาล (time) ๗) ลักษณะการตั้ง หรือท่า (position) ๘) สถานะ (state) ๙) กัตตุภาวะ (action) และ ๑๐) กัมภาวะ (passion) ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นหลักการขั้นพื้นฐานของการคิด
คุณค่าของการรู้คิดส่งผลเกิดความเข้าใจในคุณค่าความจริง (truth) และจากค่าของความจริงที่เชื่อถือนำไปสู่การประยุกต์ใช้เป็นเกณฑ์สำหรับการตัดสินรูปแบบการรู้สิ่งอื่น ๆ ต่อไปตามเงื่อนไขแห่งภาวะนั้น ๆ จนกระทั่งเป็นความเชื่อเชิงทฤษฎีความจริงแบบสมนัย (correspondence theory of truth) ทฤษฎีความจริงแบบสหนัย (coherence theory of truth) และทฤษฎีความจริงแบบปฏิบัตินิยม (pragmatic theory of truth)
อิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant) ได้นำเสนอว่า ความเข้าใจของมนุษย์มีรูปแบบของความเข้าใจโดยแบ่งหลักการสัมพันธ์แห่งความเข้าใจ (relation of understanding) ของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของแบบบริสุทธิ์ (Pure Form) มี ๔ หมวด ๑๒ ประเภท คือ
- หมวดปริมาณ มี ๓ ประเภท คือ (๑) เอกภาพ (unity) (๒) พหุภาพ (plurality) (๓) สรรพภาพ (totality)
- หมวดคุณภาพ มี ๓ ประเภท คือ (๑) การยืนยัน (affirmation) (๒) การปฏิเสธ (negation) (๓) การจำกัด (limitation)
- หมวดความสัมพันธ์ มี ๓ ประเภท คือ (๑) อนุสยภาพ (inherence) และธารณภาพ (subsistence) (๒) เหตุภาพ (causality) และนิสสยภาพ (dependence) (๓) ความอยู่ร่วมกัน (community)
- หมวดอัญรูปกภาพ (modality) มี ๓ ประเภท คือ (๑) ความเป็นไปได้ (possibility) และความเป็นไปไม่ได้ (impossibility) (๒) ความมีอยู่ (existence) และความไม่มีอยู่ (non-existence) (๓) ความจำเป็น (necessity) และความบังเอิญ (contingence)
แนวคิดคานท์ไม่มีใครเชื่อ ส่งผลให้เกิดกระแสคิดโต้แย้ง และนำไปเสริมให้แนวคิดวิทยาศาสตร์เข้มแข็ง มากขึ้นจนสามารถพัฒนาศาสตร์แห่งการรู้ได้หลากหลายสาขาวิชา ตามความสนใจใคร่รู้ของมนุษยชาติ แต่ความรู้ใดที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ก็ถูกละเลยเพราะว่าไม่ได้ให้คุณค่าเชิงการรู้ที่น่าเชื่อถือ
บทความนี้ใช้ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเป็นสาระสำหรับการค้นหา ข้อเชื่อที่แตกต่าง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขเชิงความคิดและความเชื่อที่แตกต่าง ให้เข้าใจในระบบความคิดและความเชื่อเชิงปรัชญาที่ได้พัฒนาระบบความคิดเพื่อการพัฒนาการรู้เชิงคุณค่าให้แจ่มชัดมากขึ้นในสังคมไทย
พัฒนาการความคิดทางปรัชญา
การเข้าใจภาพความคิดในทางปรัชญาเป็นการย้อนถามเพื่อสืบค้นคุณค่าของความเป็นจริง (reality) ความจริง (truth) และสัญญะ (sign) ที่การสื่อสาร ว่าได้ การส่งข่าวสารได้สะท้อนถึงคุณค่าที่แท้ของความคิดที่เกิดขึ้นจากการรู้และเข้าใจ โลกแห่งความเป็นจริง ได้มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้เพื่อการบรรลุถึงเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้สนใจในช่วงเวลาระยะสั้น ศ.กีรติ บุญเจือ ได้ปรับใช้ความคิดทางปรัชญาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยอ้างอิงจากการแบ่งยุคสมัยตามแนวคิดเชิงประวัติศาสตร์ เป็นแนวคิดปรัชญากระบวนทรรศน์ ๕
ความเชื่อพื้นฐานได้กำหนดแนวคิดของบุคคลแต่ละคนและแต่ละกลุ่ม เป็นกฎเกณฑ์และหลักการที่สามารถรับรู้ได้จากปรากฏการณ์ในธรรมชาติ เช่น ความเชื่อในความสม่ำเสมอของธรรมชาติของไอแซก นิวตัน (Isaac Newton) ความเชื่อในความสม่ำเสมอของธรรมชาติเป็นเพียงสถิติไม่สมบูรณ์ในตัวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) และแนวคิดเรื่องกระบวนทรรศน์ (paradigm) เป็นทรรศนะในการรับรู้และความเข้าโลกของทอมัส คูห์น (Thomas Kuhn) จึงได้สรุปเป็นแนวคิดปรัชญากระบวนทรรศน์ ๕ สำหรับใช้เป็นแนวทางการปลูกฝังความคิดทางปรัชญาให้แก่บรรดาผู้สนใจใคร่รู้เรื่องปรัชญาในสังคมไทย และใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการทำความเข้าใจต่อวิธีคิดทางปรัชญาของมนุษย์ แนวคิดปรัชญากระบวนทรรศน์ ๕ มีดังนี้
๑. กระบวนทรรศน์ดึกดำบรรพ์ (primitive paradigm) ซึ่งบางคนเรียกว่า กระบวนทรรศน์ก่อนปรัชญา (before philosophy paradigm) เริ่มตั้งแต่มนุษย์รู้จักการคิด มีความเชื่อว่า เอกภพไม่มีกฎเกณฑ์ในตัว เหตุการณ์ทุกอย่างจึงเกิดขึ้นตามยถากรรมหรือตามน้ำพระทัยของเบื้องบนซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นอะไร ยอมรับว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ที่กำลังเผชิญหน้า รู้เพียงว่า ต้องเอาใจสิ่งบางสิ่งที่กำลังกระทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ สิ่งใดที่ให้ผลประโยชน์มากกว่าก็หันไปพึ่งพิงสิ่งนั้น ผันแปรและยอมรับไปตามผลประโยชน์ที่ได้รับ
๒. กระบวนทรรศน์โบราณ (ancient paradigm) เชื่อว่า โลกนี้มีกฎเกณฑ์ ทุกอย่างในเอกภพรวมทั้งเทพทั้งหลายอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ ความเชื่อเรื่องเทพต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ควบคุมในแต่ละเรื่อง เช่น พระแม่คงคา พระแม่โพสพ
๓. กระบวนทรรศน์ยุคกลาง (medieval paradigm) เชื่อว่า กฎเกณฑ์ของเอกภพไม่สามารถให้ความสุขแท้สมบูรณ์แบบซึ่งมีได้ในโลกหน้าเท่านั้น จากแนวคิดนี้ จึงเกิดศาสนสถานตามแนวคิดและความเชื่อที่มีขนาดใหญ่มากมาย
๔. กระบวนทรรศน์สมัยใหม่ หรือนวยุค (modern paradigm) เชื่อว่า วิธีการวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่จะเข้าถึงกฎของเอกภพได้ ซึ่งอาจโยงใยถึงกันได้ด้วยกฎตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ เป็นระบบเครือข่ายที่มีกฎเป็นปมข่ายและการโยงเป็นใยข่าย ซึ่งสามารถรู้ได้จริงและสร้างภาษาอุดมคติให้ความหมายได้ตรง แนวความเชื่อนี้เรียกว่า ลัทธิโครงสร้าง (structuralism) คือ เชื่อว่า ภาษา(สิ่งที่ใช้สื่อสาร) ความเป็นจริง(สิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติ) และความจริง(ความเชื่อที่อยู่ในสมอง) กฎทั้งสามนี้ตรงกัน และถือว่าเป็นหลักการเข้าถึงการรู้อย่างแท้จริง
๕. กระบวนทรรศน์หลังนวยุค (postmodern paradigm) เป็นท่าทีที่ไม่ไว้วางใจวิธีการวิทยาศาสตร์ พวกหนึ่งได้ชื่อว่า พวกรื้อถอน (deconstructionist) คือ เชื่อว่ากฎเกณฑ์ทั้งหลายเป็นเพียงเครื่องมือช่วยการคิดและการสื่อสาร ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า จริง-เท็จเพียงใด ระบบเครือข่ายจึงเป็นเพียงวาทกรรม (discourse) แนวคิดทางปรัชญาเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มหลังนวยุคสุดขั้ว (extreme postmodernist) อีกพวกหนึ่งเป็นพวกรื้อสร้างใหม่ (reconstructionist) คือ เชื่อว่าไม่มีใครรู้กฎเกณฑ์ได้ทั้งหมดแต่ผู้เดียว และเท่าที่รู้ก็อาจถูกบ้างผิดบ้าง ระบบเครือข่ายจึงเป็นความรู้ของแต่ละคนที่สร้างขึ้นไว้ใช้ส่วนตัว มนุษย์จึงควรเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดกันและกันเพื่อแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง กลุ่มนี้พัฒนาเป็นกลุ่มหลังนวยุคสายกลาง (moderate postmodern) โดยใช้หลักการของปรัชญากระบวนทรรศน์เป็นแนวทางทำความเข้าใจปรัชญาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์การคิดของมนุษย์ และหลักการอรรถปริวรรตตามแนวคิดหลังนวยุคสายกลาง ด้วยการย้อนอ่านทั้ง ไม่ละทิ้ง และคัดเลือกที่มีประโยชน์มาพัฒนาการคิดเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่มีปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแกนหลักในการตีความ
แนวคิดลัทธิรื้อถอน (deconstructionism) เป็นลัทธิย่อยของลัทธิหลังนวยุค (postmodernism) ที่ใช้วิธีอรรถปริวรรตอย่างเข้ม (strong hermeneutics) หรือการตีความแบบเคร่ง เช่น ความคิดของฌัก แดร์ริดา (Jacques Derrida, ) และมีแชล ฟูโก (Michael Foucault, ) ที่เชื่อว่าความจริงมีแต่การเลื่อนไหล (deference) ไปตามลำดับเวลา จึงต้องเลื่อนนิยามไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จบ มาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเชื่อใหม่
อรรถปริวรรตวิธี (hermeneutics) เป็นวิธีการเข้าใจความหมายของคำ ด้วยวิธีตีความโดยทำความเข้าใจก่อนแสดงความเข้าใจออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ ภาษาอังกฤษคำนี้ได้มาจากชื่อเทพเฮอร์มิส (Hermes) ผู้เข้าใจความประสงค์ของเทพเป็นภาษาเทพแล้วนำมาแสดงเป็นภาษามนุษย์ให้มนุษย์เข้าใจ อรรถปริวรรตวิธีประกอบด้วย ๑) การแปล (translation) คือ การแสดงออกด้วยภาษาที่ต่างกับภาษาเดิมโดยรักษาเนื้อหาไว้ ๒) การตีความ (interpretation) คือ การแปลความหมายในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามความเห็นของผู้ตีความ ๓) การตีความคัมภีร์ไบเบิล (exegesis) ๔) การอธิบาย (explanation) หรืออรรถาธิบาย (commentary) คือ การแสดงความเข้าใจโดยขยายความ
การตีความอาจใช้วิธีเคร่งเกินไป (strong hermeneutics) หรือวิธีอ่อนเกินไป (weak hermeneutics) หรือวิธีตีความแบบสายกลาง (moderate hermeneutics)
ปรัชญาอรรถปริวรรต (hermeneutic philosophy) ประมวลแนวความคิดทางปรัชญาที่เป็นผลจากการใช้อรรถปริวรรตวิธี (hermeneutics) ตีความข้อความที่น่าสนใจ เช่น ตีความข้อความในคัมภีร์ (scripture) ข้อเชื่อ (creed) สูตร (formula) ทฤษฎี (theory) ตลอดจนข้อความในวรรณกรรม (literary passage)
ปรัชญาอรรถปริวรรตอาจเรียกชื่อตามสำนักที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกันโดยตรง เช่น ลัทธิหลังนวยุค (postmodernism) ลัทธิหลังโครงสร้าง (post-structuralism) ปรัชญาหลังวิเคราะห์ (post-analytic philosophy) นักปรัชญาบางคนอาจสังกัดมากกว่า ๑ สำนัก เพราะแสดงบทบาทตอบโต้กับหลายสำนัก
ปรัชญาอรรถปริวรรตแบ่งตามลักษณะของเนื้อหาที่ยอมเชื่อออกเป็น ปรัชญาอรรถปริวรรตอย่างอ่อน (weak hermeneutic philosophy) ปรัชญาอรรถปริวรรตอย่างเข้ม (strong hermeneutic philosophy) ปรัชญาอรรถปริวรรตอย่างลึก (deep hermeneutic philosophy) และปรัชญาเลยขอบเขตอรรถปริวรรต (beyond hermeneutic philosophy)
แนวคิดปรัชญาอรรถปริวรรตนี้ กลุ่มปรัชญาหลังนวยุคใช้เป็นเครื่องมือในการตีความ และสร้างความหมายใหม่ โดยใช้กระบวนการสร้างสรรค์ ปรับตัว ร่วมมือ และแสวงหา และใช้หลักการสามกล้าของลัทธิอัตถิภาวะนิยม คือ กล้าเผชิญปัญหา กล้าตัดสินใจ และกล้ารับผิดชอบในการกระทำ เป็นเครื่อมือในการคิดแก้ไขปัญหาของสังคมเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี
ผลจากการมีแนวคิดปรัชญาหลังนวยุค ศาสตร์สาขาวิชาต่าง ๆ ได้นำแนวคิดดังกล่าวไปปรับประยุกต์ใช้ตามสาระของแต่ละขอบข่ายสาขาวิชา ความหมายถูกขยายความออกไปตามขอบข่ายของละศาสตร์สาขาวิชาตามที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อการพัฒนากรอบความคิดในแต่ละศาสตร์
ข้อสรุปเชิงคุณค่าจากพัฒนาการเชิงการคิด
ผลจากการรู้คิดทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาตนเองและสังคม ให้มีความก้าวหน้าควบคู่ไปกับการพัฒนาการรู้ และความรู้ที่พัฒนาสามารถสรุปได้ ๓ ลักษณะ คือ ๑) ความรู้ด้านศาสนา ๒) ความรู้ด้านศาสตร์ ๓) ความรู้ด้านศิลป์ ความรู้ทั้ง ๓ ลักษณะนี้ ถือเป็นความรู้ของมนุษย์ที่ต้องใช้เป็นการรู้พื้นฐานสำหรับการพัฒนาตนเองทั้งในระดับบุคคล(ปัจเจก) และพัฒนาสังคม เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีร่วมกันอย่างปรกติสุข
ข้อสรุปเชิงคุณค่าจากการคิดมีดังนี้
๑) ความรู้ด้านศาสนา เป็นความรู้ที่ใช้การคิดเชิงเหตุผลและความรู้สึกที่ผสมประสานกันตามความเข้าใจของบุคคล จนเกิดเป็นข้อเชื่อและความเชื่อขั้นพื้นฐานที่นำเข้าสู่การฝึกปฏิบัติตามวิถีของแต่ละศาสนา จนเกิดแรงบันดาลใจและศรัทธาอย่างแรงกล้า สร้างเป็นพันธสัญญาเฉพาะตนเพื่อการยึดถือสำหรับตนตามวิถีศาสนา ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของแต่ละศาสนา
๒) ความรู้ด้านศาสตร์ เป็นความรู้ที่ใช้การคิดเชิงเหตุผลและการปฏิบัติตามระบบ จนเกิดเป็นข้อเชื่อ ความเชื่อขั้นพื้นฐานที่นำเข้าสู่หลักการคิด การปฏิบัติตามหลักการ แนวคิด ทฤษฎี เพื่อการเข้าถึงความเป็นจริงตามความอยากรู้ของแต่ละศาสตร์ ตามมูลบทที่ใช้เริ่มต้นในการแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนาการรู้ให้เป็นระบบ
๓) ความรู้ด้านศิลป์ เป็นความรู้ที่ใช้ความรู้สึก เหตุผลและการปฏิบัติ จนเกิดเป็นข้อเชื่อ วิธีการ กระบวนการ ความเชื่อขั้นพื้นฐานที่นำเข้าสู่หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ในการสร้างสรรค์ชิ้นงาน โดยการใช้สื่อหรือวัสดุที่มีในช่วงเวลาที่ต้องการแสดงออกตามความรู้สึกของผู้สร้างสรรค์ เพื่อนำเข้าสู่สุนทรียภาพตามความรู้สึกที่ได้รับรู้และถ่ายทอดไว้ในชิ้นงาน หรือผลงานที่หลากหลาย
ความรู้ทั้งสามด้านถูกนำมาปรับประยุกต์ใช้ในวิถีชีวิตประจำวัน เป็นขนบ ธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และอารยธรรม ตามลำดับ การรู้คิดและความเข้าใจในคุณค่าของความคิด มนุษย์ได้สร้างสรรค์ความรู้ด้านต่าง ๆ มากมาย ทำให้เกิดการแข่งขันในด้านความรู้ การจัดการ การคิดสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและการรู้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี
ปรากฏการณ์เชิงคุณค่าในสังคมไทย
สังคมไทยใช้และพัฒนาการรู้คิดเชิงคุณค่ามาโดยตลอด แต่ได้ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องและวิวัฒน์ไปตามบริบทที่ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสโลก จากความเชื่อเรื่องผี เรื่องเทพ เรื่องศาสนา เรื่องศาสตร์ เรื่องศิลปะเรื่องวิทยาศาสตร์ ปรับและเลือกใช้อย่างรู้คุณค่าตามช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป
ทรรศนะการมองเชิงคุณค่าในบทความนี้ เป็นการมองจากปรากฏการณ์ในสังคมไทย ช่วงเวลา ๒๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๔๗ – ๒๕๖๗) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แนวคิดปรัชญาลัทธิหลังนวยุค (postmodernism) ถูกนำมาใช้ในการขับเคลื่อนสังคมไทยช่วง ๒๐ ปีนี้ได้สร้างความหวั่นไหวต่อระบบความคิดและความเชื่อของสังคมไทยอย่างท้าทาย กระทบต่อระบบความเชื่อและความคิดของสังคมไทยจึงต้องตระหนัก ย้อนคิดและย้อนศึกษาค้นคว้า สืบค้นส่วนที่มีคุณค่าต่าง ๆ ที่มีอยู่สังคมไทยแต่ดั้งเดิมจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เพื่อย้ำเตือนว่าการรู้เชิงคุณค่าในสังคมหลายเรื่องถูกละเลย หลงลืมและกำลังเลือนหายไปจากสังคมไทย
กระแสผลักดันที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมได้สร้างความกังขาและความหวั่นไหวต่อระบบความคิดและความเชื่อของสังคมไทย และเป็นเสมือนเงื่อนไขหนึ่งที่สังคมไทยต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ โดยการคัดสรรสิ่งที่ดีนำมาปรับใช้เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี
ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ของสังคมไทยวางบนฐานความคิดและความเชื่อแบบทวินิยม คือ เชื่อมนุษย์ว่าเป็นส่วนประกอบกันระหว่างกายกับจิต ได้ออกแบบวิธีคิดไว้ตามขนบ ธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และอารยธรรม ทั้งที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวน้ำ ชาวนา ชาวป่า และอิทธิผลของอารยธรรมต่าง ๆ ได้พัฒนาให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยการเลือกสรรสิ่งที่ดีสำหรับการดำรงชีพ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งในส่วนที่ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับจิต และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกาย
ความเชื่อเชิงคุณค่าที่มีอยู่ในสังคมไทยจึงถูกวางไว้ในขนบ ธรรมเนียม ประเพณีที่แต่ละพื้นที่ได้จัดวางไว้อย่างผูกพันไว้กับสภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ ในแต่ละถิ่น ทำเกิดเป็นความเชื่อประจำกลุ่ม และประจำถิ่น ตามความเชื่อทางศาสนาที่เคารพนับถือ ได้กล่อมเกลา หล่อเลี้ยงให้เกิดเป็นสำนึกเชิงคุณค่าอย่างผูกพันและคุ้นเคย ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และครองเรือน จึงเกิดเป็นความซาบซึ้งและศรัทธาได้เพราะได้รับการกล่อมเกลาจากสังคม ความเลือนเชิงคุณค่าแม้จะเกิดขึ้นก็ไม่รวดเร็วนัก ทุกคนชุมชนสามารถปรับตัวได้ตามวิถีของชุมชนเกตรกรรม
ในช่วงเวลานี้ (เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๗) คุณค่าของความเชื่อแบบดั้งเดิมที่มีลักษณะเป็นทวินิยมถูกตั้งคำถามโต้แย้งและถูกด้อยค่า ด้วยแนวคิดแบบรื้อถอน โดยมีทรรศนะว่า สังคมไทยแต่เดิมได้สร้างวาทกรรมของผู้มีชัยชนะเพื่อกดขี่ผู้ที่ด้อยกว่า ประวัติศาสตร์จึงเป็นเพียงเรื่องเล่า (narrative) และวาทกรรม (discourse) คนรุ่นใหม่ควรมีวาทกรรมเป็นขอ งตนเองโดยไม่ต้องพึงพาวาทกรรมของคนรุ่นเก่า คำและความหมายของคำต้องสร้างความเข้าใจใหม่บนความหมายแบบสากลที่เชื่อถือว่า ถูกต้องกว่าและเป็นสากลกว่า โดยไม่สนใจคำและความหมายเดิมที่มีรากความคิดทางวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาแต่เดิม
การเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่มีค่านิยมทางวัฒนธรรมมามุงเนนค่านิยมทางวัตถุ ปจจุบันสังคมไทยตกอยูในภาวะกระแสทุนนิยม พาณิชย์นิยม และวัตถุนิยม รวมทั้งขาดความภาคภูมิใจในความเปนไทย ขาดความรักและความผูกพันกับทองถิ่น การยอมรับในภูมิปญญาไทย ภูมิปญญาทองถิ่นอันเปนรากเหงาไทยแตเดิมมีนอย ทุกวันนี้ สังคมไทยไดรับวัฒนธรรมตะวันตกที่ผานสื่อตาง ๆ โดยปราศจากการเลือกสรร กลั่นกรอง จนเกิดการซึมซับดัดแปลงละทิ้งวัฒนธรรมเดิมรับเอาวัฒนธรรมอื่นมาเปนของตน เกิดการครอบงำทางวัฒนธรรม ในขณะเดียวกันก็สรางคานิยมและทัศนคติที่ขัดแยง ระหวางคนรุนเกาและคนรุนใหม สภาพวิถีชีวิตไทย เอกลักษณวัฒนธรรมที่ดีงามถูกเบี่ยงเบนและเปลี่ยนแปลง นำมาซึ่งปญหาความเสื่อมโทรม ทางศีลธรรม คุณธรรมและปญหาตาง ๆ
ปรากฏการณ์เชิงคุณค่าที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมาจากค่านิยมทางวัตถุ ที่มีความเชื่อตามแบบสัมพัทธนิยมเชิงจริยศาสตร์ ที่เชื่อว่า หลักการทางศีลธรรมขึ้นอยู่กับการกำหนดของสังคม วัฒนธรรมและประเพณี ตามแนวคิดลัทธิสัญนิยม (conventionalism) และแนวคิดอัตนัยนิยม (subjectivism) เชื่อว่า หลักการทางศีลธรรมขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของปัจเจกบุคคลที่แตกต่างกัน
ความคิดของคนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นอัตวิสัย (subjective) คือ มีความคิดเรื่องสากลภาพ (universality) เรื่องความเท่าเทียมกัน (equality) และเรื่องเจตจำนง (will) เป็นพลังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถูกร้อยเรียงอย่างต่อเนื่องในแต่ละช่วงเวลา เพื่อทำให้เกิดความคิดเรื่องเหตุภาพ (causality) และมีการเชื่อมโยงกันทางความคิด ทำให้เกิดความคิดเรื่องเหตุผลทางตรรกะแบบคนรุ่นใหม่
เมื่อพิจารณาถึงรากฐานของปัญหาพบว่าสาเหตุหลักที่สำคัญนั้นมาจากกระบวนการคิดและความเชื่อของผู้คนในแต่ละสังคม แม้ว่าสภาพปัญหาที่เกี่ยวเนื่องไปสู่การรู้เชิงคุณค่าจะมีสภาพปัญหาที่แตกต่างกัน แต่ทุกสภาพปัญหามาจากปัญหาขั้นพื้นฐานของกระบวนการคิดและความเชื่อที่เปลี่ยนไปจากความเชื่อแบบมนุษยนิยมเป็นความเชื่อแบบวัตถุนิยม มองคุณค่าของชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งเทียมเทียบเท่ากับคุณค่าของวัตถุ โดยละเลยเรื่องจิตใจและความรู้สึก เมื่อชีวิตกระทบกับสภาพปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่เป็นตามเป้าหมาย ภาวะการตัดสินใจจึงนำไปสู่ปัญหาของสังคมในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
การปรับเปลี่ยนแนวคิดมุมมองที่เน้นคุณค่าทางวัตถุให้เป็นมุมมองเชิงคุณค่าของมนุษย์ นอกจากการปลูกฝังความเชื่อเชิงคุณค่าผ่านกระบวนการจัดการศึกษาแล้วยังมีแนวทางแก้ไขอีกแนวทางหนึ่งคือ การส่งเสริมสนับสนุนให้นำแนวคิดของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาปรับใช้และพัฒนาใช้ให้ผู้คนในแต่ละสังคมเข้าใจถึงความเป็นจริงที่มีอยู่จริงในแต่ละสภาวะได้อย่างรู้คุณค่า ทั้งในระดับตนเองและระดับสังคม เพราะหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเน้นการเข้าใจคุณค่าที่มีอยู่ในตนเอง ตามหลักวิชา ตามสภาพพื้นที่ ทั้งในแง่มุมเชิงประวัติศาสตร์และเชิงวัฒนธรรมที่ผ่านกาลเวลา รวมทั้งความเป็นจริงที่กำลังเผชิญหน้าในแต่ละช่วงเวลา โดยมีคุณค่าที่เกิดขึ้นจากภายในของตัวบุคคลเป็นแกนชี้นำแนวทางการควบคุมพฤติกรรมของตนเองที่จะพึงกระทำต่อทุกสรรพสิ่งรอบข้างที่กำลังดำรงอยู่
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์
การรู้เชิงแบบดั้งเดิมที่ขนบธรรมเนียม ประเพณี ถูกนำไปใช้เป็นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวมากกว่าเป็นกิจกรรมที่หล่อหลอมการรู้เชิงคุณค่าตามวิถีเดิม การสร้างสรรค์เชิงวัฒนธรรมจึงเป็นเพียงสีสันของการท่องเที่ยวที่สร้างมูลค่ามากกว่าการสร้างคุณค่าเชิงวัฒนธรรมที่หล่อหลอมสังคม
การปลูกฝังวิธีการคิดแบบวิทยาศาสตร์ที่เน้นการพิสูจน์เชิงประจักษ์และสามารถทดสอบผลที่เกิดซ้ำได้และผลที่เกิดขึ้นต้องตรงกันทุกครั้งจึงจะเชื่อถือได้ การรู้แบบวิทยาศาสตร์ไม่สนับสนุนการรู้แบบมนุษยศาสตร์ที่เน้นคุณค่าทั้งทางด้านจิตใจและการอยู่ร่วมกันในสังคม
วิธีการปลูกฝังความคิดเชิงปรัชญาถูกนำมาใช้เป็นพลังการขับเคลื่อนสังคม ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ให้เกิดขึ้นในตนของแต่ละบุคคล นับได้ว่าเป็นการสร้างการรู้เชิงคุณค่าที่ดี แต่ถูกปรับใช้ไม่ครบองค์ประกอบ ผู้สร้างกระแสคิดเลือกใช้เฉพาะส่วนที่ตอบสนองต่อเป้าหมายการสร้างความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น จำเป็นต้องใส่องค์ประกอบการคิดเชิงคุณค่าเข้าสู่กระบวนการรู้คิดด้วย เพื่อให้ผู้รู้คิดสามารถสร้างระบบตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรอบด้าน และสามารถตัดสินใจเชิงคุณค่าได้ตามวิถีคิดและคุณค่าของตน เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่า การสร้างคุณค่าในตนนั้นเป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
การย้ำเตือนเชิงคุณค่าเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการสร้างคุณค่าในค่าในตน จำเป็นต้องสร้างความหลากหลายเชิงการรู้ มีพื้นที่ในการสร้างกิจกรรมทั้งพื้นที่ทางกายภาพและพื้นที่ทางการรู้คิด ทั้งเพื่อให้รับรู้ได้ว่าการรู้แบบอัตวิสัยที่เน้นความเป็นปัจเจกนั้น จำเป็นต้องสร้างทักษะในการยอมรับความคิดที่แตกต่าง เพื่อสร้างทรรศนะการรู้เชิงคุณค่าเพื่อการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นความคิดเรื่องสากลภาพ ความเท่าเทียมที่มีต่อกันซึ่งถือเป็นการสร้างวิถีการเรียนรู้ที่ดี เพราะผู้รู้คิดจะได้เข้าใจกระบวนการสร้างความรู้แบบสืบค้นที่ใช้พื้นฐานความอยากรู้ของตนเป็นวิถีการเรียนรู้ตามแนวคิดแบบอัตวิสัย
การจัดการข้อมูลเชิงการรู้ จำเป็นต้องสร้างความหลากหลายให้ครอบคลุมศาสตร์ในแต่ละสาขา จึงควรมีพื้นที่และองค์กรที่ทำหน้าที่สร้างสรรค์การรู้เชิงคุณค่า เพื่อดำเนินกิจกรรมตามความหลากหลายของความคิดและความสนใจในแต่ศาสตร์สาขาวิชา ทั้งแบบสหสาขาวิชา และแบบสหศาสตร์และการสร้างสรรค์ศาสตร์ใหม่ ๆ วิถีการค้นคว้าใหม่ และเพื่อลดทรรศนะการด้อยค่าความคิดดั้งเดิม และนำเข้าสู่วิถีคิดเชิงคุณค่าแบบปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้อย่างผสมประสานกับวิถีคิดแบบยั่งยืนในสังคมโลกหลังนวยุค
บรรณานุกรม
กีรติ บุญเจือ.(๒๕๔๖) ชุดเซนต์จอห์น สอนปรัชญาภาษาง่าย เล่มต้น ปรัชญาประสาชาวบ้าน. กรุงเทพฯ:
ฐานบัณฑิต.
ราชบัณฑิตยสภา,สำนักงาน. (๒๕๖๐) พจนานุกรมศัพท์ปรัชญา ฉบับราชบัณฑิตยสภา.กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์.
คณะกรรมการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ.(๒๕๖๐) การ
ขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชาเพื่อการปฎิรูปประเทศ.กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการ
สภาผู้แทนราษฎร.
Baudrillard, Jean.(2005) The Consumer Society Myths and Structures. Translated by Chris
Turner, London: SAGE Publications.
Kant, I. (2005). Critique of Judgment. (Benard, J.H., Trans) New York: Dover.
López Quintás, Alfonsó.(1989) The knowledge of values : a methodological introduction.
New York : University press of America.
Thomson, G. (2003).On Philosophy. US: Wadsworth, a division of Thomson Learning.

